พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่492 ขอโทษเขาซะ

บทที่492 ขอโทษเขาซะ

บทที่492 ขอโทษเขาซะ

ปรวิทย์ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ในใจของเขาก็เกิดความโมโหขึ้นมา เมื่อสักครู่เขาให้โอกาสที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกับรพีพงษ์แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะปฏิเสธโอกาสนี้ แถมทั้งยังเพิ่มโอกาสการปะทะกันอีกด้วย

เขาจ้องมองไปยังรพีพงษ์ครู่หนึ่ง หลังจากพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า : “ นี้เด็กน้อย ดูอายุคุณแล้วนั้น อีกนานกว่าจะอายุสามสิบสินะ? ผมไม่รู้ว่าคุณเอาความมั่นใจจากไหนที่กล้าตัดสินความสามารถของพ่อผม? ”

“ ก็แค่ว่าตามเนื้อผ้าเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้วพ่อของคุณก็มีชื่อเสียงและบารมีในด้านการประเมินวัตถุโบราณระดับโลก แต่ว่านี้ไม่ได้หมายความว่าตลอดชีวิตของเขานั้นไม่เคยมีความผิดพลาดเลยสักนิด อีกทั้งอายุก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความถูกด้วย ถ้าหากว่าพ่อของคุณอยู่ที่นี้ด้วยละก็ เขาไม่มีทางที่จะพูดแบบนี้กับผมแน่นอนครับ ” รพีพงษ์โต้ตอบ

ปรวิทย์หัวเราะออกมาเสียงดังทันใด กล่าวตอบว่า : “ นี้เด็กน้อย คุณไม่ได้พูดล้อเล่นใช่ไหม ในเมื่อคุณคิดว่าอาชีพในการประเมินวัตถุโบราณนั้น ไม่เกี่ยวกับอายุ ถ้าหากว่าขาดเวลาการสะสม แล้วจะมีประสบการณ์ได้ยังไง?ผมว่าคุณมาหาเรื่องใส่ตัวนะ ผมจะขอเตือนคุณหน่อยนะ ยกเลิกความคิดนี้ซะเถอะ เพราะนี้อาจจะไม่มีผลดีต่อตัวคุณ ”

“ คนนี้ต้องมาก่อกวนแน่ๆ อีกทั้งเขายังพูดอีกว่าในนี้มีของปลอมชิ้นที่สามอีก ของลอกเลียนแบบสองชิ้นเมื่อกี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะหาเจอ ตอนนี้กลับมาพูดว่ามีชิ้นที่สามอีก ถ้าหากว่านี้ไม่ใช่มาเพื่อก่อกวนแล้วจะมาเพื่ออะไรกัน ” ซึ่งในเวลานั้นก็มีคนตะโกนออกมาเสียงดัง

เมื่อทุกคนได้ยินแล้ว ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยตามๆ กัน รู้สึกว่าที่คนนั้นพูดออกมานั้นมีเหตุผล แม้แต่ของสองชิ้นนั้นรพีพงษ์ยังหาออกมาไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับมีหน้ามาพูดออกว่ายังมีของลอกเลียนแบบชิ้นที่สามอย่างกะทันหัน มาก่อกวนชัด ๆ

“ เจ้าเด็กน้อย ผมว่าคุณอย่ามาก่อกวนที่นี่จะดีกว่านะ ถ้าอย่างนั้นคุณก็อธิบายให้ผมฟังทีสิ ว่าทำไมคุณถึงหาของปลอมสองชิ้นแรกนั้นไม่พบ ตอนนี้กลับยืนกรานว่ามีชิ้นที่สาม ” มีอีกคนที่ถามรพีพงษ์ขึ้น

รพีพงษ์มองไปยังเขาคนนั้น แล้วตอบกลับ : “ ผมหามันเจอตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้พูดออกมาก็เท่านั้นเอง ”

ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา ไม่ได้ซ่อนการดูถูกเสียดสีรพีพงษ์แม้แต่น้อย

“ เจ้าเด็กน้อย คุณรักษาหน้าตัวเองหน่อยไหม?เขาพูดของปลอมทั้งสองชิ้นออกมาแล้ว ตอนนี้คุณกลับมาพูดว่าคุณหาเจอแล้วแต่ไม่ได้พูด คุณคิดว่าจะมีคนเชื่อคุณอย่างนั้นเหรอ ?”

“ ชั่งน่าขำจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย คนที่หน้าด้านแบบนี้ คงไม่มีใครแล้วมั้ง ”

“ นี้เป็นคนที่เสแสร้งหน้าด้านที่สุดที่ผมเคยเจอมาเลย ในเมื่อคุณหามันพบแล้ว แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่พูดออกมาล่ะ?ตอนนี้รอจนคนอื่นเขาพูดออกมาแล้ว คุณถึงมาพูด ไม่มีคำจะพูดจริงๆ ”

……

ในที่แห่งนี้มีเพียงไกรเดชและอีกสองคนเท่านั้นที่รู้ว่ารพีพงษ์ไม่ได้พูดโกหก ซึ่งก่อนที่ปรวิทย์จะพูดชื่อของปลอมทั้งสองชิ้นออกมา รพีพงษ์ก็ได้พูดทั้งสองชิ้นก่อนแล้ว

อันที่จริงแล้วเขาก็หามันเจอแล้วแต่ไม่ได้พูดออกมาจริง ๆ เพียงแต่ว่าถ้านำเรื่องนี้มาพูดในสถานการณ์แบบนี้ละก็ มันก็ยากที่จะให้ทุกคนเชื่อ

ไกรเดชเดินไปด้านข้างของรพีพงษ์ แล้วกระซิบพูดกับเขาว่า : “ คุณรพีครับ เรื่องแบบนี้มันยากที่จะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ พวกเราอย่าได้สนใจเรื่องแบบนี้เลยนะครับ ถึงแม้ว่าจะมีของปลอมชิ้นที่สามก็จริง แต่ว่ามันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราจริง ๆ ช่างมันเถอะครับ ”

รพีพงษ์หันหน้าไปมองไกรเดชสักพัก แล้วตอบกลับว่า : “ ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ผมจะไม่ยุ่งเลยครับ แต่ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับปรมัตถ์ ในเมื่อวันนี้เจอแล้ว ก็ต้องพูดออกมา ถึงแม้ปรมัตถ์จะรู้เอง ก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ ”

เมื่อไกรเดชได้ฟังรพีพงษ์พูดแบบนั้นแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ทำได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความจำใจ

ผดุงสิทธิ์และมโนชาสองคนต่างก็มองไปยังรพีพงษ์ด้วยสายตาไม่เข้าใจ แม้ว่าจะรู้ระดับความสามารถในด้านการประเมินวัตถุโบราณของเขานั้นไม่ธรรมดา แต่ว่าเขานั้นก็ไม่ควรที่จะแสดงความสงสัยปรมัตถ์ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้นะ

ปรวิทย์ได้ยินผู้คนรอบ ๆ เสียดสีเยอะเย้ยถากถางรพีพงษ์แบบนี้ ใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา ทันทีหลังจากนั้นเขาก็อยากจะรู้ว่าของปลอมชิ้นที่สามที่รพีพงษ์พูดถึงนั้น คือชิ้นไหนกันแน่

ถ้าหากว่ารพีพงษ์นั้นมาก่อกวนจริง ๆ ละก็ งั้นเขาก็ไม่มีทางที่จะสามารถพูดชื่อของปลอมชิ้นที่สามออกมาได้แน่ ถึงแม้นว่าเขาจะพูดลวกๆ ออกมาชิ้นหนึ่ง ผู้คนก็จะจ้องมองที่เขา เห็นได้ชัดว่ารพีพงษ์นั้นพูดโกหก และยิ่งจะให้เขานั้นเสียหน้าขึ้นอีกด้วย

และยิ่งไปกว่านั้น วันนี้พ่อก็อยู่ในกำปั่นทองด้วย กำลังพักผ่อนอยู่ชั้นที่สอง ถ้าไม่ได้จริงๆ เขาก็จะไปตามปรมัตถ์ลงมา ดูสิว่าเด็กคนนี้จะทำยังไง

“ ทุกคนครับ ในเมื่อเด็กคนนี้ต้องการที่จะพูดถึงของปลอมชิ้นที่สามในของสะสมของพ่อผมให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาพูดออกมาเถอะครับ ว่าตกลงแล้วของชิ้นนั้นคือชิ้นไหนกันแน่ ว่ายังไงครับ? ” ปรวิทย์พูด

“ แม้ว่าจะให้เขาพูด เขาก็คงจะไม่สามารถอธิบายมันได้แน่ ๆ ” บุคคลหนึ่งที่พูดถากถางแล้วเดินจากไปทันที

ทุกคนต่างก็จ้องมองมายังรพีพงษ์ อยากจะรู้ว่ารพีพงษ์จะพูดว่าชิ้นไหนคือของปลอมชิ้นที่สามกันแน่

รพีพงษ์ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ชี้นิ้วไปยัง โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบหนึ่งบนตู้จัดแสดงนิทรรศการ แล้วพูดว่า : “โถเครื่องเคลือบลายคราม บนตู้จัดแสดงนิทรรศการชั้นที่สอง ”

ทุกคนต่างก็จ้องไปยัง โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบนั้น ทันใดนั้นก็มีคนโต้แย้งขึ้นว่า : “โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบนั้นเป็นของราชสมัยราชวงศ์หยวนซึ่งขุดค้นพบที่ หมู่บ้านจิ่งเต๋อ ผมน่ะมีความรู้ที่ล้ำลึกมากโดยเฉพาะเครื่องลายคราม เมื่อกี้ก็ได้ดูอย่างละเอียดแล้ว มันไม่มีทางเป็นของปลอมแน่นอน ”

ปรวิทย์ก็หันไปมอง โถเครื่องเคลือบลายคราม หลังจากนั้นจึงพูดว่า : “ เจ้าเด็กน้อย ในเมื่อคุณคิดว่านี้เป็นของปลอม งั้นคุณลองพูดมาซิว่า คุณดูมันออกได้ยังไง ”

“เครื่องเคลือบลายครามเกิดในยุคราชวงศ์หยวน ซึ่งศิลปะในการเผาเครื่องปั้นในสมัยนั้นถือว่าชำนาญเลยทีเดียว ถึงสามารถทำ เครื่องเคลือบลายครามที่สวยงามแบบนี้ได้ แต่ว่าด้วยเหตุนี้ ศิลปะด้านฝีมือก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือระดับความสว่างของสี เครื่องเคลือบลายครามที่จัดแสดงอยู่บนตู้นั้น ระดับสีของมันสว่างกว่า เครื่องเคลือบลายครามในราชวงศ์หยวนเป็นหลายเท่า ถึงแม้ว่าข้อแตกต่างนี้จะละเอียดอ่อนนัก แต่มันก็ง่ายที่จะดูออกว่า เครื่องเคลือบลายครามที่จัดแสดงบนตู้นิทรรศการนั้น ถูกทำขึ้นในยุคราชวงศ์ชิง ”

“ ถึงแม้ว่าผู้ปั้นนั้นต้องการให้เหมือนกับของที่ขุดค้นพบในราชวงศ์หยวน ถ้าหากว่าใช้ประสบการณ์ และความสามารถพิเศษที่สั่งสมมาไม่น้อย เพื่อที่จำให้มันรู้สึกเหมือนในยุคราชวงศ์หยวน แต่ว่าศิลปะการสร้าง เครื่องเคลือบลายครามของยุคราชวงศ์ชิงนั้นห่างจากยุคราชวงศ์หยวนมาก ศิลปะต้องย่อมไม่มีทางถดถอยไปด้วยแน่ แต่ถึงแม้ว่าผู้ปั้นนั้นต้องการให้เหมือนกับในยุคราชวงศ์นั้น แต่ว่ามันก็มิอาจที่จะใช้ระดับสีที่เหมือนกับยุคราชวงศ์หยวนได้หรอก ”

“ ดังนั้นแล้ว เครื่องเคลือบลายครามชิ้นนี้เป็นของยุคราชวงศ์ชิงที่ลอกเลียนยุคราชวงศ์หยวน ที่ห่างกันสองร้อยกว่าปี แต่ถ้าหากว่าต้องการจะขายมันออกไปละก็ เกรงว่าจะกระทบกับชื่อเสียงของปรมัตถ์ไม่น้อย ”

รพีพงษ์มองทุกคนแล้วพูดออกมา

ทุกคนต่างก็ตกใจในสิ่งที่รพีพงษ์พูดออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าจะแยกแยะสิ่งของจากระดับสีของยุคสมัย เจ้าเด็กคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ

เห็นได้ชัดเจน ว่าถ้ากับคำพูดพวกนี้ ไม่มีใครเชื่อคำพูดของรพีพงษ์หลอก พวกเขาก็ยังคงคิดว่าความสามารถของปรมัตถ์นั้นก็ยังคงน่ายกย่องอย่างไร้ที่ติเช่นเคย

ปรวิทย์ก็ยังแสดงท่าทีออกมาชัดเจนว่าไม่เชื่อในการตัดสินของรพีพงษ์ เขาจึงกลอกตาไปมา แล้วพูดว่า : “ ทุกคนครับ ทุกสิ่งที่เด็กคนนี้พูดมานั้น อาจจะเป็นความจริงก็ได้ แต่กลับไม่มีใครเชื่อ โชคดีที่ในวันนี้พ่อของผมก็ได้อยู่ที่นี่ด้วย เดี๋ยวผมจะไปเชิญท่านลงมา เพื่อให้ท่านได้ฟัง สิ่งที่เด็กคนนี้พูด ว่าสรุปแล้วถูกหรือไม่ ”

หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำพูดของ ปรวิทย์ ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าปรมัตถ์จะอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าหากว่าปรมัตถ์ลงมาละก็ ก็จะสามารถที่จะเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของเด็กที่มาก่อกวนคนนี้ได้แน่นอนช

ผู้คนมากมายมองที่รพีพงษ์ด้วยสายตาที่มีความสุขในความโชคร้าย ในความคิดของพวกเขา เมื่อปรมัตถ์และรพีพงษ์เผชิญหน้ากัน รพีพงษ์คงไม่สามารถที่จะเสแสร้งได้อีกต่อไปแน่ๆ

ในขณะเดียวกันผดุงสิทธิ์และมโนชาทั้งสองคนไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี ซึ่งเดิมทีแล้วพวกเขาใฝ่ฝันที่จะพบเจอกับปรมัตถ์ แต่ว่าไม่คิดเลยว่าจะเจอกับปรมัตถ์ในสถานการณ์แบบนี้

ครั้งนี้พวกเขานับว่ามากับรพีพงษ์ด้วย ถ้าหากว่ารพีพงษ์ยั่วยุทำให้ปรมัตถ์โกรธขึ้นมา งั้นพวกเขาจะต้องถูกพ่วงไปด้วยแน่ ๆ หลังจากนี้ไม่ว่าจะอธิบายยังไง เกรงว่าปรมัตถ์คงจะมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อพวกเขาเป็นแน่ๆ

ในตอนนี้ผดุงสิทธิ์เกิดความรู้สึกเสียใจที่มาที่นี่กับรพีพงษ์เสียแล้ว

มโนชาในตอนนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาที่ใหญ่โตแบบเมื่อก่อน เนื่องจากว่าเธอยังเป็นนักเรียน ยังเป็นวัยรุ่น แต่ภายในกระดูกของเธอนั้นมีการเป็นปฏิปักษ์ของวัยรุ่นอยู่ ในขณะนี้รพีพงษ์ไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายแบบนี้ และยืนยันที่จะพูดแนวคิดของตัวเอง กลับทำให้เธอเริ่มเกิดความยกย่องต่อตัวรพีพงษ์ขึ้นมาแล้ว

แน่นอน ว่าเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะถ้าหากว่ารพีพงษ์ ทำให้ปรมัตถ์ที่เธอเคารพนั้นมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อตัวเธอแล้วละก็ เธอนั้นไม่มีทางที่จะอภัยให้กับรพีพงษ์แน่

ปรวิทย์ใช้โอกาสที่ทุกคนตื่นตระหนกตกใจนั้น ก็มาถึงหน้าประตูห้องที่ปรมัตถ์พักผ่อนอยู่

ในตอนนี้ปรมัตถ์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะในห้องพอดี อายุที่ใกล้จะเจ็ดสิบของเขาทำให้เส้นผมสีขาวเต็มไปหมด แต่ว่านี่ก็ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขามีความรู้สะสมจากประสบการณ์เป็นอย่างมากมาย

ใบหน้าที่ใส่แว่นตากรอบใหญ่ของเขา ในมือยังถือสมาร์ตโฟนไปด้วย และจ้องมองดูเนื้อหาบนหน้าจออย่างละเอียด

ด้านบนเป็นรายงานการตรวจสอบ เนื้อหารายงาน เกี่ยวกับการสำรวจคือการวิเคราะห์ถึงอายุของ โถเครื่องเคลือบลายคราม ในยุคราชวงศ์หยวนพอดี

ในตอนแรกที่เห็นแจกันลายดอกไม้นี้ ในดวงตาของปรมัตถ์ก็มั่นใจแล้วว่า โถเครื่องเคลือบลายคราม ที่ขุดพบในยุคราชวงศ์หยวนนั้น แต่ว่าช่วงเวลานั้นเขามักจะมองแจกันดอกไม้ และมักรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ค่อยถูกต้อง แต่ก็พูดไม่ออกมามันคืออะไร

ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปหาเพื่อนคนหนึ่ง ให้เพื่อนช่วยทดสอบถึงอายุของแจกันลายดอกไม้ใบนี้หน่อย ว่าตกลงแล้วเป็นของยุคราชวงศ์หยวนหรือไม่

เพื่อนของเขาพึ่งส่งรายงานการตรวจสอบอายุมา เพราะฉะนั้นเขาเลยลุกขึ้นมาอ่านผลสรุปนิดหน่อย

ซึ่งข้อความที่เขียนอยู่บนรายงานที่ชัดเจนนั้นก็คือ แจกันลายดอกไม้ใบนี้มีอายุถึงสามร้อยยี่สิบห้าปี เมื่อคำนวณดูแล้ว ก็คือรัชสมัยรัชสมัยพระเจ้าคังซีของราชวงศ์ชิง

หลังจากที่ได้ผลสรุปแบบนี้ ปรมัตถ์ถึงกับเบิ่งตากว้าง คาดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะมองพลาดไป เขาจึงรีบลุกขึ้น รีบเรียกปรวิทย์มา ให้เขาไปเก็บแจกันลายดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนตู้จัดแสดงนิทรรศการกลับมา

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ปรมัตถ์รีบลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นปรวิทย์อยู่ด้านนอกประตูพอดี จึงรีบพูดออกไปว่า : “ แกรีบไปเก็บ โถเครื่องเคลือบลายครามที่จัดแสดงอยู่ด้านล่างกลับมาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องตั้งจัดแสดงโชว์แล้ว”

ปรวิทย์ที่กำลังจะพูดออกไปว่าขณะนี้มีคนมาก่อกวน อีกทั้งยังพยายามพูดว่าแจกันลายดอกไม้ของยุคสมัยราชวงศ์หยวนนั้นคือของลอกเลียนแบบจากยุคสมัยราชวงศ์ชิง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยปรมัตถ์จะบอกให้ตนนั้นไปเก็บ โถเครื่องเคลือบลายคราม นั้นกลับขึ้นมา นี่จึงทำให้เขานิ่งไปชั่วคราว

ซึ่ง โถเครื่องเคลือบลายคราม ที่จัดแสดงนั้น มีเพียงใบเดียว

“พ่อครับ แจกันลายดอกไม้นั่นมันทำไมหรือครับ? แล้วทำไมถึงต้องเก็บขึ้นมากะทันหันด้วยละครับ ?” ปรวิทย์มองไปทางปรมัตถ์พร้อมกับถาม

ปรมัตถ์รู้สึกเขินอายนิดหน่อยมองไปยังปรวิทย์ แล้วพูดว่า : “ แจกันลายดอกไม้ใบนั้นพ่อมองผิดพลาดไป มันไม่ใช่ของยุคราชวงศ์หยวน แกรีบกลับไปเก็บมาโดยเร็ว อย่าให้ใครได้ซื้อมันไปเด็ดขาด นี่อาจจะทำให้ชื่อเสียของพ่อเสียหายไปได้ ”

ในใจของปรวิทย์รู้สึกตกใจ อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความอัศจรรย์ แล้วถาม: “ ไม่…..ไม่ใช่ยุคราชวงศ์หยวนเหรอครับ? อย่าบอกนะว่ามันจะเป็นของยุคราชวงศ์ชิง?”

ท่านปรมัตถ์มองปรวิทย์ด้วยสายตาที่ตกใจ แล้วถามว่า : “ แกรู้ได้ยังไง ?”

ปรวิทย์กลืนน้ำลายลงคอ เขาก็คิดไม่ถึงเลย ว่ารพีพงษ์นั้นจะพูดถูกจริงๆ โถเครื่องเคลือบลายคราม นั้นไม่ใช่ของยุคราชวงศ์หยวนจริงๆ อีกทั้งปรมัตถ์ยังยอมรับอีกว่ามันเป็นของยุคราชวงศ์ชิง ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ผิดแน่

เดิมทีแล้วเขาไม่ได้จะมาหาเรื่อง อีกทั้งตนนั้นยังทำให้ทุกคนถากถางและหัวเราะเยาะรพีพงษ์อีก นี่มันเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงจริง ๆ

“ พ……พ่อครับ เหมือนผมจะทำผิดพลาดไปแล้วเรื่องหนึ่ง ” ปรวิทย์แสดงสีหน้าที่เสียใจแล้วพูดกับปรมัตถ์

“ เรื่องอะไรหรือ ” ปรมัตถ์ขมวดคิ้ว

“ด้านล่างนั้นมีคนที่ต้องการจะพูดว่า โถเครื่องเคลือบลายคราม นั้นมันเป็นของปลอม คือของยุคราชวงศ์ชิงที่เลียนแบบมาให้ได้ ผมคิดว่าเขาน่าจะมาก่อกวน จึงทำให้ทุกคนนั้นหัวเราะเยาะกับคำพูดของเขาไป อีกทั้งผมยังเชิญให้พ่อลงไป ประชันหน้ากับเขาอีกด้วย เพื่อให้เขานั้นรู้ว่าตัวเองพูดผิด ” ปรวิทย์เล่าความจริงออกมาอย่างซื่อสัตย์

สีหน้าของท่านปรมัตถ์เปลี่ยนไป หนึ่งไม่คิดว่าจะมีคนมองออกว่า โถเครื่องเคลือบลายคราม ใบนั้นเป็นของลอกเลียนแบบ และอีกอย่างหนึ่งคือปรวิทย์ยังทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะเขาอีก ใช้เพียงแค่สายตาก็สามารถที่จะมอง โถเครื่องเคลือบลายคราม ออกว่าเป็นของลอกเลียนแบบได้นั้น จะต้องไม่ธรรมดา

“ แกนี่มันน่าโมโหจริง รีบลงไปกับพ่อเดี๋ยวนี้ ไปขอโทษเขาซะ ไม่งั้นชื่อเสียงของพ่อ จะถูกแกทำให้เหม็นเสียหายเอาได้ !

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท