พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 643 อาจารย์ไม่สามารถมาเจอนายอีกแล้ว

บทที่ 643 อาจารย์ไม่สามารถมาเจอนายอีกแล้ว

บทที่ 643 อาจารย์ไม่สามารถมาเจอนายอีกแล้ว

ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังมีภูเขาและติดแม่น้ำแถบชายแดนแห่งหนึ่งในภาคใต้ บนถนนอันคดเคี้ยว กว้างเพียงหนึ่งคนเดิน รพีพงษ์กับฝนสุดาเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน

ตอนนี้ฝนสุดารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เธอมองรพีพงษ์ที่เดินอยู่ข้างหน้า เขาเดินไปข้างหน้าและเอาแต่พูดไม่หยุด ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังพูดอะไรอยู่

ตั้งแต่ทั้งสองคนออกมาจากเมืองปากซำ ตลอดทางทั้งสองโดยสารยานพาหนะมาไม่ซ้ำแบบ จนมาถึงที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้

หญิงสาวที่ไม่เคยนั่งยานพาหนะอื่นๆ นอกจากรถยนต์และเครื่องบินส่วนตัว ครั้งนี้ฝนสุดาได้สัมผัสถึงรูปแบบการเดินทางของคนธรรมดาทั่วไป

ตั้งแต่นั่งรถไฟ นั่งรถเมล์จนมาถึงจักรยานสาธารณะ และต้องนั่งรถแทรกเตอร์เข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ ถือว่าฝนสุดาได้เปิดหูเปิดตาครั้งยิ่งใหญ่

ในขณะเดียวกันเธอก็ได้สัมผัสถึงการเดินทางในแบบที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ตอนนี้ที่เท้าของฝนสุดามีตุ่มน้ำใสผุดขึ้นมา อีกทั้งพวกเขายังต้องเดินผ่านเขาอีกสองลูก กว่าจะถึงสถานที่ที่รพีพงษ์บอกไว้ นี่มันทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวังสุดๆ

“ทำไมอาจารย์ใจร้ายของนายต้องทิ้งชีวิตที่สุขสบาย มาอยู่ในป่าลึกแบบนี้ ฉันเหนื่อยจะตายแล้ว ฉันไม่เดินแล้ว!” ฝนสุดาหยุดเดิน แล้วตวาดใส่รพีพงษ์

รพีพงษ์หันกลับมามองเธอ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “อาจารย์อายุมาแล้วชอบใช้ชีวิตสงบๆ กว่าจะเป็นแบบเขาได้ คงต้องหลุดพ้นคำว่าการใช้ชีวิตแล้วล่ะ อีกทั้งเขายังไม่ชอบโดนรบกวน ถึงมาอยู่ในหุบเขาลึกลับแบบนี้ไง”

“ผมพาคุณมาถึงที่นี่ได้ ถือว่าทำสำเร็จแล้ว ถ้าคุณเดินไม่ไหว ก็ใช้ตอนที่ยังมีสัญญาณมือถือโทรหาคนที่ตระกูลของคุณ ให้ไปหาคุณที่หมู่บ้านนั่น”

พูดจบ รพีพงษ์ก็เดินต่อไป โดยไม่สนใจคำบ่นของฝนสุดาแม้แต่น้อย

“ไอ้เลว เลือดเย็น ไอชั่ว นายแบกฉันขึ้นหลังหน่อยไม่ได้เหรอ ไม่อ่อนโยนเลยสักนิด ไม่รู้ว่าอารีชอบนายเข้าไปได้ยังไง”

ฝนสุดาบ่นพึมพำ จากนั้นเธอก็กัดฟันเดินตามเขาต่อ

ใกล้เที่ยง รพีพงษ์กับฝนสุดาได้เดินลัดเลาะลงมาจากเขาลูกแรก จนมาถึงสถานที่ที่นับว่าเป็นพื้นราบ

ที่นี่มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง มีเสียงน้ำไหลและล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ มีบ้านไม้ปลูกเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ

ที่นี่แทบจะไม่มีคน ไม่มีแม้แต่ร่องรอยที่แสดงถึงการพัฒนา เรียกได้ว่าคนธรรมดาไม่สามารถหาที่นี่เจอได้แน่นอน เพราะฉะนั้นการที่มีบ้านไม้ปลูกเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ มันจึงทำให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

แน่นอนว่าคนที่ประหลาดใจไม่ใช่รพีพงษ์ แต่เป็นฝนสุดา

ต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านถูกตัดออกไปแล้ว ทำให้เห็นพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ พื้นที่ครึ่งหนึ่งเป็นแปลงผัก ส่วนอีกครึ่งหนึ่งใช้เลี้ยงสัตว์ เช่น เป็ด ไก่

สิ่งเหล่านี้ทำให้ควันไฟเพิ่มขึ้นในที่ทุรกันดารแบบนี้

“ว้าว ที่นี่มีแปลงผักด้วย ตัวนั้นฉันรู้จัก น่าจะเป็นไก่ป่า แต่ไอ้ตัวที่มีหนามเต็มตัวนั่นเรียกว่าอะไร”

ฝนสุดาเดินเข้าไปด้วยสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นสิ่งที่แปลกใหม่ เธอก็ลืมความเหนื่อยล้าจนหมดสิ้น

ทันใดนั้น ก็มีคนมาขวางฝนสุดาเอาไว้

“พวกแกเป็นใคร! ทำไมถึงหาที่นี่เจอได้” คนที่พูดคือชายอายุประมาณยี่สิบปี คิ้วโค้งเรียวเหมือนดาบ ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว ผิวคล้ำ ดูเหมือนมีพละกำลังที่ไม่เหมือนคนอื่น

“เฮ้ย นายนี่ไม่มีมารยาทเลย จู่ๆ ก็โผล่มา ตกใจหมดเลย” ฝนสุดาพูดอย่างไม่พอใจ

ชายคนนั้นจ้องฝนสุดา จู่ๆ เขาก็ทำตัวไม่ถูก เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขามาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอผู้หญิงสวยขนาดนี้ ขณะที่เขากำลังใช้ความคิด เขานึกว่าตัวเองเห็นนางฟ้า

“ขะ ขอโทษครับ นางฟ้า ผมไม่ได้ตั้งใจ” ชายคนนั้นพูดตอบ

ฝนสุดาเห็นว่าชายคนนั้นดูอึ้งๆ ก็หัวเราะออกมา “ช่างเถอะ เห็นแก่ที่นายช่างพูด ฉันให้อภัยนายก็ได้”

รพีพงษ์มองชายที่อายุน้อยกว่าตัวเองประมาณสี่ห้าปี เขาไม่รู้ว่าชายคนนั้นคือใคร แต่ว่าเขารู้ว่าอาจารย์ชอบรับลูกศิษย์ เขาไม่ได้เจออาจารย์มาหลายปีแล้ว เด็กคนนี้น่าจะเป็นลูกศิษย์ใหม่ที่อาจารย์รับไว้

“ถะ..ถึงคุณจะสวย แต่อย่าคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปง่ายๆ รีบบอกผมมาว่าพวกคุณเป็นใคร ทำไมถึงมาที่นี่” ชายคนนั้นเลิกสนใจความงามของฝนสุดา เขากระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบทำท่าทีเคร่งขรึม

รพีพงษ์เดินเข้ามา แล้วพูดว่า “ผมชื่อรพีพงษ์ อาจารย์อยู่ไหน ผมอยากเจอเขา”

ชายคนนั้นเบิกตาโตแล้วมองรพีพงษ์อย่างไม่อยากจะเชื่อ “นายคือรพีพงษ์คนที่ไม่เชื่อฟังอาจารย์ ดื้อดึงหนีออกไปใช่ไหม”

เมื่อรพีพงษ์ได้ยินเด็กผู้ชายคนนั้นเรียกเขาแบบนั้น เรื่องในอดีตก็ลอยเข้ามาในหัวของเขา จากนั้นจึงพูดออกมาว่า “ใช่ ฉันเอง”

“นายยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ พวกพี่ๆ บอกว่านายเป็นคนบ้าระห่ำที่งมงายในความคิดของตัวเอง ได้ยินว่าตอนนั้นนายเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์พอใจที่สุด แต่น่าเสียดายที่เมื่อนายได้เรียนรู้วิชาเล็กๆ น้อยๆ จากอาจารย์ นายก็คิดว่าตัวเองเก่งจนไม่มีใครสู้ได้ และหนีไปโดยไม่ฟังคำเตือนของอาจารย์ ตอนนี้นายจะกลับมาทำไมอีก”

เด็กคนนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบรพีพงษ์

รพีพงษ์จ้องเขา แล้วพูดว่า “ตอนนั้นฉันยังอ่อนต่อโลก แต่ฉันก็มีเหตุผลที่ต้องจากที่นี่ไป การที่ฉันกลับมาก็เพราะอยากให้อาจารย์สอนอะไรบางอย่าง นายช่วยไปแจ้งอาจารย์ให้หน่อย”

เด็กชายแบะปาก แล้วพูดว่า “นายกลับไปเถอะ ทั้งชีวิตนี้อาจารย์จะไม่เจอนายอีก”

รพีพงษ์อึ้งไป เขาสับสนเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดว่า “พูดจริงเหรอ”

“จริงสิ จะโกหกทำไม ฉันถือโอกาสบอกนายเลยละกัน ฉันชื่อดำเกิง เป็นศิษย์อายุน้อยที่สุดของอาจารย์ และก็เป็นลูกศิษย์ที่มีความสามารถที่สุด รพีพงษ์ นายเป็นอดีตไปแล้ว อาจารย์ไม่ต้องการนายอีกแล้ว รีบไปจากที่นี่ซะ” ดำเกิงพูดอย่างจริงจัง

รพีพงษ์รู้สึกปวดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าการที่เขาหนีไปจะทำให้อาจารย์โกรธจนไม่อยากเจอหน้าเขาอีก

ผ่านไปครู่ใหญ่ รพีพงษ์ถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงหันไปมองฝนสุดา “เรากลับกันเถอะ”

จากนั้นทั้งสองก็หันหลังกลับไป

ขณะนั้นดำเกิงก็กลอกตาไปมาแล้วพูดว่า “อันที่จริงถ้านายอยากเจออาจารย์ก็ไม่ใช่ว่าจะเจอไม่ได้นะ เห็นหินที่อยู่ตรงนั้นไหม อาจารย์บอกว่าถ้านายยกหินก้อนนั้นได้ และอดทนจนถึงตอนที่อาจารย์จะยอมเจอหน้านาย อาจารย์ก็จะออกมาเอง”

รพีพงษ์หันมองตามที่ดำเกิงชี้ พบว่าหินก้อนนั้นเป็นหินขนาดใหญ่น่าจะประมาณห้าร้อยกิโล ต้องใช้สองมือโอบ

แต่ว่าเขาไม่ลังเลและไม่สงสัยว่าดำเกิงจะพูดจริงหรือโกหก เขาเดินตรงไปยังหินก้อนนั้น

ดำเกิงเห็นว่ารพีพงษ์จะยกหินก้อนนั้นจริงๆ รอยยิ้มร้ายกาจผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

“พี่นางฟ้า พี่ดูสิมันเหมือนคนโง่ไหม ไม่คิดว่าจะไปยกหินก้อนนั้นจริงๆ หินก้อนนั้นหนักห้าร้อยกิโลเชียวนะ เขาจะ…” ดำเกิงเดินเข้ามาหาฝนสุดา แล้วพูดเหน็บแนมรพีพงษ์

เขายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นรพีพงษ์ใช้แขนสองข้างโอบหินก้อนนั้น จากนั้นเขาก็กัดฟันและตะโกนออกมาเสียงดัง หินที่หนักถึงห้าร้อยกิโลก็ถูกเขายกขึ้นมา

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท