พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่1007 ความลับของทวีปโอชวิน

บทที่1007 ความลับของทวีปโอชวิน

บทที่1007 ความลับของทวีปโอชวิน

หลังจากรพีพงษ์ได้ยินคำพูดของธีรพัฒน์ สีหน้าท่าทางก็เผยให้เห็นถึงความตกใจ คาดไม่ถึงกระแสวังวนสีดำในกำแพงหิน จะเป็นช่องทางการขนส่งที่เชื่อมต่อกับทวีปโอชวิน

เขาจ้องมองไปที่กระแสวังวนสีดำอย่างระมัดระวัง พบว่ามีพลังประหลาดอยู่ในนั้น เพียงแค่มองไปสักพัก ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเวียนหัว

ในขณะเดียวกันเขาก็ประหลาดใจกับธีรพัฒน์ คนคนนี้เพื่อที่จะผนึกช่องทางนี้ เอาจิตวิญญาณเทพของตัวเองขังไว้ในกำแพงหินพร้อมกัน การกระทำทำแบบนี้ ต้องใช้ความทุ่มเทอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ ผู้อาวุโสที่ธัชธรรมให้เขามาหาคนนั้น น่าจะเป็นธีรพัฒน์

“ผู้อาวุโส ผมมาหาท่านตามคำสั่งของท่านธัชธรรม ท่านธัชธรรมบอกว่าท่านจะอธิบายเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับทวีปโอชวินให้กับผม”รพีพงษ์สองมือประสานคำนับให้ธีรพัฒน์

ธีรพัฒน์ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “ฉันเดาได้ เดิมทีฉันยังคิดว่านายต้องรอหลายปี ถึงจะมีสิทธิ์มาสถานที่นี้ ใครจะไปคิดว่าเพิ่งผ่านไปไม่นาน นายจิตวิญญาณเทพตื่นภวังค์แล้ว ความแข็งแกร่งก็บรรลุถึงแดนดั่งเทพชั้นยอดแล้ว ซึ่งนี่ค่อนข้างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์”

“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”รพีพงษ์เอ่ยปากพูด

“ฮ่าฮ่า ฉันไม่ได้ชมเกินไป คำพูดไม่กี่ประโยคที่ฉันพูด ยังไม่เพียงพอที่จะบรรยายความสามารถของนาย”ธีรพัฒน์หัวเราะเสียงดัง “แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มีคนแบบนายมารับช่วงกลุ่มสิงโต อย่างน้อยรอวันที่ฉันสลายหายไป ไม่ต้องกังวลว่าช่องทางนี้จะเฝ้าไว้ไม่อยู่แล้ว”

“ผู้อาวุโสบอกเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับทวีปโอชวินให้กับผมด้วยเถอะ”รพีพงษ์เอ่ยปากพูด

แม้ว่าก่อนหน้านี้รพีพงษ์ก็รู้แล้ว มีสถานที่ที่เป็นอิสระจากโลกนี้อย่างทวีปโอชวินอยู่ แต่เขาไม่รู้ว่าคนของทวีปโอชวินมาได้อย่างไร ดังนั้นทวีปโอชวินสำหรับเขาจึงเป็นเพียงแนวคิดนามธรรมอย่างหนึ่ง

ตอนนี้เห็นช่องสัญญาณในกำแพงหิน ในใจของรพีพงษ์รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างตัวเองกับทวีปโอชวินนั้นไม่ไกล

ถ้าหากไม่มีการผนึก คนของทวีปโอชวินสามารถมายังโลกผ่านช่องทางนี้ได้ตลอดเวลา

นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างมากแน่นอน

ธีรพัฒน์ครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็มองไปที่รพีพงษ์ เอ่ยปากถามว่า: “นายเชื่อว่ามีเทพเจ้าอยู่ในโลกนี้มั้ย?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ของธีรพัฒน์ รพีพงษ์ก็ลังเลเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะบอกว่าไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด แต่ประสบกับเรื่องราวที่ผ่านมากมายขนาดนี้ หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ รพีพงษ์ก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คนที่ถามคำถามนี้กับเขา ก็คือคนที่ไม่มีร่างกาย มีเพียงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ ชายชราที่มีชีวิตรอดอยู่มาได้กว่าสองร้อยปี

“ในเมื่อผู้อาวุโสถามแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นผมคิดว่าคงจะมีอย่างแน่นอน”รพีพงษ์ตอบกลับ

ธีรพัฒน์ยิ้มอย่างเงียบๆ แล้วพูดว่า: “เทพเจ้า มีอยู่จริง แต่ว่านั่นเป็นเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่นานมาแล้ว ในโลกทุกวันนี้ คือไม่มีสิ่งที่เรียกเทพเจ้า แดนเทพ ถือได้ว่าทรงพลังที่สุดแล้ว ที่สำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากนายแล้ว ฉันไม่เคยเห็นใครก็ตามที่มีความหวังที่จะบรรลุถึงแดนเทพได้”

“และสิ่งที่เรียกเทพเจ้า ความจริงเป็นผู้ที่ฝึกฝนที่ทรงพลังที่สุด อิทธิฤทธิ์กลยุทธ์ของพวกเขาใกล้เคียงกับเทพ ดังนั้นในสายตาของคนธรรมดา คนเหล่านี้จึงเป็นเทพเจ้า”

“ทำไมเมื่อก่อนมีเทพเจ้าอยู่ ตอนนี้ไม่มีแล้ว? พวกเขาตายแล้วเหรอ?”รพีพงษ์ถามอย่างรวดเร็ว

ธีรพัฒน์ส่ายหัว และพูดว่า: “เรื่องนี้ ยังต้องเริ่มพูดถึงตั้งแต่เมื่อห้าพันปีที่แล้ว”

“แน่นอนแล้วว่า ฉันไม่ได้เป็นบุคคลพยานในประวัติศาสตร์นั้น สิ่งเหล่านี้ที่ฉันรู้ ก็มาจากการเล่าสืบต่อกันมาจากผู้อาวุโส ในนั้นความจริงหรือเท็จ ก็ไม่มีการพิสูจน์ นายก็ถือว่าฟังตำนานเรื่องเล่าของเทพก็ได้ไม่เป็นไร”

รพีพงษ์พยักหน้าอย่างจริงจัง

“เล่าลือกันว่าเมื่อห้าพันปีก่อน โลกใบนี้ของพวกเรา ยังคงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลัง ในเวลานั้นผู้ฝึกฝนออกอาละวาด ทุกคนต่อต้านท้องฟ้าเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังมาก จะถูกผู้คนนับถือเป็นเทพเจ้า พวกเขามีพลังอำนาจในการทำลายล้างโลก ผู้ฝึกฝนทุกคน ต่างก็กระตือรือร้นที่จะบรรลุถึงผู้ที่แข็งแกร่ง”

“ความแข็งแกร่งทรงพลังถึงขีดสุด จะถูกเรียกว่าเป็นเซียน เซียนเหล่านี้อาศัยความแข็งแกร่งของตัวเอง ครอบครองทรัพยากรส่วนใหญ่บนโลก และทำให้โลกทั้งใบมีวิวัฒนาการตามความคิดของพวกเขา ทุกคนเพื่อที่จะสามารถเพียงพอที่จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเซียน ต่อสู้กันจนนองเลือด”

“แต่ในยุคสมัยนั้น จอมมารปรากฏตัวขึ้นในโลก จอมมารนี้เรียกตัวเองว่าจอมมารชูร่า เขาไม่ชอบที่เซียนเหล่านั้นวางตัวเสแสร้งจอมปลอม ทั้งๆที่ครอบครองทรัพยากร แต่อ้างว่าเป็นการแบ่งสันอย่างชอบธรรม ก่อให้เกิดคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ไม่มีโอกาสที่ต่อต้านฟ้าเปลี่ยนแปลงชะตากรรมไปตลอดชีวิต”

“จอมมารชูร่าเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ ใช้ความแข็งแกร่งของตัวเอง ต่อสู้กับเซียนมากมายที่ร่วมมือกัน และทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ที่ทำให้สะท้านฟ้าสะเทือนดิน”

“สงครามครั้งนั้นทำให้โลกเปลี่ยนสีไป ประชาชนไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุข ความแข็งแกร่งของจอมมารชูร่าทรงพลัง และด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง สังหารเซียนตายและบาดเจ็บหนีกระเจิดกระเจิง”

“แต่จอมมารชูร่ายังเป็นเพราะหัวเดียวกระเทียมลีบ ถูกเซียนทุกคนซุ่มโจมตี สุดท้ายบาดเจ็บสาหัสและตาย”

“สงครามครั้งนี้ทำให้ร่องรอยของโลกเสียหาย เดิมทีที่เต็มไปด้วยพลังก็เริ่มอ่อนลง หลังจากนั้นไม่นาน ในโลกนี้ก็ได้ตัดขาดความเป็นไปได้ในการฝึกฝน”

“กลุ่มเซียนเพื่อสามารถเพียงพอฝึกฝนเหมือนเดิมอย่างต่อเนื่องได้ ครุ่นคิดอย่างหนัก สุดท้ายค้นพบการมีอยู่ของทวีปโอชวิน ต่อมาด้วยการร่วมพลังของคนทั้งหมด เปิดช่องทางหนึ่งทาง เอารุ่นคนที่ฝึกฝนทั้งหมด ได้ส่งไป”

“ช่องทางนั้น ก็คือช่องทางในสถานที่นี้”

“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เส้นทางการฝึกฝนในโลกนี้กำลังค่อยๆตกต่ำลง สาเหตุเพราะขาดแคลนพลัง ต่อให้มีวิชาฝึกฝน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินการฝึกฝน”

“อย่างไรก็ตามคนธรรมดาเหล่านั้นที่ยังคงอยู่บนโลก โดยอาศัยภูมิปัญญาของตนเอง และเส้นทางเดียวค่อยๆ ฝึกฝนได้พัฒนาเปลี่ยนเป็นศิลปะการป้องกันตัวในตอนนี้ โดยผ่านการออกแรงศักยภาพของตนเอง ได้รับพลังมา”

“แน่นอนว่า ซึ่งนี่ก็หมายความว่า ศิลปะการต่อสู้ไม่สามารถอยู่ได้นานเหมือนกับเส้นทางการฝึกฝน อย่างมากบรรลุถึงแดนเทพ ก็คือจุดจบของศิลปะการต่อสู้แล้ว”

“ตอนนั้นสงครามเพิ่งจบลง แม้ว่าจอมมารชูร่าจะเสียชีวิตไป แต่ลมปราณที่พุ่งทะยานที่เขาทิ้งไว้ในตอนมีชีวิตอยู่ยังคงบีบคั้นให้เซียนพวกนั้นไม่สามารถเข้าใกล้ได้”

“ที่สำคัญจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ของจอมมารชูร่าเพื่อขัดขวางไม่ให้คนของทวีปโอชวินกลับมายังโลกอีกครั้ง รบกวนสมดุลของที่นี่ และฉกฉวยทรัพยากร ด้วยพลังสุดท้าย ผนึกช่องทางการขนส่ง”

“การก่อตั้งกลุ่มสิงโต ก็เพื่อขัดขวางคนของทวีปโอชวินกลับมายังโลกอีกครั้ง แม้ว่าพวกเรากับจอมมารชูร่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันมากนัก แต่ก็รู้เหมือนว่าหากคนเหล่านั้นของทวีปโอชวินกลับมาสู่บนโลก จะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไร”

“ดังนั้นไม่มีใครคาดหวังให้ผู้คนในทวีปโอชวินกลับมาอีกครั้ง พวกเขามีแต่จะทำให้โลกนี้แย่ลงมากขึ้น”

“และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเหล่านั้นที่ไปยังทวีปโอชวินก็ค่อยๆฟื้นฟู่พลังชีวิต ไอสังหารของจอมมารชูร่าหลังจากการเสียชีวิตก็สลายไป พวกเขาสร้างรูปร่างของจอมมารชูร่า ตั้งใจเก็บไว้ที่โบราณสถานเหล่านั้นของบนโลก”

“แม้ว่าพวกเราจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับคนเหล่านั้นของทวีปโอชวิน แต่ยังดีที่จอมมารชูร่ายังทิ้งผนึกเส้นทางนี้ไว้ ความแข็งแกร่งของแดนเทพ อาศัยการผนึกก็เพียงพอขัดขวางการบุกรุกของทวีปโอชวินได้”

“เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ฉันในฐานะอัจฉริยะที่น่าทึ่งที่สุดในเวลานั้น ก้าวหน้าแดนเทพได้สำเร็จ เข้ารับหน้าที่ดูแลช่องทาง หลังจากนั้นไม่นาน คนของทวีปโอชวินพยายามที่จะบุกรุกโลก ดำเนินการลองทำลายผนึกของช่องทาง”

“สถานการณ์ในตอนนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนผนึกกำลังจะล่มสลาย ฉันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเสียสละร่างกายของตัวเอง และใช้จิตวิญญาณเทพอเสริมสร้างผนึกถึงได้สามารถต้านทานการรุกรานจากคนเหล่านั้นของทวีปโอชวิน”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท