พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1353 คาถาผนึกวิญญาณ

บทที่ 1353 คาถาผนึกวิญญาณ

รพีพงษ์ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย มีเพียงแค่ทำแบบนี้ เขาถึงจะวางใจได้จากนีย์และทั้งสองคนนี้ อีกอย่างมีเพียงแค่ทำแบบนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเกี่ยวกับความคิดที่แท้จริงของที่อยู่ในใจของนีย์ในเวลานี้

คนๆหนึ่งที่แม้แต่การฝึกบำเพ็ญตนของตัวเองก็สามารถสละทิ้งได้ พูดได้อย่างชัดเจนว่าเธอได้ยอมสละทวีปโอชวินแล้ว

รพีพงษ์รับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้ได้ ในไม่ช้านี้ ตัวเองก็ถูกตระกูลลัดดาวัลย์ทอดทิ้งเช่นกัน ตอนนั้น ตอนที่เพิ่งจะถูกตระกูลลัดดาวัลย์ทอดทิ้ง ถูกพ่อแม่เล่นงาน ในใจของตัวเองและนีย์ก็ช่างเหมือนกันมากเหลือเกิน

จิตวิญญาณเทพแพร่กระจาย รพีพงษ์เปิดใช้มนุษย์เล็กทองคำในสมองแล้ว

สิบวันนี้ รพีพงษ์เว้นแต่ช่วงหลังของการฝึกกังฟูเสนแล้ว ในขณะเดียวกันก็เริ่มเรียนรู้วิชาลับที่จอมมารชูราเหลือไว้ให้แก่ตัวเอง

หลังจากที่เข้าสู่แดนเทพ รพีพงษ์ก็ยิ่งจะชื่นชมให้กับความเก่งกาจของจอมมารชูราในตอนนั้น

เพียงแค่วิชาลับที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนคนของแดนเทพ มีมากมายถึงห้าสิบกว่ารูปแบบ และหนึ่งในนั้น รพีพงษ์กลับว่าเจอวิชาลับที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง

คาถาผนึกวิญญาณ

จุดสำคัญก็คือนำจิตวิญญาณเทพที่มีอยู่ในร่างกายของตัวเองผนึกให้กลายเป็นตรา แล้วทะลุเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่าย ทำแบบนี้แล้ว ก็สามารถผนึกการฝึกบำเพ็ญตนของอีกฝ่ายได้แล้ว

เพียงแค่ พละกำลังของแดนเทพขั้นแรก หากรพีพงษ์ต้องการผนึกทั้งสามคนพร้อมกัน อย่างมากที่สุดก็สามารถผนึกได้นานกว่าหนึ่งปี

อย่างที่รู้ๆกัน หนึ่งปีสำหรับผู้คนธรรมดาเมื่อพูดขึ้นมาแล้วมันช่างยาวนานมาก แต่สำหรับนักฝึกวิชาที่มีอายุกว่าร้อยปีนั้นกลับว่าสั้นมาก

แต่ว่าตอนนี้ รพีพงษ์กลับรู้สึกว่า ระยะเวลาหนึ่งปีก็เพียงพอแล้ว เพราะว่าเมื่อถึงเวลานั้น ความแค้นของตัวเองกับทวีปโอชวินก็น่าจะจบสิ้นแล้ว

ตามเคล็ดลับความสำคัญของวิชาลับอย่างคาถาผนึกวิญญาณ พลังของจิตวิญญาณเทพของรพีพงษ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์เล็กทองคำในสมอง ค่อยๆรวมตัวบนนิ้วทั้งห้า

อย่างรวดเร็ว รพีพงษ์วาดคาถา ท่ามกลางอากาศ ปรากฏตราที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งแล้ว

นีย์เห็นแล้วก็ค่อนข้างเคลิบเคลิ้ม เธอคิดไม่ถึงว่า คนๆนี้ที่ยืนอยู่หน้าของตัวเองจะได้เป็นผู้สืบทอดทั้งหมดต่อจากจอมมารชูร่าในตอนนั้น

และรพีพงษ์ในตอนนี้ เรียกว่าเทพก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงสักนิด

“ปล่อย!”

รพีพงษ์พูดคำรามเสียงดัง ตราที่อยู่ท่ามกลางอากาศล็อกนีย์ไว้อย่างรวดเร็ว

คิ้วที่เรียวงามละเอียดเหมือนใบหลิวของนีย์ขมวดเข้าหากันแล้ว ในร่างกายของเธอ พลังจิตวิญญาณที่มีอยู่มหาศาลถูกตราควบคุมไว้อย่างไม่เต็มใจ โจมตีต่อตรานี้อย่างไม่หยุดหย่อน แต่อย่างรวดเร็ว ก็ถูกคาถาผนึกวิญญาณกดทับไว้แล้ว ไม่เกิดคลื่นใดๆขึ้นมาอีกแม้แต่นิดเดียว

คาถาผนึกวิญญาณเสร็จสมบูรณ์ การบำเพ็ญตนของนีย์ถูกควบคุมไว้

นีย์คิดอยากจะลองกำหนดลมหายใจ กลับพบว่าภายในร่างกายของเธอมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีกลิ่นอายใดๆที่สามารถช่วยเสริมกำลังการต่อสู้ให้ตัวเอง

เธอในตอนนี้ ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง

อิงตามวิธีการที่เหมือนกัน รพีพงษ์ใช้คาถาผนึกวิญญาณกับปรมาจารย์แดนเทพทั้งสองท่านที่ถูกผูกมัดไว้กับโขดหินแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทั้งสองคนบาดเจ็บสาหัส คาถาผนึกวิญญาณของรพีพงษ์เกรงว่าจะไม่สามารถผนึกผู้บำเพ็ญตนทั้งสองคนได้อย่างง่ายดายเลย แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ตอนที่ผนึกเมฆที่เข้าสู่แดนเทพขั้นกลาง คาถาผนึกวิญญาณก็ได้รับการโจมตีจากพลังจิตวิญญาณภายในของเมฆอย่างดุเดือด

หลังจากที่ทนต่อการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า กลิ่นอายที่ขัดแย้งภายในของอีกฝ่ายถึงจะได้สงบนิ่งลง แต่ว่ารพีพงษ์ก็รู้ สำหรับเมฆแล้ว ระยะเวลาที่ผนึกไว้ได้อย่างมากที่สุดก็แค่แปดเดือนกว่าเอง

ในเมื่อเป็นแบบนี้ รพีพงษ์ก็พึงพอใจอย่างมาก

และเขาก็เชื่อด้วยว่า ถ้าหากการฝึกบำเพ็ญตนของตัวเองนั่นยกระดับสูงขึ้นอีกหน่อย คาถาผนึกวิญญาณก็จะต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน!

“ตอนนี้ พวกคุณก็ออกไปได้แล้ว” รพีพงษ์พูดกล่าวกับนีย์

นีย์พยักหน้า และในเวลานี้ เมฆพวกเขาก็ได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว

บาดแผลบนตัวทำให้พวกเขาเจ็บปวดอย่างมาก แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้มากกว่าบาดแผลก็คือ หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็พบว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงใดๆทั้งสิ้นเลย

“องค์หญิงน้อย นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”

ชาคริตได้พูดกล่าวหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา ตามมาด้วยเขามองไปที่รพีพงษ์พร้อมพูดว่า : “ไอ้หนุ่ม แกปล่อยองค์หญิงน้อยไป มีอะไรก็มาจัดการที่พวกเรา!”

เมฆก็พูดแบบนี้เช่นกัน : “แกปล่อยองค์หญิงน้อยไป เรามาสู้รบในขั้นเด็ดขาดกัน!”

“สู้รบกันในขั้นเด็ดขาด เกรงว่าตอนนี้แกแม้แต่คนงานคนเดียวก็คงจะสู้ไม่ไหวนะ” รพีพงษ์เอ่ยพูดอย่างดูถูก

เมฆเงียบขรึมไปทันที จริงๆด้วย ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่สู้รบกับรพีพงษ์คนที่มีพลังวิเศษเสนและเน่ยจิ้ง แม้แต่คนที่มีเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อย ล้วนแต่ต่อยสู้เขาได้จนต้องกรีดร้อง

“พวกคุณไปซะเถอะ นีย์ จำคำพูดทั้งหมดของคุณไว้ให้ดี หากคุณยังกล้าที่จะทำเรื่องที่ไม่ดี ขอเพียงแค่ยังอยู่ในโลกของฉัน ไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหน ฉันจะต้องหาคุณเจอแน่นอน และจัดการคุณให้สิ้นซาก !” รพีพงษ์พูดจาด้วยสีหน้าที่จริงจัง

นีย์พยักหน้า : “ลุงคริต อาเมฆ เราไปกันเถอะ”

ชาคริตและเมฆทั้งสองคนรู้สึกแปลกๆ แต่หลังจากนั้น รพีพงษ์ก็ขยับพลังจิต โซ่ที่ล็อกพวกเขาสองคนไว้ก็ถูกปลดออก

“ถ้าจะออกไปล่ะก็ ก็ตามฉันมา”

หลังจากที่รพีพงษ์พูดประโยคนี้ออกไปอย่างเยือกเย็น ก็เดินนำออกไปก่อนแล้ว

นีย์พวกเขาทั้งสามคนไม่พูดจาอะไร ต่างก็เดินตามรพีพงษ์ออกไปแล้ว

“เจ้าสำนัก นี่คุณ……”

ด้านนอกภูเขา หงส์และพวกต่างก็มองไปยังรพีพงษ์อย่างตกใจ

“ปล่อยพวกเขาไป” รพีพงษ์พูดกล่าว

“ไม่ได้ ปล่อยไปไม่ได้นะ!”

หงส์พูดเสียงดังว่า : “พวกเขาคือคนของทวีปโอชวิน เราจะไม่ยอมอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันกับทวีปโอชวิน จะปล่อยพวกเขาไปได้ยังไงกัน!”

“จริงด้วย เจ้าสำนัก ที่หงส์พูดก็ถูกนะ ฉันคิดว่า เรื่องนี้ควรจะมาปรึกษากันให้ดีๆก่อน” มังกรที่เงียบขรึมมาตลอดก็พูดออกมาเหมือนกัน

รพีพงษ์ส่ายๆหน้า มองไปยังหงส์พร้อมพูดว่า : “ที่คุณพูดก็ถูกนะ พวกเขาเป็นคนของทวีปโอชวินจริงๆด้วย แต่ว่า พวกเขาถูกทวีปโอชวินทอดทิ้งแล้ว อีกอย่าง ฉันได้ผนึกการฝึกบำเพ็ญตนของพวกเขาไว้แล้ว พวกเขาในตอนนี้ ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามใดๆทั้งสิ้นให้พวกเราได้อีกแน่นอน”

“ปิดผนึกการฝึกบำเพ็ญตน?”

มังกรและพวกตกใจกันอย่างมาก หงส์เดินไปยังเบื้องหน้าของนีย์เลย

สายตาของเธอเยือกเย็นมาก กริชเงินเล่มหนึ่งปรากฏในมือของตัวเองในตอนนี้ทันที

เฟี้ยว!

กริชพุ่งโจมตีไปยังอีกฝ่าย นีย์ยกมือเพื่อป้องกันอย่างไม่รู้ตัว แต่แขนน้อยๆของเธอยังคงได้รับบาดเจ็บจากกริชเช่นเคย

“ดูเหมือนที่คุณพูดจะเป็นความจริงนะ” หงส์พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ

แม้ว่าการโจมตีของตัวเองจะไม่ธรรมดา แต่ว่าเธอก็ค้นพบว่า ไม่ได้สัมผัสถึงพลังจิตวิญญาณใดๆทั้งสิ้นบนตัวของนีย์เลย

“ผมเคยโกหกคุณซะที่ไหนล่ะ” รพีพงษ์พูดพร้อมยิ้มกริ่ม

“งั้นก็ได้ พวกแกไปเถอะ”

หงส์พูดข่มขู่ว่า : “แต่ว่าแกต้องจำไว้นะ คนของกลุ่มสิงโตของเรามีอยู่ทั่วทุกที่ ถ้าหากพวกแกยังกล้ามาก่อเรื่องวุ่นวาย เราจะฆ่าพวกแกโดยทันทีเลย! ”

“วางใจเถอะ ตอนนี้ฉันอยากเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง” นีย์พูดกล่าว เดินก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองสามก้าว

หันหลังกลับมา เธอมองไปยังรพีพงษ์

ลมพัดผมของเธอปลิวไสว นีย์พูดเสียงเบาว่า : “รพีพงษ์ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แต่ยังไงก็ ขอบคุณคุณนะ”

พูดแล้ว พวกเขาเหยียบย่างท่ามกลางรัศมีแห่งอาทิตย์ ค่อยๆเดินไกลออกไปและหายไปจากภูเขาลูกนี้แล้ว

ณ ทวีปโอชวิน

ภูเขาด้านหลังที่ถูกห้อมล้อมด้วยพลังทิพย์ ผู้ชายสามสี่คนในชุดฉางเผ่าสีดำยืนเรียงกันเป็นแถวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขาก็ไม่ใช่คนอื่น คือองค์หญิงใหญ่ของทวีปโอชวิน ฉันท์ชนก

ในเวลานี้เธอมีใบหน้าที่จริงจัง : “พวกแกล้วนแต่ติดตามฉันมาตั้งแต่เด็กๆ ฝึกฝนในภูเขาแห่งนี้มาด้วยกันตลอด ตอนนี้ ถึงคราวที่ฉันจะต้องใช้งานพวกแกแล้ว!”

“ข้าน้อยจะต้องตอบแทนองค์หญิงใหญ่ขอรับ!” ทั้งห้าคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน

พวกเขาเป็นกองกำลังที่พิเศษของฉันท์ชนกที่แอบปลูกฝังมานานกว่าหลายปี วิญญาณผี!

และทั้งห้าวิญญาณผีนี้ พละกำลังของแต่ละคนล้วนถึงแดนเทพแล้ว หนึ่งในนั้นมีสามท่านที่มีพละกำลังเข้าสู่แดนเทพขั้นกลาง

พละกำลังอย่างนี้ แม้แต่เจ้าทวีปกิตติ์(จิรกิตติ์)ของทวีปโอชวินล้วนแต่ไม่เคยเข้าใจ

“หลังจากสามวัน เวลากลางคืน ฉันจะเปิดช่องทางให้กับพวกแก พวกแกก็จะออกจากทวีปโอชวิน มาถึงโลก” ฉันท์ชนกพูดกล่าว

“ครั้งนี้ เป้าหมายของพวกแกมีเพียงสิ่งเดียว จัดการองค์หญิงน้อยนีย์และท่านอาวุโสทั้งสองคนนั้นให้สิ้นซากทั้งหมด ห้ามให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับมายังทวีปโอชวินได้ ฟังเข้าใจไหม!”

“ข้าน้อยรับทราบ!” ทั้งห้าคนพูดตอบรับพร้อมเพรียงกัน

ฉันท์ชนกยิ้มอย่างพึงพอใจ เงยหน้ามองพระจันทร์ที่สลัวๆบนท้องฟ้า

“เหอะๆ นีย์ อยู่ที่ทวีปโอชวินไม่สามารถฆ่าแกได้ งั้นก็ฆ่าแกให้สิ้นซากที่โลกใบนั้นแล้วกัน!”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท