พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1609 คนหนุ่มสาวมีไอเดียมากมาย

บทที่ 1609 คนหนุ่มสาวมีไอเดียมากมาย

ยัยหิมะมองรพีพงษ์อย่างไม่เข้าใจ หรือว่ารพีพงษ์จะหมายถึงให้อีกฝ่ายร้อนใจ ยิ่งร้อนใจก็ยิ่งไม่ทันสังเกต หากเป็นเช่นนี้เป้าหมายของพวกเขาก็จะเข้าถึงได้ง่ายงั้นสินะ?

แม้ว่านี่จะเป็นไอเดียที่ดี แต่คนข้างกายของนรเทพก็ไม่ได้โง่ เธอมองรพีพงษ์ ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาจะทำอะไรก็ต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว

เมื่อกำลังของนรเทพรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า พวกเขาสามารถจัดการนรเทพ ตอนนี้นรเทพไม่มีกำลังแล้ว ที่ต่อสู้ก็เป็นเพียงแค่ทหารตัวเล็กๆข้างกายเขาเท่านั้น สำหรับรพีพงษ์แล้ว ก็คงไม่อยากหรอก

“พวกคุณรอกันตรงนี้นิ่งๆอย่างเชื่อฟังคำสั่ง ฉันเองก็มีภารกิจที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าพวกคุณจะทำอะไรฉันจะสนับสนุนจนถึงที่สุด”

ยัยหิมะมองและยิ้มให้รพีพงษ์อย่างไม่หยุด และในใจของรพีพงษ์ก็หวั่นไหวเล็กน้อย รอยยิ้มนี้เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าของอารียา

อารียาทำตามเขาทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรก็เชื่อใจเขาหมด และเข้าใจเขาเสมอ

ปัณฑากำลังจะไปยังโลก ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบลูกสาวและภรรยาไหม เมื่อคำนวณแล้วตอนนี้ก็ใกล้แล้วล่ะ น่าจะได้เจอกันแล้ว

ตอนนี้ตัวเองต้องการแค่จัดการเรื่องเทวโลกให้เสร็จก็จะกลับไปได้ บางทีผู้หญิงคนนั้นนำวิญญาณไปส่งถึงมือเจ้าสำนักแห่งสำนักเทพยาเซียนแล้ว ลูกสาวได้รับความช่วยเหลือ ทุกคนก็สามารถกลับมารวมตัวกันได้

ในยามว่างก็จะคิดถึงภรรยาและลูกสาว พวกเขาเป็นคนที่ตัวเองรักมากที่สุด จะให้เกิดอะไรขึ้นไม่ได้

ในใจของยัยหิมะไม่พอใจเล็กน้อย เธอเป็นคนพูดกับเขาแท้ๆ ในใจของเขากลับว่าคิดถึงอะไรบางอย่าง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นี่ดูเหมือนกับไม่ค่อยเคารพตนเลย

แต่ในเมื่อรพีพงษ์เก่งขนาดนี้ เขาจะทำอะไรก็รับได้ทุกอย่าง

นี่คือสิ่งที่เธอคิดในจิตใต้สำนึกของเธอ คนเก่งแบบนี้ ไม่น่าแปลกใจที่มีผู้หญิงมากมายรอบตัว

ยัยหิมะสังเกตผลิน วันๆเธอก็เอาแต่ไปพัวพันกับรพีพงษ์ แต่สองคนก็ไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์อะไร

ผลินก็ถือว่าดูดีเหมือนกัน และก็ไม่สามารถทำให้รพีพงษ์หวั่นไหวได้ เช่นเดียวกับที่รพีพงษ์พูดเอง บางทีนอกจากภรรยาของเขา คนอื่นก็ไม่อยู่ในสายตา

คนของนรเทพมาถึงรอบๆตำหนักอ๋องแล้วแต่เข้าไปไม่ได้ พวกเขาโจมตีเมือง แต่ในเมืองไม่มีใครสักคน รู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอก ในใจไม่สบอารมณ์เลย

เดชาไม่มีทางอื่น ทำได้เพียงโทษนฤเบศร์ในเรื่องนี้ เขารู้สึกว่านฤเบศร์ต้องตั้งใจแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่พูด หลังจากที่ทุกคนไปแล้วถึงจะแจ้งซะงั้น

นี่เป็นตรรกะที่ไม่เหมาะสมเลยสักนิด มองไปบรรยากาศรอบๆ ไม่มีเสียงใดๆเลย ตระกูลภูสรีดาวได้สร้างข่ายอาคมขนาดใหญ่ขึ้น เขาไม่มีความสามารถในการเปิดมันออกได้

ทหารส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นประชาชนทั่วไป มีผู้บำเพ็ญตนบ้างประปราย แต่ก็ไม่ได้บำเพ็ญถึงขั้นสูง ในสายตาของยอดฝีมือ เป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น

ภายนอกดูมีพลังอิทธิพลมาก แต่จริงๆแล้วเปราะบางมาก นี่ทำให้คนพ่ายแพ้ได้จริงๆ ลูกน้องของเดชาจุดไฟแล้วพูดว่า: “ตอนนี้นี่ก็เหมือนกับไข่ไก่ รอยอะไรก็ไม่มี พวกเราเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงรออยู่ตรงนี้ หรือว่าจะนั่งรอความตายแบบนี้จริงๆ?”

“ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่แผนการระยะยาว ข่ายอาคมของพวกเขาไม่สามารถอยู่ได้ตลอดชีวิตหรอก ขอเพียงแค่เรารอแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คนข้างในก็ต้องการอาหาร สักวันหนึ่งพวกเขาก็หมดทางไป”

เดชาหมดหนทาง เขาคิดไอเดียอื่นไม่ออกจริงๆ

ลูกน้องของเขาเสนอไอเดียออกมาว่า: “นฤเบศร์อยู่ในเมืองนี้มาก็นานแล้ว รู้จักเกี่ยวกับเรื่องข่ายอาคมพวกนี้เป็นอย่างดี พวกเราไปหาเขาอาจจะมีวิธีอื่นนะ!”

ที่จริงเดชาคิดไม่ถึง เขาคิดว่าในตำหนักอ๋องมีคน ที่จริงแล้วตำหนักอ๋องว่างเปล่า แค่พวกเขาเข้าไปไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าได้ย้ายไปที่อื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้พวกเดชา เป็นแค่คนล่องหนในสายตาของปริตร ตนเห็นทุกการเคลื่อนไหวของเขา เพื่อทำให้สถานการณ์ที่นี่ในตอนนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น รพีพงษ์เปลี่ยนภาพลวงตาเป็นผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ สามารถมองเห็นฉากศัตรูผ่านน้ำ

“ฉันก็คิดว่าจะเก่งมากเสียอีก ดูเหมือนว่าก็แค่นี้แหละ ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้น พวกเขาก็ไม่มีไอเดียแล้ว เมื่อถึงตอนจบก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย”

ผลินอยู่ข้างๆไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็มองออกว่าหมากเกมนี้ใครแพ้ใครชนะ คนอื่นก็ดูอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นเพียงด้านเดียว

รพีพงษ์คิดเสมอ ว่าพวกเขามีคนเยอะแยะมากมาย ให้สู้ 10 ต่อ 1 คน นั่นก็เหลือทนแล้ว ต่างก็บอกว่าอย่าเอาไม้ไผ่ไปงัดไม้ซุง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่มีไอเดียอะไร รอการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่

สิ่งที่เขาทำคือการเตรียมงานและเขาสามารถมองเห็นได้ ทุกคนตรงนั้นต่างก็คันไม้คันมืออยากที่จะลองดู ต้องการแข่งขันกับกองทัพของนรเทพ

เทวเทพเป็นคนใจร้อน เขาทนไม่ไหวที่จะบริโภคจนค่อยๆหมดไป ก็ปล่อยให้เขาออกไปต่อสู้กับคนของนรเทพ ในใจของเขาถึงจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง

บ่นกับบวรวิทย์ฝั่งนี้ว่า: “เมื่อไหร่ถึงจะจัดการเรียบร้อย?”

บวรวิทย์จำใจ พ่อของเขาใจร้อนและไม่ใช่วันหรือสองวัน เป็นไปตามที่คาดไว้ ปลอบขวัญว่า: “ทหารหลายแสนนาย มันไม่พอที่จะฆ่าพ่อเหรอ? การเตรียมตัวล่วงหน้าก็จะทำให้งานเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว การเตรียมการทั้งหมดในขณะนี้มีไว้สำหรับชัยชนะในอนาคต”

“ฉันกลับรู้สึกว่าทำไปทำมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับชัยชนะหรอก ไม่แน่ฝ่ายศัตรู คิดว่าพวกเรากลัวพวกเขา จึงมาหลบกัน”

บวรวิทย์อดไม่ได้ที่จะยิ้ม: “ผมกลับรู้สึกว่าคำพูดของพ่อมีเหตุผล แต่บางครั้งการหลบสามารถทำให้พวกเขาหาไม่เจอ นี่ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เหรอ?”

ระหว่างที่พูดนั้น บวรวิทย์พาเทวเทพไปยังคลื่นน้ำที่สะท้อน เทวเทพมองเห็นกองทัพศัตรูเหล่านั้นต่างก็ดูไม่มีชีวิตชีวา ดูอ่อนแอ

เหมือนว่าในใจคิดอะไรออกมา กระจกคลื่นน้ำนี้ถูกเปลี่ยนโดยรพีพงษ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ปริตรสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของศัตรู สามารถบรรลุชัยชนะที่คาดการณ์ไว้ได้?

ทันใดนั้นในใจก็มีไอเดียขึ้นมา ไปถามความคิดของนราธิป นราธิปรู้จักนิสัยของเทวเทพ และถามเขาว่า: “คุณคิดว่าอะไรที่สำคัญที่สุดสำหรับสงคราม?”

“ก็ต้องเป็นความมีระเบียบ ร่วมมือกันอย่างรู้ใจ” เทวเทพเพิ่งพูดจบก็เข้าใจความหมายของนราธิป: “ท่านวางใจเถอะ ฉันจะไม่ให้พวกเด็กๆเดือดร้อนไปด้วย”

“ตอนนี้คนหนุ่มสาวมีไอเดียมากมาย ก็ให้พวกเขาไปลองทำดู พวกเขาก็ต้องเติบโต อีกอย่างไอเดียของพวกเรา พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลย”

นราธิปกล่าวกับเทวเทพ มีความคิดอื่นอยู่ในใจ ปริตรเรียนคงไม่รู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์คอยสอนชี้แนะ แต่อาจารย์ของเขาคือใคร

ทำไมตั้งแต่ไหนแต่ไรตนเองไม่เคยได้ยินคนที่เก่งเช่นนี้มาก่อนเลยล่ะ?

และผู้ที่เก่งจริงส่วนมากซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน บางทีอาจจะอยู่ใกล้ตัว แต่ก็ไม่เคยรู้เลย

เท่าที่เขารู้ ตั้งแต่เด็กปริตรไม่เคยเดินทางไกลเลย อยู่ในเมืองแฟรี่มาตลอด คนเก่งคนนั้นก็จะต้องอยู่อย่างแน่นอน ขอเพียงแค่ตัวเองค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน จะต้องหาเจอแน่……

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท