บทที่ 173 ในโลกของผม ไม่มีคำว่าชอบ
“มู่วี่สิงตอนนี้เขาต้องโดนผีเข้าสิงเป็นแน่ จริงมั้ย?” ลู่หวั่นต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน
ต่อหน้าผู้คน ลู่หวั่นมักจะแสดงความอ่อนโยนออกมา แต่พอมาเจอเรื่องมู่วี่สิง เมื่อเธออยู่ในที่ที่คนมองไม่เห็น เธอก็จะควบคุมอาการตัวเองไม่อยู่
“ได้แต่หวังเช่นนั้น” ลี่หนานเฉิงขมวดคิ้ว เขารู้จักกับมู่วี่สิงมาตั้งหลายปี ก็ไม่อาจจะอ่านใจของมู่วี่สิงได้เลย
ภายในรถ กลิ่นไวน์ที่ฟุ้งกระจายอย่างเบาบาง
เวินจิ้งแม้จะดื่มไวน์เข้าไปนิดหน่อย แต่เธอเป็นคนคอไม่แข็ง ทำให้ตอนนี้เริ่มรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย
มือชายหนุ่มเริ่มยื่นออกมาจับที่ศีรษะของเธอเข้าไปพิงที่ไหล่ของเขา
เวินจิ้งรู้สึกตกใจ จึงรีบผลักเขาออกไป
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว สัมผัสหน้าเธอขึ้นเล็กน้อย “ลู่หวั่นพูดอะไรกับคุณหรือ? หือ?”
“ก็ไม่ได้พูดอะไร” เวินจิ้งหลับตาลง
“เวินจิ้ง ถ้าคุณไม่พูด ผมก็จะจูบคุณจนกว่าคุณจะยอมพูด” หลังเขาพูดจบ ใบหน้ามู่วี่สิงก็เริ่มเข้าใกล้เธอมากขึ้น
เวินจิ้งรู้ว่าเขาพูดจริงทำจริงเป็นแน่ จึงรีบลืมตาขึ้น พร้อมกับใช้มือดันที่หน้าอกของเขาออก
เธอจ้องมองที่เขา “คุณลู่พูดว่า ตั้งแต่เด็กเธอก็อยู่ร่วมบ้านกับคุณแล้ว”
มู่วี่สิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา เขารู้ว่านี่ไม่ใช่คำพูดที่ลู่หวั่นพูดเป็นแน่
แต่ว่าความหมายก็ไม่ต่างกันนัก
“ตอนลู่หวั่นอายุสิบขวบ เธอก็เข้ามาอยู่ในตระกูลมู่แล้ว พวกเราอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาหลายปีจริง” มู่วี่สิงตอบไปอย่างอดทน
เวินจิ้งถามต่อ “ตระกูลมู่รับเธอเป็นบุตรบุญธรรมหรือ?”
มู่วี่สิงพยักหน้า “ตอนนั้นที่ผมเจอกับลู่หวั่น พ่อแม่ของเธอก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ส่วนอาของเธอกลายมาเป็นผู้ปกครองเธอแทน แต่ว่าผู้ชายคนนั้น มักจะกระทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อลู่หวั่นนัก”
เวินจิ้งยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุยังน้อยก็ต้องมาเผชิญกับเรื่องราวเช่นนั้น จริงๆแล้วก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนต้องเห็นใจเธอ
“คุณคงดูแลเธอมาตลอดหล่ะสิ? เวินจิ้งถามเขา
แต่ทว่าความคับข้องในใจเธอเริ่มคลายลงไปไม่น้อย
มู่วี่สิงจ้องมองที่เวินจิ้ง ดูเหมือนว่าอยากจะมองออกว่าเธอต้องการจะฟังคำตอบแบบไหน
เขาเริ่มตอบ “คุณปู่หวังว่าอยากจะมีหลานสาวสักคน แต่ตระกูลมู่ก็ไม่มีสายเลือดหญิงเลย ฉะนั้นทุกคนจึงดูแลเธออย่างมาก”
“อืม ถ้าเช่นนั้นลู่หวั่นก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลมู่แล้ว ทำไมคุณปู่ถึงไม่จับคู่เขากับคุณหล่ะ?” เวินจิ้งถาม เรื่องในใจของลู่หวั่นนั้นแสดงออกมาให้เธอเห็นต่อหน้าอย่างชัดเจน
แต่ก็ไม่รู้ว่าคนในตระกูลมู่จะรู้เรื่องที่อยู่ในใจของลู่หวั่นนั้นหรือไม่
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ทั้งยังเคาะที่หน้าผากของเธอ “เขาไม่ใช่คนของตระกูลมู่ เขายังติดต่อกับคนของตระกูลลู่มาตลอด อีกอย่างคือ ผมไม่ได้ชอบเขา”
ท่าทีของมู่วี่สิงพูดอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เวินจิ้งรู้สึกประหลาดใจ
เธอกระพริบตา ไม่จำเป็นต้องคาดเดาอะไร เธอรู้ว่ามู่วี่สิงไม่ได้โกหกเธอ
“ถ้าเช่นนั้นคุณชอบใคร?” เวินจิ้งถามออกไป
สายตาอันเยือกเย็นของมู่วี่สิงมองผ่าน “ในโลกของผม ไม่มีคำว่าชอบ”
เขายังคงพูดซ้ำคำนั้น
ในตาของเวินจิ้งเริ่มผิดหวังและปล่อยตัวลง
เริ่มคาดเดาว่าในอดีตมู่วี่สิงคงเคยได้รับบาดแผลเรื่องความรัก จนทำให้ตอนนี้เขาเป็นคนไร้ซึ่งความรู้สึกในเรื่องนี้
“อย่าคิดไปไกล ผมยังปกติอยู่” เขามองดูสีหน้าของเวินจิ้ง แล้วพูดตอบด้วยน้ำเสียงอันเรียบเย็น
“ฉันรู้แล้วหล่ะ!” เวินจิ้งรู้สึกขุ่นเคือง ผลักตัวเขาออกห่าง
มู่วี่สิงกลับไม่ยอม แต่ให้เขานั่งในส่วนเก้าอี้ที่กว้างขวาง เวินจิ้งประจันหน้ากับเขา รู้สึกเหมือนตอนอยู่ในงานเลี้ยงที่เห็นสายตาอันเป็นประกาย เธอผู้เหมือนกับดอกบัวที่กำลังผลิบานสะอาดตา งดงามยิ่งนัก
สายตาของเขายิ่งมองยิ่งรู้สึกลึกซึ้ง ในที่สุดก็ได้ลิ้มรสถึงความรักอันหอมหวาน บรรจงจูบแล้วจูบอีก จูบจนเวินจิ้งหายใจได้ไม่เต็มปอด
รถยนต์ได้ขับมาถึงการ์เด้นมู่เจียวานตั้งนานแล้ว เวินจิ้งรู้สึกตัวขึ้น กระพริบตา ณ เวลานี้ มู่วี่สิงได้บรรจงจูบเธออย่างนุ่มนวลลึกซึ้ง เฉกเช่นดั่งจูบที่ลึกลงไปถึงในกระดูกเธอ
เธอไม่อยากอยู่ห่างจากเขา
เวินจิ้งหลับตาลง เริ่มตอบสนองเขากลับ
แต่คิดไม่ถึงว่าการตอบสนองของเธอนั้นไม่อาจเปลี่ยนใจได้อีก มือของมู่วี่สิงยื่นเข้ามาในตัวเธอ เวินจิ้งเริ่มสั่นเทา พื้นที่ในรถหรูนั้นกว้างขวาง เก้าอี้ด้านหลังพับเป็นแนวเรียบ ตัวเธอถูกมู่วี่สิงกดทับอยู่ใต้ร่างกายเขาอยู่
“มู่วี่สิง……” เวินจิ้งพูดอย่างตกใจ ในรถยังมีคนอยู่นะ!
หนึ่งวินาทีผ่านไป เธอได้ยินเสียงคนขับรถลงจากรถ พื้นที่ในห้องด้านหลังรถถูกแบ่งอย่างเป็นสัดส่วน เป็นส่วนตัวยิ่งนัก
“อือ?” เสียงอันทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่เก็บกั้นอารมณ์ไว้ ดูเหมือนว่ากำลังจะระเบิดออกในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
การเคลื่อนไหวอันทรงพลังของเขา เวินจิ้งถูกเขาล็อคไว้แน่นขึ้น ร่างกายเริ่มสั่นเทา
ไม่ได้นะ……
“มู่วี่สิง อย่าทำตรงนี้เลยนะ……”
“ก็ได้ ฟังคุณนายมู่” มู่วี่สิงนั่งตัวตรงขึ้น เมื่อเขาลงรถก็ได้อุ้มตัวเวินจิ้งขึ้นมา เธอรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
เธอจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เข้าที่ เวินจิ้งรู้สึกกลัวๆกล้าๆ เกรงว่าระหว่างทางเดินจากโรงรถขึ้นไป อาจจะถูกคนเห็นได้……
ทว่าก็มีคนกำลังรอลิฟต์อยู่จริงๆ เมื่อเงยหน้ามองขึ้น เขาคือ ฉีเซิน……
เมื่อมองเห็นเวินจิ้งกำลังถูกอุ้มอยู่ มือทั้งสองของเขาล้วงกระเป๋า ริมฝีปากเชิดขึ้นกับรอยยิ้มอันมีลูกเล่น
“คุณนายมู่เป็นอะไรไปหรือ?” สีหน้าของเขาแสดงถึงความห่วงใย
ศีรษะของเวินจิ้งหลบเอียงอยู่ในอ้อมกอดของมู่วี่สิง ไม่พูดคำใดออกมา
“ไม่ต้องรบกวนประธานฉีมาห่วงใยหรอก” มู่วี่สิงสีหน้าไร้อารมณ์
“ผมกับประธานมู่ไม่คุ้นเคย แต่กลับคุณนายมู่จะคุ้นเคยมากกว่าหน่อย การที่ผมจะแสดงความห่วงใยเธอก็สมควรแล้ว”
เวินจิ้งเงยหน้าขึ้น สายตาอันเรียบเฉย ฉีเซินกำลังพูดมั่วอะไรอยู่!
เธอกับเขาไม่คุ้นเคยเลยสักนิด!
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยช่วยเธอไม่กี่ครั้ง แต่ระหว่างเธอกับเขาจริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนกันเลย
“คุณฉี ระหว่างเราไม่คุ้นเคยกันนะคะ” เวินจิ้งโต้กลับ
ฉีเซินอมยิ้ม “จริงหรอ? ความจำของคุณนายมู่น่าจะไม่ค่อยดีนะ?”
“ความจำของฉันนั้นไม่ดี เรื่องที่ไม่อยากจำ ก็จะจดจำไม่ค่อยได้หรอกค่ะ” สีหน้าของเวินจิ้งเย็นลง
เวลานี้ ลิฟต์มาถึงแล้ว มู่วี่สิงอุ้มเธอเดินเข้าไป มองดูฉีเซิน ในตาเขาทำให้คนรู้สึกหนาวเย็น
ฉีเซินแสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ไม่เกรงกลัวอะไร
“ลาก่อนครับ คุณนายมู่”
เวินจิ้งรู้สึกโกรธ ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองไปยังมู่วี่สิง เขาคงจะไม่โกรธใช่ไหม?
“มู่วี่สิง คุณอย่าไปฟังฉีเซินเขาพูดมั่วซั่ว ฉันกับเขาไม่ได้ติดต่ออะไรกันแล้วจริงๆ” เวินจิ้งเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องอธิบายให้เขารับรู้ เพียงแต่รู้สึกว่า เธอเองต้องพูดกับมู่วี่สิงให้ชัดเจน
มู่วี่สิงส่งเสียงตอบรับ ความรู้สึกโกรธในใจเบาบางลงบ้าง
เวินจิ้งมองเขาไม่ออก แต่ว่าคงจะไม่โกรธหล่ะมั้ง?
เมื่อกลับเข้าไปในบ้าน มู่วี่สิงอุ้มเธอตรงไปยังห้องนอน เขาได้แต่อุ้มเธอไปวางบนเตียง จากนั้นก็ไม่ได้กระทำสิ่งใดต่อ
เวินจิ้งไม่ติดใจอะไร เพียงแต่เห็นมู่วี่สิงหันหลังกลับ เธอก็โอบกอดเข้าที่แผ่นหลังของเขา
เพราะว่าความอบอุ่นที่เขามีให้ในเวลานี้ ทำให้เธออยากจะปล่อยใจ
“มู่วี่สิง” เธอกระซิบอย่างแผ่วเบา
“คนดี คุณเข้าไปอาบน้ำก่อนนะ ผมยังมีงานต้องทำอีก” มู่วี่สิงหันหลังกลับแล้วลูบที่ผมของเธออย่างเอ็นดู
นัยน์ตาอันสุขุมเยือกเย็นของเขาถูกเขาปกปิดไว้หมด
เวินจิ้งรู้สึกไม่วางใจ จึงไม่ยอมปล่อยมือจากเขา
“ดึกป่านนี้แล้ว พักผ่อนกันเถอะนะ” เป็นครั้งแรกที่เวินจิ้งเป็นฝ่ายรุก
มู่วี่สิงลดสายตาลง ไม่ง่ายเลยที่จะดับไฟอันเร่าร้อนให้เบาลงได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเวินจิ้งมันช่างลุกโชติขึ้นมาอีกอย่างง่ายดาย
เขาหันหลังกลับ ดูเหมือนว่าเพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถล็อคที่ข้อมือของเวินจิ้งอยู่ กดตัวเธออยู่ใต้ร่างกายเขา ริมฝีปากอันเรียวบางงุ้มขึ้นเล็กน้อย ยิ้มแซวเธอว่า “คุณนายมู่ ต้องการหล่ะสิ?”
ในขณะนั้นเองแก้มของเวินจิ้งก็แดงก่ำ ขางอขึ้น ไม่ต้องการให้มู่วี่สิงรู้สึกชนะ
รอยยิ้มมู่วี่สิงยิ่งลึกซึ้งขึ้น “คนดี ผมไม่อนุญาตให้พูดล้อเล่นนะ คุณนายมู่ มองตาผมสิ บอกผมว่า คุณต้องการผม……”
สู่การจู่โจม —