บทที่ 695 อย่าดื้อ อย่าใส่อารมณ์
เวยอานเงยหน้าขึ้นแล้วจูบลงที่แก้มฝ่ายชาย พร้อมอธิบายว่า “คุณไม่ต้องกังวล ฉันได้ป้องกันไว้แต่แรก ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายใดๆขึ้น”
เห็นใบหน้าหลินยี่ที่เยือกเย็นน้อยลง เวยอานยกแก้มที่นุ่มนวลของตัวเองขึ้นถูไถลูบไล้อยู่ที่คางของเขา “คุณอย่าโกรธได้ไหม”
เขาใช้มือโอบเอวบางของเธอไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งใช้จับคางเธอไว้อย่างแน่นหนา โครงรูปใบหน้าที่งดงามช่างน่าดึงดูดให้หลงใหล เป็นเสน่ห์ที่ได้มาแต่กำเนิด “รู้ไหมว่าทำไมผมถึงโกรธ”
ทันใดนั้นเธอไม่กล้าจะสบตากับเขา เพราะชายคนนี้สามารถสะกดจิตเธอได้ง่าย ครั้นแล้วการสะกดจิตเช่นนี้สามารถรุกรานหัวใจของเธอให้เต้นดังตูบๆ เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อึดอัด “หลินยี่ ฉันคิดๆดูแล้ว ดูเหมือนโทษจำคุกของคุณยังไม่สิ้นสุด…..”
“ใช่ เพราะฉะนั้นถ้าตัวตนผมถูกเปิดเผยขึ้น คุณก็จะโดนข้อหาไปด้วย” เขายิ้มสัพยอกที่มุมปาก
ใบหน้าเวยอานซีดขึ้น กอดฝ่ายชายไว้อย่างแน่น “ฉันจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องขึ้นกับคุณอีก”
……
บ้านใหญ่ตระกูลมู่
เวินจิ้งท่องอินเทอร์เน็ตดูข่าวสาร เดิมทีเธอแค่ดูผ่านๆ แต่เนื่องด้วยมีใบหน้าคุ้นเคยพาดอยู่บนหัวข้อข่าว เธอจึงจดจ่ออยู่นานสองนาน
โม่ถิงเซินประธานผู้อยู่เบื้องหลังเจ้าของบริษัทในต่างประเทศ พักนี้มีเรื่องอื้อฉาวถูกตีข่าวเสียๆหายๆทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนั้นได้ตกลงตาม
ผู้ชายคนนี้ที่เวินจิ้งทราบว่าเขาคือแฟนของเวยอาน
เธอไม่ได้ติดต่อกับเวยอานนานแล้ว ไม่ว่าจะโทรศัพท์หรือวีแชทก็ไม่มีวี่แววตอบกลับ ราวกับว่าเพื่อนคนนี้ได้หายตัวไปแล้ว
ช่วงนี้เวินจิ้งก็ได้ถามข่าวคราวจากเพื่อนร่วมงานที่โรงพยาบาล ถึงทราบว่าเธอนั้นได้ลาออกจากงานไปแล้ว
ผู้ช่วยคนนี้ติดตามเธอมาสามปี ทั้งสองนอกจากเป็นเพื่อนร่วมงานแล้ว ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เวินจิ้งรู้สึกเป็นห่วงเธออย่างมาก
มู่วี่สิงเดินมาจากทางด้านหลัง แล้วโอบเข้าที่ร่างเอวบางของเธอ แล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขน เขาอาศัยจังหวะที่จิตใจเธอกำลังจดจ่อครุ่นคิดเรื่องข่าวสารอยู่ ทำการหอมเข้าไปที่แก้มเธอ เสียงทุ้มต่ำกระทบเข้าข้างใบหูของเธอ “กำลังดูอะไรอยู่ครับ”
เขาเลื่อนสายตาลง แล้วก็เห็นข่าวที่เกี่ยวกับโม่ถิงเซิน
“พี่ชายเธอนี่ก็ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเหลือเกินจริงๆ” มู่วี่สิงพูดอย่างคลุมเครือ
เวินจิ้งไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้ทำไมถึงไปเกี่ยวข้องกับหลินยี่ เมื่อกำลังจะอ้าปากขึ้น มู่วี่สิงกลับพูดขึ้นอย่างเบิกบานว่า “จิ้งจิ้ง ดูเหมือนตอนนี้คุณจะอ้วนขึ้นนะ”
เขาที่สัมผัสอยู่ที่เอวเธอ ดูเหมือนว่าจะดูกลมขึ้นกว่าแต่ก่อน
ในมุมมองของมู่วี่สิง ความอ้วนคือสัญลักษณ์ของการน่าสัมผัส ความสมบูรณ์และความสวยงามของร่างกาย
แต่สำหรับในมุมมองของเวินจิ้งตอนนี้คือ ความอ้วนมีเพียงอย่างเดียว คืออ้วนขึ้นแล้ว! กินมากเกินไปแล้ว!
เธอรีบวางแท็บเล็ตลง แล้วเลิกคิ้วขึ้น “นี่คุณรังเกียจฉันหรอ”
ตั้งแต่เด็กเธอก็มีรูปร่างที่สมส่วนและบอบบางมาโดยตลอด แม้แต่ช่วงเวลาที่เธอชอบทานขนมขบเคี้ยวของหวานก็ตาม เธอก็ไม่เคยอ้วนขึ้น!
เธอยื่นมือไปจับเอวของตัวเอง แล้วสีหน้าก็บูดเบี้ยวขึ้นทันใด อ้วนขึ้นจริงๆด้วย…..
เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองนั้นทานมากไป ทำไมถึงอ้วนขึ้นได้…..
เวินจิ้งมองฝ่ายชายด้วยหน้าตาบึ้งตึง “เดี๋ยวฉันจะไม่ทานอาหารเที่ยงนะ”
แก้มเธอที่บูดบึ้งได้ตกไปอยู่ในสายตาของฝ่ายชายที่ดูราวกับว่ากำลังฉอเลาะออดอ้อน เขาจึงก้มหน้าไปหอมเธออีกสองสามฟอด พูดอย่างรักใคร่เอ็นดูว่า “อย่าดื้อ อย่าใส่อารมณ์สิ”
ใครใส่อารมณ์กับเขาเล่า
นิ้วมือที่หยาบกร้านของเขาแตะไปที่ใบหน้ารูปไข่อันอ่อนนุ่มของเธอ ริมฝีปากที่เกือบจะสัมผัสถึงผิวของเธอ “ช่วงนี้คุณปู่ว่างไม่มีไรทำก็เลยลงครัวบ่อยๆ ทั้งหมดก็เพราะต้องการเอาใจคุณ คุณไม่ไว้หน้าผมคุณก็ควรจะไว้หน้าท่านสักหน่อยถูกไหม”
เธอมองออกถึงความร่าเริงเบิกบานของมู่วี่สิง เดิมทีเธอไม่ควรเข้าใจด้วยซ้ำ แต่ว่าเธอกลับมองทะลุปรุโปร่งและเข้าใจทุกอย่าง
ตอนแรกที่เขาตัดสินใจยอมปล่อยทิ้งเรื่องราวของมู่ซือซือแล้วเลือกเธอ เขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความหนักใจ แต่ว่าตอนนี้เพราะมู่เฉิงยอมรับในตัวเธอแล้ว ความเครียดในตัวเขาก็ค่อยๆจางหายไป
เวินจิ้งบุ้ยปาก “ใครบอกว่านั่นเป็นฝีมือคุณปู่ ทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือน้องสาวคุณต่างหากล่ะ”
เธอยิ้มฝืดๆแล้วพูดว่า “น้องสาวคุณแค่ต้องการอยากจะเอาใจคุณ”
มู่วี่สิงที่ไม่ได้ใส่ใจในคำพูด “ใช่ คนที่มีความคิดนั้นแน่นอนเขาต้องเอาอกเอาใจผม เธอเป็นเด็กกำพร้า เมื่อก่อนเป็นผมที่ช่วยเหลือเกื้อหนุนเธอ ตอนนี้เธอยังเข้ามาอยู่บ้านตระกูลมู่ เธอจะไม่เอาใจผมรวมถึงคนที่อยู่รอบข้างผมเลยหรอ”
เวินจิ้งไม่ทราบว่ามู่ซีจะคิดอย่างไรหากเธอรู้ขึ้นมา เธออุตส่าห์ใช้วิธีลงครัวทำอาหารที่มู่วี่สิงชอบทานด้วยตัวเองเพื่อเอาอกเอาใจเขา แต่ในสายตาของผู้ชายคนนี้กลับกลายเป็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการฝีมือของมู่เฉิงที่ต้องเอาอกเอาใจหลานสะใภ้อย่างเธอ
บนโต๊ะอาหารเธอแค่มองแวบแรกก็ดูออกว่าร้อยละแปดสิบล้วนเป็นอาหารจานโปรดของมู่วี่สิง แต่ว่ามู่วี่สิงกลับมองออกแค่ว่าในบรรดาอาหารทั้งหมดมีจานไหนบ้างที่เป็นจานโปรดของเธอ
เขาช่างรู้ดีในสิ่งที่เธอชอบ รู้ดียิ่งกว่าตัวเธอเองด้วยซ้ำ
“พี่วี่สิง พี่สะใภ้คะ ทานข้าวค่ะ” ถ้อยคำอ่อนหวานของมู่ซีดังขึ้น “วันนี้ฉันตั้งใจไปตลาดเพื่อซื้อปลาสดๆมาทำซุปปลา”
เวินจิ้งถูกฝ่ายชายดึงขึ้น เธอก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด การไม่ทานข้าวนั้นเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้อย่างแน่นอน
มู่เฉิงที่มองดูอยู่บนโต๊ะอาหาร เมื่อเห็นพวกเขาเดินมา จึงพูดเบาๆว่า “ทานข้าวกันเถอะ”
เวินจิ้งรู้สึกว่าพักนี้การได้รับกลิ่นของเธอนั้นจะไวต่อความรู้สึก แม้ระยะห่างจะอยู่ไกลออกไปเธอก็สามารถได้กลิ่นคาวปลาได้เป็นระยะๆ
มู่วี่สิงช่วยเธอดึงเก้าอี้เพื่อให้เธอได้นั่งลง มู่เฉิงได้ช่วยเธอตักซุปปลา ยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ซุปปลานี้ดีต่อสุขภาพร่างกายผู้หญิง เธอทานเยอะๆหน่อย เมื่อร่างกายแข็งแรงก็จะได้ตั้งครรภ์เร็วๆ ฉันกำลังรอเหลนตัวน้อยๆ…..”
เวินจิ้งยิ้มรับ “ขอบคุณคุณปู่มู่มากค่ะ”
รอยยิ้มมู่เฉิงได้จางลง “เวินจิ้ง ในเมื่อเธอกับวี่สิงไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน เธอเรียกฉันว่าคุณปู่มู่ตลอด รู้สึกเหินห่างจังเลย”
เวินจิ้งชะงัก เธอชินกับการเรียกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว อีกทั้งเธอไม่ได้มีความรู้สึกดีๆต่อมู่เฉิงด้วย
ตอนแรกเธอรู้สึกว่ามู่เฉิงดูน่าใกล้ชิดสนิทใจ แต่หลังจากที่เกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมากมาย เธอก็ไม่สามารถให้ความใกล้ชิดสนิทใจต่อมู่เฉิงได้อีก
มู่ซีแสยะยิ้มขึ้นทันที “พี่สะใภ้ก็ช่างเหลือเกินจริงๆ ต้องเรียกว่าคุณปู่สิ หรือว่าพี่ยังโกรธเรื่องที่เมื่อก่อนคุณปู่เคยทำไม่ดีกับพี่”
มู่เฉิงละสายตามาจากตัวมู่ซีน้ำเสียงฟังไม่ออกว่าโกรธหรือไม่ “ช่างมันเถอะ อย่างนี้แล้วกัน รอเวินจิ้งอยากจะเรียกเมื่อไรก็ค่อยเรียกแล้วกัน”
เวินจิ้งมีรอยยิ้มจางๆ เมื่อรู้ว่าชายที่อยู่ข้างๆจ้องมองเธอโดยที่ไม่พูดคำใดๆออกมา เธอก็ไม่อยากจะทำให้มู่เฉิงเสียหน้าในสถานการณ์เช่นนี้ แต่คำว่าคุณปู่สองคำนี้ติดอยู่ในลำคอ เธอเรียกไม่ลง…..
มู่วี่สิงผลักถ้วยไปที่เธอ “ดื่มซุปก่อน คุณปู่อย่าถือสาเลยนะครับ”
น้ำเสียงที่เย็นชาของเขา มือของเวินจิ้งที่ค่อยๆบีบแน่นขึ้น แล้วดื่มซุปอย่างเงียบๆ เพียงแต่ว่าของเหลวอุ่นๆที่เพิ่งดื่มลงคอไป ทำให้เกิดความรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นทันที เธอขมวดคิ้วขึ้นทันใด
ซุปบำรุงอย่างดีทำให้เธอต้องฝืนกลืนซุปนั้นลงไป เมื่อวางช้อนลง เธอก็หยิบตะเกียบขึ้นเพื่อทานข้าว
มู่ซีมองดูลักษณะท่าทางของเธอ แล้วพูดอย่างน้อยใจว่า “พี่สะใภ้ พี่ไม่ชอบทานซุปที่ฉันทำหรอ ฉันใช้เวลาครึ่งวันในการทำเลยนะคะ เพียงเพราะคุณปู่บอกว่าอยากจะบำรุงร่างกายให้พี่