บทที่ 698 ลุกลามเกินจะเยียวยา
มู่วี่สิงปล่อยเธอลงที่นั่งข้างคนขับ เธอรีบเอนตัวพิงเบาะแล้วสะลึมสะลือหลับไป
ฝ่ายชายขมวดคิ้วจ้องมองเธอ พักนี้เธอขี้เซาบ่อย หรือว่าร่างกายจะไม่สบายจริง?
เวินจิ้งตื่นขึ้นเมื่อรถได้จอดลง ลืมตาอย่างสะลึมสะลือ“ถึงแล้วหรอ”
พูดขึ้นพร้อมกับพลางปลดล็อกเข็มขัดนิรภัย
มู่วี่สิงเอนตัวไปจับมือของเธอไว้ แล้วถามขึ้นเบาๆ “พวกเรากลับการ์เด้นมูเจียวานดีไหม”
เวินจิ้งกะพริบตา สักพักก็ได้สติแล้วส่ายหน้าขึ้น “ไม่ พักอยู่ที่บ้านใหญ่ตระกูลมู่นี่แหละ”
“แต่เธอไม่ชอบที่นั่น”
เวินจิ้งหันหน้ามา “ช่วงนี้พักที่บ้านใหญ่ตระกูลมู่ไปก่อน”
มู่วี่สิงกลับจับคางเธอไว้แน่น มือที่ค่อยๆบีบแรงขึ้น “จิ้งจิ้ง กลับการ์เด้นมูเจียวานกัน ที่นั่นคือบ้านของเราต่างหาก”
เธอไม่ชอบพักอยู่ที่บ้านใหญ่ตระกูลมู่ทำไมต้องยืนกรานที่จะอยู่ที่นี่ด้วย
เวินจิ้งคว่ำหน้าซบอยู่ที่ไหล่ของเขา หลับตาแล้วพูดอย่างนิ่มนวลว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว อุ้มฉันกลับห้องหน่อยสิ”
มู่วี่สิงอุ้มเธอมาตลอดทาง เวินจิ้งนั้นเหนื่อยจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนที่อยู่บนรถจะได้พักผ่อนนอนหลับสักงีบแล้วก็ตาม แต่ด้วยท่าทางการนอนที่ไม่ค่อยสบาย จึงทำให้หลับไม่ค่อยสนิท
เธออาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอนจากนั้นจึงค่อยเข้านอน
“จิ้งจิ้ง คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ทำไมถึงอยากนอนตลอดเวลา” เขาขมวดคิ้ว พักนี้ตามใจเธอมากเกินไป เมื่อสักครู่น่าจะยืนกรานพาไปตรวจที่โรงพยาบาล ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอะไร แต่ก็ควรจะตรวจเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน
เวินจิ้งปิดตาลง ใช้ผ้าห่มคลุมหน้าไว้ แล้วพูดเสียงโทนต่ำว่า “ประจำเดือนของฉันมา ฉันก็เลยเหนื่อยมากเท่านั้นเอง”
ชะงักไปสักครู่ แล้วเธอพูดเสริมต่อว่า “ผู้หญิงบางคนเวลามีประจำเดือนจะมีอาการง่วงเหงาหาวนอน คุณอย่าได้คิดมากเลย”
ช่วงนี้พวกเขานอนกอดกันอย่างเดียว แม้ฝ่ายชายจะฉวยโอกาสเธอเป็นบางครั้งบางคราว แต่ว่าเขานั้นก็ยังเชื่อฟังไม่ลามปาม ดังนั้นเมื่อเวินจิ้งพูดเช่นนี้ เขาก็เชื่อแต่โดยดี
มู่วี่สิงดึงผ้าห่มมาคลุมให้เธอ แล้วโน้มตัวไปจูบที่หน้าผากเธอ “ครับ อย่างนั้นคุณก็นอนพักสักครู่ก่อน เดี๋ยวผมจะไปนำอาหารมาให้คุณ แล้วต้องไปโรงพยาบาลต่อ คุณอย่าเถลไถลนะ”
ออกจากห้องนอนที่ทิ้งระยะห่างสักระยะหนึ่ง เขาถึงเดินไปที่ปลายระเบียงทางเดินแล้วหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ออกมา เหลือบมองหน้าจอ แล้วรับสายอย่างใจเย็น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครับคุณปู่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
……
เมื่อเวินจิ้งตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว หยิบโทรศัพท์ออกมาดู พบว่าตอนนั้นเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว
เธอไม่พอใจเล็กน้อย ทำไมมู่วี่สิงถึงไม่ปลุกเธอ
เธอดึงผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ก้มหน้าแล้วแตะไปที่หน้าท้องแบนเรียบของตัวเอง ปล่อยให้เธอหิวไม่เป็นไร แต่กล้าดียังไงปล่อยให้ลูกตัวเองหิว
เธอหยิบชุดมาเปลี่ยนแล้วค่อยๆเดินลงไปชั้นล่าง
ห้องรับรองแขกเงียบสงัด มีเพียงมู่เฉิงที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา
เธอเดินเข้าไป “คุณปู่คะ มู่วี่สิงไปไหนหรอคะ”
มู่เฉิงหันหน้ามามองเธอแวบหนึ่งอย่างแผ่วเบา “เขามีธุระออกไปกับมู่ซี ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ถ้าเธอหิวก็ให้คนรับใช้ทำกับข้าวให้เธอนะ”
เวินจิ้งยิ้มตอบรับว่าค่ะ
เขาออกไปกับมู่ซีหรือ
ตอนที่เดินเข้าไปที่ห้องครัว รอยยิ้มบนใบหน้าเวินจิ้งเย็นชาขึ้นในทันใด ก้มหน้าสั่งอาหารกับเชฟเสร็จก็จากไป
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วนั่งอยู่ห้องอาหารอย่างเงียบๆ เธอวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะอาหาร แล้วก้มหน้าลง ท่าทางเธอที่เงียบสงบมากๆ เงียบราวกับว่ารอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องหนังสือของมู่วี่สิง เมื่อผ่านห้องรับรองแขกเธอตั้งใจเดินอ้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้ามู่เฉิง
รอยยิ้มที่นารักบนใบหน้าที่บอบบาง เธอพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า “คุณปู่คะ เรื่องซุปสองสามวันก่อนนั้นหนูต้องขอโทษด้วยจริงๆ วันนั้นหนูเป็นหวัดไม่สบายนิดหน่อย จึงทำให้คลื่นไส้ หนูไม่มีเจตนาจะทำให้คุณปู่โกรธนะคะ”
มู่เฉิงดูเหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า เวินจิ้งนั้นเปลี่ยนสรรพนามการเรียกเป็นคุณปู่แล้ว เขาขมวดคิ้ว น้ำเสียงยังคงเย็นชา “ไม่เป็นไรหรอก วี่สิงได้อธิบายให้มู่ซีแล้วมู่ซีก็ได้บอกฉันแล้ว พวกเราไม่ได้โทษเธอ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเวินจิ้งได้หยุดนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วก็เดินขึ้นไปชั้นบน
เปิดคอมพิวเตอร์ด้วยความเบื่อหน่าย เดิมทีอยากจะค้นหาหนังดูสักเรื่อง แต่เมื่อดูอยู่สักพักก็ใจลอยคิดแต่เรื่องอื่น
ดูอยู่ต่อสักพัก สุดท้ายเธอก็ปิดหนังลงด้วยความโมโห แล้วหยิบโทรศัพท์ ก้มหน้าหาเบอร์โทรของหลินยี่แล้วทำการโทรออกไป “พี่คะ”
น้ำเสียงหลินยี่ที่เซ็กซี่และหนักแน่น ถามอย่างเอาใจว่า “เป็นอะไรไปเสี่ยวจิ้ง มู่วี่สิงรังแกเธอหรอ”
เวินจิ้งที่ขดนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้วยอาการบึ้งตึง แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากจะคุยกับพี่เท่านั้น”
“หรอ” หลินยี่หัวเราะยียวน “พี่ยินดีที่จะคุยเป็นเพื่อนอย่างแน่นอน แต่ว่าเสี่ยวจิ้ง เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไร”
ความช่างสังเกตของเขา สามารถฟังออกว่าเวินจิ้งที่โทรหาเขานั้นมีเรื่องหรือไม่มีเรื่อง
ศีรษะเวินจิ้งพิงอยู่ที่พนักเก้าอี้ พูดเสียงต่ำ “น้องท้อง”
หลังมือตัวเองปัดเข้าขนตาที่เรียวยาว บริเวณรอบ ๆ เงียบจนเธอได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง
หลินยี่เงียบไปประมาณหนึ่งนาที แล้วจึงถามขึ้นอย่างช้าๆ “เธอยังอยากจะไปจากเขาหรือเปล่า หรือว่าอยากให้พี่ไปรับเธอ”
เวินจิ้งหลับตาลง ความหมายของพี่ชายนั้นได้ชัดเจน เขาจะไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจของเธอ ถ้าเธออยู่ต่อ เขาจะสนับสนุนเธอ
ถ้าเธอต้องการจากไป เขาก็จะสนับสนุนเธอเช่นกัน
“น้องก็ไม่รู้” น้ำเสียงเวินจิ้งยังคงอึดอัด ในน้ำเสียงยังมีการพร่ำบ่น “มู่วี่สิงยังไม่กลับมาเลย ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่มีการโทรมาถามสักคำว่าทานข้าวหรือยัง”
หลินยี่แอบขำขึ้น และถามขึ้นอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวจิ้งยังไม่ได้ทานข้าวหรอ”
เวินจิ้งบ่นพึมพำ “เพิ่งทานเสร็จ”
ทันใดนั้นเธอถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “พี่คะ พี่จะต้องไม่เป็นอะไร ใช่ไหมคะ”
หลังจากรู้ว่าเขายังไม่ได้รับโทษ เธอรู้สึกเป็นห่วงตลอดเวลา แม้ว่าเขาได้รับปากหลายต่อหลายครั้งว่าไม่เป็นอะไร
หลินยี่พูดอย่างสบายๆว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ ต่อไปถ้ามู่วี่สิงรังแกเธอๆจะทำยังไง อย่าดื้อ อย่าคิดมาก คนท้องต้องการมากที่สุดคือการพักผ่อน”
“น้องรู้ค่ะ”
“จิ้งจิ้ง” หลินยี่ที่เพิ่งนึกขึ้นได้ “เรื่องท้องนี้เธอๆได้บอกเขาหรือยัง”
เวินจิ้งถอนหายใจ “รอผ่านไปสักระยะหนึ่ง น้องยังไม่รู้เลยค่ะ”
นี่ไม่ใช่ปัญหาของเด็ก ไม่ใช่ปัญหาที่ว่าจะเก็บเด็กไว้หรือไม่ และก็ไม่ใช่ปัญหาที่ว่าจะต้องให้เขาทราบเรื่องหรือไม่
แต่แค่จากนี้ไปเธอควรจะทำอย่างไรดี…..
เธอไม่มีความมั่นใจสักนิดเดียว ว่าพวกเขาจะสามารถเดินไปข้างหน้าด้วยกันต่อได้หรือไม่
ระหว่างพวกเขานั้นได้ลุกลามเกินจะเยียวยา
เมื่อวางสายลง เธอมองดูนาฬิกา เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
มู่วี่สิง ฉันไม่มีความมั่นใจเลย ถ้าหากคุณไม่ให้ความมั่นใจกับฉัน ฉันคงต้องสับสนมืดมน
เวินจิ้งนั่งต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง จนถึงกับอดไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาเขา เขายุ่งมากขนาดที่ว่าแม้แต่จะโทรหาหรือส่งข้อความก็ไม่มีเวลาเลยหรือ