บทที่ 810 หมายถึงการปรองดอง
รถขับไปเรื่อยๆ ตลอดทาง เมื่อคืนนี้เวินจิ้งเพิ่งจะนอนได้ไม่กี่ชั่วโมง และวันนี้ก็เหนื่อยมากๆ ดังนั้นจึงหลับลึกมาก
เขาไม่ต้องการที่จะปลุกเธอ และไม่ต้องการให้เธอพบกับลู่เซิ่น เมื่อล็อครถแล้ว ก็เดินตรงเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลหลิน
เมื่อเวินจิ้งก็เป็นเวลาช่วงเย็นแล้ว เมื่อลืมตาตื่นขึ้น เธอก็มีความรู้สึกตกตะลึง งุนงง แล้วความทรงจำก็ค่อยๆ กลับมาในความคิดของเธอ
เมื่อมองไปที่ผ้าม่านที่คุ้นเคย ที่ปลิวไปตามแรงลมเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเป็นเพียงความฝัน หลังจากที่ความฝันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เธอก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงนี้
ใช้ข้อศอกดันขึ้นเพื่อนั่ง ดวงอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ตกลงมา มีแสงสีส้มปกคลุมไปทั่ว
หลังจากลุกขึ้นนั่ง เธอพบว่าเสื้อผ้าของเธอถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอน และหัวเราะออกมา เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอนอนหลับลึกแค่ไหน แม้ว่าเสื้อผ้าของเธอจะถูกเปลี่ยนก็ยังไม่รู้
หาเสื้อผ้าที่ใส่สบายๆ จากตู้เสื้อผ้า เธอเปิดประตู และไม่รู้ว่ามู่วี่สิงได้ไปดูเวินซินหรือเปล่า
เพียงแค่ก้าวออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากห้องนั่งเล่น ชะเง้อหน้ามอง เวินจิ้งก็เห็นเข้ากับคุณปู่มู่ที่ถือไม้เท้าอยู่ ดวงตาของเธอก็ตกตะลึง
เวินซินที่คลานอยู่บนโซฟา ดวงตากลมต้องมองไปที่มู่เสี่ยวเฮยอย่างไม่กระพริบ เล่นสนุกกับมันด้วยตัวเอง
ราวกับว่าได้ยินเสียงฝีเท้า ดวงตาของผมมู่เฉิงมองตกไปที่เวินจิ้ง อารมณ์ในดวงตาของเขาซับซ้อนมาก พร้อมกับถอนหายใจเข้าลึกๆ
เวินจิ้งหลบตาลง เดินเข้าไปอย่างเหนื่อยหน่าย
เพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้า มู่เสี่ยวเฮยก็วิ่งเหยาะๆ พร้อมกระดิกหางเข้ามาหา เวินซินเมื่อเห็นมู่เสี่ยวเฮยหันตัวกลับไป รอยยิ้มก็หุบลงทันที คล้ายกับว่ากำลังจะร้องไห้
เวินจิ้งยิ้ม แล้วเดินไปอุ้มเวินซินขึ้นมาทันที“อือ……อา……”
เธอยังพูดไม่ได้ ทำได้แค่ออกเสียงแค่เพียงไม่กี่พยางค์ อย่างไม่ต่อเนื่อง
เวินจิ้งกล่อมเธอสักพัก มู่เสี่ยวเฮยหมุนตัวไปรอบๆ เท้าของเธอ มู่เฉิงยืนอยู่ไม่ขยับเขยื้อน
เขามองไปที่เวินจิ้ง ดวงตาของเขาดูซับซ้อนขึ้น เวลาดูเหมือนจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายของเธอ เธอยังคงอายุน้อย และยังคงเย็นชา มีเพียงแค่ใบหน้าที่สงบขึ้นมาก
“คุณปู่มู่ สวัสดีค่ะ”เมื่อเห็นเวินซินไม่ได้ร้องไห้หนักแล้ว เวินจิ้งก็หันหน้ามายิ้ม และทักทายมู่เฉิง
น้ำเสียงที่อ่อนโยน ไม่สามารถบอกได้ว่าจริงใจ หรือเสแสร้งง
มู่เฉิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เพียงแค่เห็นเวินจิ้งพูดอย่างอ่อนโยนกับเวินซิน“ซินซิน คุณปู่มาหาหนูแล้ว”
เวินซินมองไปที่คุณปู่มู่ด้วยสายตาที่เข้าใจยาก อุ้งมือน้อยๆ แกว่งไปมา เวินจิ้งถึงได้เห็นสร้อยข้อมือหยกบนข้อมือของเธอ
สีสันสวยงาม เพียงแค่เห็นก็รู้ได้เลยว่ามีมูลค่า คิดว่าน่าจะเป็นมู่เฉิงเป็นคนให้
“ขอบคุณค่ะ”เวินจิ้งขอบคุณมู่เฉิงแทนเวินซิน
คุณปู่มู่ปรากฏรอยยิ้มที่แสนจะหายาก แต่รอยยิ้มกลับหยุดลงอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่เวินจิ้ง แล้วถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า“เวินซินเป็น……”
เขาแค่ถามชื่อของเวินซินจากมู่วี่สิง แต่มู่วี่สิงกลับไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ของเธอคือใคร
เวินจิ้งยิ้มจางๆ“คุณปู่มู่ ซินซินเป็นลูกของพี่ชายของฉัน ฉันแค่ดูแลเธอชั่วคราว”
“อ่อ……”มู่เฉิงรู้สึกโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด และตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“สร้อยข้อมือของคุณแพงเกินไป คืนให้คุณดีกว่าค่ะ”
เมื่อพูดจบ เธอจะถอดมันออกจากข้อมือของเวินซิน
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง”
แม้ว่าเขาจะคิดว่าเวินซินอาจจะเป็นลูกสาวของวี่สิง ดังนั้นจึงซื้อของขวัญที่พิเศษให้ แต่ก็ไม่คิดที่จะเอาของที่ให้ไปแล้วกลับคืนมา
เวินจิ้งก็ไม่ฝืนให้ต่อ และยิ้มบางๆ“งั้นฉันจะขอบคุณคุณแทนพี่ชายนะคะ”
มู่เฉิงมองไปที่ใบหน้าอันอ่อนโยนของเวินจิ้ง ใช้ไม้ค้ำยัน แล้วเปิดปากพูดอย่างลำบากว่า“ก็ถือซะว่า……ขอโทษพี่ชายเธอด้วยแล้วกัน กับเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น เป็นความผิดของฉัน……”
ร่างกายของเวินจิ้งสั่นเทิ้มเล็กน้อย ยังคงปรากฏรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้า ไม่พูดอะไร
ในไม่ช้า บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นเล็กน้อย ป้าหลี่ก็เข้ามาพร้อมกับชาที่ชงสดใหม่“คุณเวินคะ ฉันชงชาหอมๆ ที่คุณเอามาให้ คุณลองชิมดูค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ในตอนเช้าเธอขอให้ป้าหลี่เปลี่ยน ไม่ให้เรียกเธอว่าคุณนาย ป้าหลี่จึงทำได้เพียงเปลี่ยนไปเรียกเธอว่า คุณนายเวิน
ทันใดนั้นมู่เฉิงก็พูดว่า“เวินจิ้งอ่า เธอกับวี่สิงวางแผนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่?”
สีหน้าของเวินจิ้ง ไม่สามารถปกปิดความประหลาดใจได้ มือที่ถือถ้วยน้ำชาเริ่มแข็งทื่อ “ยังไม่ทราบค่ะ……”
มู่เฉิงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า“ถ้าพวกเธอวางแผนที่จะแต่งงานกัน ก็จะจัดงานแต่งให้อีกครั้ง ครั้งนี้ก็เพื่อพวกเธอ……พี่ชายเธอก็จะมาร่วมงานด้วยใช่ไหม?”
นี่หมายถึงการปรองดองใช่ไหม?
เมื่อเทียบกับเมื่อปีที่แล้ว เธอจงใจที่ดูเหมือนใจแคบ และมีความไม่แน่นอน
เวินจิ้งไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว แต่พูดอย่างสุภาพว่า“ถ้าได้รับการยืนยันแล้ว มู่วี่สิงต้องแจ้งให้คุณทราบค่ะ”
“ได้”
ทัศนคติของเวินจิ้งดีกว่าที่เขาคิด นี่อาจเป็นทัศนคติที่ดีที่สุดของเธอ ที่มีต่อเขา
แต่หัวใจของมู่เฉิง ก็รู้สึกสูญเสียอยู่เสมอ
เขายิ้มให้เวินจิ้ง“พวกเธอทานข้าวกันเถอะ ฉันขอตัวกลับก่อน”
ขณะที่เขาพูด ก็ค้ำไม้เท้าด้วยตัวเอง เตรียมที่จะออกไป เวินจิ้งรีบลุกขึ้น“หรือว่าท่านจะอยู่ทานข้าวเย็นก่อนคะ”
มู่วี่สิงที่อยู่แต่ในครัว และในคืนนี้เขาลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง
“ไม่ล่ะ”มู่เฉิงส่ายหัว“เมื่อตอนที่ฉันออกมา ห้องครัวก็ได้เริ่มเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว”
เวินจิ้งไม่ได้ยื้อให้เขาอยู่ต่อ มองร่างของมู่เฉิงที่เดินหายไปจากประตู ไม่นานก็มีคนมาช่วยพยุงเขา
เธอหมุนตัวเดินเข้าไปที่ห้องครัว เธอก็เห็นเข้ากับมู่วี่สิง ที่กำลังยุ่งอยู่กับการสวมผ้ากันเปื้อน
เมื่อเห็นว่าเธอเข้ามา ผู้ชายก็หันหน้ามา และยิ้มอย่างอบอุ่นที่แสนจะหายากให้เธอ“ที่นี่มีกลิ่นควันฟุ้งกระจายอยู่ คุณออกไปเถอะ เดี๋ยวก็จะเสร็จแล้ว”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นผู้ชายทำอาหาร แต่ทุกครั้งที่เธอมองเขาที่เป็นแบบนี้ ก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลยว่า เธอหลงใหลในตัวเขา
เขาแต่งตัวด้วยเสื้อสีขาว กางเกงสีดำ เต็มไปด้วยความเย็นชา ความกระตือรือร้นของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น
เงยหน้าขึ้นมองเธอ ด้วยสายตาที่อ่อนโยนเหมือนสัตว์เลี้ยง
หัวใจของเธอเหมือนถูกกระแทกด้วยกระแสน้ำ อย่างไม่ได้ตั้งตัว
เวินจิ้งรีบไปกอดเอวของผู้ชาย จากทางด้านหลังแทบจะในทันที มู่วี่สิงจิบน้ำซุปเพื่อลิ้มรสชาติ และเป่ามันจ่อไปที่ปากของเธอ แล้วพูดว่า“ลองชิมดูสิ”
เธอก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง และชิมรสชาติ ความอร่อยกระจายไปทั่วริมฝีปาก และฟันของเธอ เมื่อเงยหน้ามอง ก็พบกับดวงตาที่คาดหวังของผู้ชาย อย่างเงียบๆ ทันใดนั้น เธอก็กลอกตาและเปลี่ยนเรื่อง“คุณปู่เพิ่งจะออกไป คุณไปพูดให้ท่านอยู่ทานข้าวด้วยกันดีไหม?”
“อืม”เขาตอบอย่างแผ่วเบา บ่งบอกว่าเขารู้แล้ว“อร่อยไหม?”
เธอชิมอย่างระมัดระวัง และชมว่า“อร่อยสิ”
ผู้ชายของเธอ ทำอะไรก็ดีที่สุด
ใบหน้าขาวของเธอ ถูเสื้อนุ่มๆ ของเขา“ได้ชิมอาหารฝีมือคุณอีกครั้ง มีความสุขมากๆ”
มู่วี่สิงปล่อยมือ และใช้แรงบีบที่จมูกของเธอ“รู้ว่ามีความสุข ยังกล้าที่จะทิ้งผม?”
เวินจิ้งส่ายหน้า ตาเป็นประกาย
เขามองเธออย่างลึกซึ้ง โดยไม่คำนึงถึงช้อนที่อยู่ในมือ ก้มหัวลง จูบริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเธอ เขายังชิมน้ำซุปที่เหลืออยู่บนริมฝีปากของเธอด้วย แล้วเขาก็พยักหน้า“อร่อยจริงๆ ด้ว