Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 839

ตอนที่ 839

บทที่ 839 ยังคงมีโอกาสไม่ใช่เหรอ

หซู่หนานจับจ้องไปที่บรรทัดสุดท้าย

“บัญชีที่ใช้ดำเนินการเป็นของผู้ช่วยของลู่เซิ่นจากบริษัทลู่ซื่อ ”

ถึงแม้ว่าจะไม่คาดคิดยังไง แต่เขาก็ยังถูกข้อสรุปนี้ทำให้ตกใจมากอยู่ดี

เขามองออกถึงความสัมพันธ์ของลู่เซิ่นกับฉินซี แต่ไม่คิดว่าจะยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อช่วยเหลือกันแบบนี้

หซู่หนานคิดว่าตัวเองค่อนข้างที่จะรู้จักฉินซีดี เธอไม่ใช่คนหยิ่ง แต่เธอก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะขอความช่วยเหลือใครแบบลวก ๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเงินจำนวนมากขนาดนี้

เขาจับโทรศัพท์ไว้แล้วจมดิ่งเข้าไปอยู่ในห้วงความคิด

ถ้าอย่างนั้นแล้ว…ทำไมลู่เซิ่นถึงได้ไม่ปกปิดร่องรอยทั้งหมดของตัวเองกันล่ะ

เขารับรู้ได้ถึงความยั่วยุจากคำว่า “ลู่เซิ่น” อย่างชัดเจนได้โดยสัญชาตญาณ

ดูเหมือนว่าความจริงแล้วลู่เซิ่นจะไม่ได้กลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉินซีจะถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะ ดังนั้นเขาจึงไม่รังเกียจที่จะปิดบังมัน

คิดถึงตรงนี้แล้ว อยู่ ๆ หซู่หนานก็รู้สึกถึงความเสียใจที่ทำให้หายใจไม่ออก

คนที่จากไปโดยไม่บอกลาก็คือฉินซี คนที่ใช้วิธีนี้แยกพวกเราสองคนออกจากกันก็คือฉินซี คนที่ทิ้งให้หซู่หนานตามหาอย่างกระวนกระวายก็คือฉินซี

ทว่าเขาไม่เคยลืมเธอได้เลย

พอคิดถึงว่าหลังจากนี้ฉินซีจะกลายเป็นของผู้ชายคนอื่นโดยสมบูรณ์แล้ว ความรู้สึกที่โถมทะลักออกมาไม่รู้ว่าเป็นความโกรธหรือว่าความเจ็บปวดเป็นแน่

ทั้งผู้ชายคนนั้นยังเป็นลู่เซิ่น

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่หลงตัวเองมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะรู้สึกว่าตัวเองดีไปกว่าลู่เซิ่น

คนที่เพียงเกิดมาก็สามารถยืนอยู่บนยอดของพีระมิดคนนั้น คนอื่น ๆ ก็ทำได้แค่หงายหน้าขึ้นมอง

การที่จะแย่งชิงคนของเขามา…ก็ไม่ต่างอะไรกับการเพ้อฝัน

เพียงแต่…

ทันใดนั้นหซู่หนานก็เงยหน้าขึ้น

เขายังจำได้ดีว่าฉินซีแนะนำตัวลู่เซิ่นยังไง

เธอไม่ได้บอกว่า “แฟนของฉัน” และไม่ได้บอกว่า “สามีของฉัน” เพียงแค่พูดชื่อของเขาออกมาอย่างง่าย ๆ เท่านั้น

ดูเหมือนว่าการปฏิบัติของทั้งสองคนยังค่อนข้างที่จะคลุมเครือ ความรู้สึกของทั้งสองคนก็ดูไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น

ไม่มีใครสามารถแย่งชิงของของลู่เซิ่นได้ แล้วถ้าฉินซีไม่ใช่คนของลู่เซิ่นล่ะ

ถ้าอย่างนั้นเขา…ก็ยังคงมีโอกาสไม่ใช่เหรอ

ขณะที่หซู่หนานกำลังล่องลอยอยู่ในจินตนาการ ชีวิตของฉินซีกลับไม่ได้ผ่านไปอย่างเรียบง่ายเช่นนั้น

ตอนที่เธอที่ลู่เซิ่นเอาไว้คนเดียวแล้วหนีออกมาจากสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน ก็รู้ได้ทันทีว่าถ้าตัวเองกลับไปแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาของลู่เซิ่นอย่างแน่นอน

ฉินซีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอ่างล้างมือเกิดความคิดชั่ววูบที่อยากจะหนีออกไป แต่จนใจที่ว่ากระเป๋าของเธอยังวางอยู่ที่โต๊ะ และในนั้นก็ยังมีเมมโมรี่การ์ดของเธออยู่…

พอคิด ๆ ดูแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสร้างกำลังใจให้ตัวเองและกลับไปที่โต๊ะด้วยความกล้าหาญ

แน่นอนว่าลู่เซิ่นกลับมาถึงนานแล้ว เมื่อพนักงานที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเธอกลับมาแล้วก็ยกมือส่งสัญญาณให้พนักงานที่ยืนอยู่ไกล ๆ ยกอาหารมาเสิร์ฟ

หลังจากยุ่งอยู่พักใหญ่ เมื่ออาหารทุกอย่างพร้อม สถานการณ์ที่โต๊ะก็กลับไปเงียบเหมือนเดิมอีกครั้ง

ลู่เซิ่นยกตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อปลา และส่งมันเข้าปากอย่างสง่างาม

แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นต้นแบบของมารยาทบนโต๊ะอาหารมาโดยตลอด จึงไม่พูดคุยเวลากินข้าว ฉินซีที่คิดจะหยั่งเชิงอารมณ์ของเขาก็ไม่ได้เปิดปากพูดเช่นกัน เพียงแต่ก้มหน้าก้มตากินเงียบ ๆ

ต้องพูดว่าสมเหตุสมผลแล้วที่ร้านอาหารนี้จะต้องมีการจองล่วงหน้า กับข้าวไม่กี่อย่างนี้ทำได้ถูกปากเธออย่างมาก

ฉินซีชอบรสหวานกับรสเผ็ด เธอสามารถกินอาหารเจียงหนานกับอาหารเสฉวนได้ แต่เธอไม่ค่อยชอบอาหารที่มีรสเค็มจัดสักเท่าไหร่ ร้านอาหารนี้ไม่มีสิ่งที่เธอไม่ชอบพวกนั้นพอดี อาหารที่มีรสชาติเปรี้ยวหวานสองสามจานนี้ทำให้เธออดที่จะหยุดกินไม่ได้

“นั่น…ฝากบอกหลินหยังด้วยว่าอาหารที่เขาสั่งถูกปากฉันมาก ขอบคุณค่ะ”

ฉินซีคิดแล้วคิดอีก จากนั้นก็เลือกหัวข้อที่ปลอดภัยมาเพื่อเปิดบทสนทนา

หลินหยังก็คือผู้ช่วยที่อยู่ข้างกายลู่เซิ่น เมื่อกี้นี้เขาเองก็มากับพวกเธอด้วย อาหารพวกนี้น่าจะเป็นเขาที่เป็นคนสั่งมา

ลู่เซิ่นเงยหน้ามองเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าต่อโดยไม่พูดอะไร

“ถ้าอย่างนั้น…เดี๋ยวฉันไปบอกเขาเองก็ได้ค่ะ” เมื่อไม่ได้ยินคำตอบจากลู่เซิ่น ฉินซีจึงยกมือขึ้นลูบจมูก แล้วหัวเราะออกมาแหย ๆ

หลินหยังนั่งอยู่ไม่ไกลพวกเขานัก จึงได้ยินคำพูดของทั้งสองคนอย่างชัดเจน

เขาห่อไหล่เล็กลง

ไม่ต้องขอบคุณผม…

คุณชอบกินอะไร เจ้านายก็เป็นคนบอกผมเองทั้งหมด

แม้แต่ร้านอาหารร้านนี้ เจ้านายที่เป็นคนเลือก

กฎข้อแรกของการเป็นสุดยอดพนักงานก็คือจะต้องไม่แย่งความดีความชอบมาจากเจ้านายของตัวเอง

แน่นอนว่าฉินซีไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ เพียงเห็นว่าลู่เซิ่นยังคงไม่ยอมพูดจึงรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าสีหน้าที่ดื้อรั้นของลู่เซิ่นนั้นก็คือ…ความโกรธ

“ผู้ชายตัวโตอะไรเอาแต่โกรธ ๆ ทั้งวัน” ฉินซีพึมพำเสียงเบา

เพียงแต่ว่าภายในร้านอาหารนั้นเงียบมาก เสียงพึมพำนี้ของเธอจึงดังพอ ๆ กับการพูดข้างหูเขา

ฉินซีรีบเงยหน้าขึ้นมอง ทว่าลู่เซิ่นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

ฉินซีชักเริ่มรู้สึกร้องไห้ไม่ออก

ถึงแม้ว่า…เรื่องนี้เธอจะเป็นคนผิดจริง ๆ ลู่เซิ่นน่าจะกังวลที่เธอหายไปตั้งนานแล้วแต่ยังไม่ยอมกลับมาสักทีก็เลยลุกขึ้นไปตามด้วยตัวเอง ดังนั้นการที่เธอทิ้งเขาเอาไว้ตรงนั้นแล้ววิ่งหนี ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะผิดศีลธรรมอยู่สักหน่อย แต่ว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือ…เธอง้อคนไม่เป็นจริง ๆ!

เธอเคยมีความรักแค่ครั้งเดียว ทว่านิสัยของหซู่หนานกับลู่เซิ่นนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง เธอกับหซู่หนานทะเลาะกันน้อยมาก และส่วนมากก็เป็นเขาที่เป็นฝ่ายง้อเธอ

ไม่เหมือนคนที่ขยับนิดขยับหน่อยก็ทำหน้าดำคร่ำเครียดตรงหน้าเธอ

เฮ้อ…ฉินซีลอบถอนหายใจอยู่ในอก

ช่างเถอะ ช่างเถอะ ลู่เซิ่นคนนี้ เจ้าอารมณ์ไปสักหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา

ลู่เซิ่นที่แข็งแกร่งทนทานเช่นนั้น เธอจะไปมีความสามารถเอาอกเอาใจเขาให้กลับมาได้ยังไง…

ฉินซีไม่รู้ว่าการเกาหูและแก้มนี้ของเธอถูกลู่เซิ่นเห็นหมดแล้ว

ความไม่พอใจที่ฉินซีแนะนำเขาอย่างขอไปทีเมื่อกี้นี้หายไปไม่น้อยแล้ว

ทว่าเขายังคงแสดงสีหน้าแบบเดิม วัตถุประสงค์หลัก ๆ ก็เพราะว่า…

เขาอยากจะเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วฉินซีจะใช้ลูกไม้อะไรมาหลอกล่อเขา

แน่นอนว่าฉินซีไม่สามารถมองทะลุถึงเจตนาที่ “ชั่วช้า” ของลู่เซิ่นได้

ว่าจะพูดยังไงถ้าไม่มีลู่เซิ่นเรื่องจดหมายขู่ก็คงไม่สามารถจัดการได้อย่างราบรื่นเช่นนี้แน่

อยู่ ๆ เธอก็ทำให้ผู้มีพระคุณโมโหแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก

หลังจากที่ฉินซีครุ่นคิดอยู่นาน ก็พูดออกมาอย่างกับอับอายว่า “วันนี้คุณ…จะกลับมานอนที่บ้านไหมคะ”

เธอก้มหน้าพูดเสียงเบา จึงมองไม่เห็นแววตาที่มืดลงไปชั่วขณะของลู่เซิ่น

คำพูดเป็นนัยของฉินซีนี้…ชัดเจนจนเกินไป

“อืม”

ลู่เซิ่นที่ทำตัวเย็นชาอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ยอมเปิดปากทองคำแล้ว

ฉินซีที่ในที่สุดก็ได้ยินเสียงตอบรับจากเขาจึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าการทดสอบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือคืนนี้

เช้าวันรุ่งขึ้นฉินซีที่กำลังนอนอยู่บนเตียงและไม่อยากจะขยับตัวอยากจะกลับไปตบตัวเองเมื่อวานนี้มาก

ตอนที่ใบหน้ามืดครึ้มนั้นของลู่เซิ่น “ลงมือ” ช่างเหี้ยมโหดมาก

ทำไมเธอถึงไม่เคยจำกันนะ!

เธอพักผ่อนในบ้านอยู่ครึ่งค่อนวัน กว่าจะนึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

จึงยื่นมือออกไปคว้าโทรศัพท์ จากนั้นก็กดหมายเลขแล้วโทรออก “ทนายความจ้าว วันนี้คุณพอจะมีเวลาว่างไหมคะ”

โชคดีที่วันนี้ทนายความจ้าวต้องออกไปทำธุระในช่วงเช้า ตอนบ่ายเลยสามารถแวะมาที่นี่ได้พอดี จึงป้องกันไม่ให้ฉินซีต้องไปเผชิญเคราะห์กรรมอยู่บนท้องถนน

ตอนที่ทนายความจ้าวมาก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว ฉินซีคิดไปคิดมาจึงนัดเจอเขาที่ร้านกาแฟใกล้บ้าน

ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็อยู่ในพื้นที่ของลู่เซิ่น เธอไม่มั่นใจว่าการให้คนอื่นเข้ามาที่บ้านจะทำให้ลู่เซิ่นกลับมาหน้าดำคร่ำเครียดอีกหรือเปล่า

ถ้าเกิดไปทำให้ลู่เซิ่นหงุดหงิดขึ้นมาอีก เธอก็คงรับไม่ไหวแล้ว.

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท