บทที่ 890 ไว้เคลียร์กันทีหลัง
ฉินซีกับอานหยันหันหน้าไปพร้อมกัน สิ่งที่เห็นก็คือหซู่เป่ยที่มาพร้อมกับรอยยิ้ม
แววตาของอานหยันลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย มองระหว่างฉินซีกับหซู่เป่ย ฉินซีดูนิ่งกว่าเธอเยอะ โบกมือเป็นสัญญาณว่าสบายใจได้ เงยหน้าขึ้นมองหซู่เป่ย พยักหน้าตอบ “แน่นอนค่ะ”
หซู่เป่ยผายมืออย่างสุภาพ ฉินซีลุกขึ้น จะเดินตามเขาไป
อานหยันก็รีบจับมุมเสื้อของเธอ พูดเสียงต่ำว่า “ไม่ใช่ว่าหซู่เป่ยจะเคลียร์กับเธอหรอกนะ?”
ฉินซีตบมือเธอเพื่อเป็นการปลอบโยนเบาๆ “หซู่เป่ยเป็นถึงบุคคลสาธารณะเลยนะ”
แน่นอนว่า ฉินซีก็ไม่ได้นิ่งเหมือนที่เธอแสดงออก ไม่งั้นก็คงไม่จับกล้องที่อยู่ในมือ แล้วเดินตามออกไป
……
รอบข้างของสตูดิโอกว้างมาก เงยหน้าก็สามารถเห็นท้องฟ้า ในระยะไกลเป็นสถานที่ก่อสร้างหลายแห่ง บริเวณใกล้เคียงมีกำแพงคอนกรีต
ใบหน้าของหซู่เป่ยยังคงเผยรอยยิ้มชิลล์ๆไว้ “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ห้องข้างในไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่ คงต้องรบกวนคุณออกมาข้างนอกกับผม คุณโอเคไหมที่ผมสูบ?”
ฉินซีโบกมือ “ตามสบายเลยค่ะ”
หซู่เป่ยเอียงคอจุดบุหรี่
“นายรู้ว่าเป็นฉัน”ฉินซีเริ่มสนทนาก่อน “ทำไมถึงยังตกลงให้ฉันถ่าย?”
หซู่เป่ยพ้นบุหรี่ออกมาคำหนึ่ง หันมามองเธอ “แต่สุดท้ายเรื่องนั้น ได้จัดการเรียบร้อย ก็เป็นคุณ ไม่ใช่เหรอ?”
ฉินซีก้ำกึ่งทันที
หซู่เป่ยยิ้มและพูดว่า “อย่าเข้าใจผิด นี่คือผู้จัดการบอกผม ไม่เกี่ยวกับพี่ชายของผม ผมได้รับโทรศัพท์แบล็กเมล์ เลยโทรหาเขาอย่างรีบร้อน เขาก็บอกผมว่าเขาจะแก้ปัญหานี้ จากนั้นก็ไม่มีข่าวอะไรเลย ผมกลัวว่าเขาจะแก้ไม่กับผู้จัดการ เขาไปตรวจสอบกล้องวงจร ผมก็ดูออกว่าเป็นคุณ”
“นายรู้จักฉัน?”ฉินซีสงสัย
ใบหน้าหซู่เป่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณคิดว่าตอนนี้พี่ชายผมคบกับคุณ จะอดไว้ไม่พูด? เขาตั้งรูปคุณเป็นภาพหน้าจอล็อค จะให้ผมไม่เห็นยังยาก”
ฉินซีเหมือนจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะตอบอะไร
หซู่เป่ยไม่สนใจเธอ พูดต่อว่า “จากนั้นสิ่งต่างๆก็สงบลงจริงๆ ผู้จัดการของผมถือว่ามีวิธีการบางอย่าง ตรวจสอบได้ว่าคนที่แก้ปัญหาเป็นคนของบริษัทลู่ซื่อ แต่บริษัทลู่ซื่อไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับผม ยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับพี่ชายของผมที่ทำงานในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป สามารถให้บริษัทลู่ซื่อแก้ปัญหาได้ ก็คงมีแค่คุณแน่นอน”
ฉินซีมองหซู่เป่ย “นายฉลาดมาก”
หซู่เป่ยยักไหล่ “แต่ผมไม่ชอบใช้สมอง ไม่งั้นก็คงไม่มาถ่ายละครเช้าแบบนี้ ไม่ยอมไปเรียน”
ฉินซีมองดูหซู่เป่ย เขาไม่แคร์สายตาของฉินซีอยู่แล้ว ดูดบุหรี่ไปอีกคำหนึ่ง
แค่สนทนากันไม่กี่ประโยค ฉินซีก็รู้สึกได้ว่า แตกต่างจากหซู่หนานที่คอยระมัดระวังตัว คำพูดของหซู่เป่ยตรงไปตรงมา แม้ว่าบางครั้งทำให้คนรู้สึกว่าไม่สามารถตอบกลับสนทนาได้ แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายเสมอเมื่อสนทนา
รอบข้างของฉินซีไม่เพียงไม่กี่คนที่ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกแปลก
หซู่เป่ยสูบบุหรี่ทั้งม้วนให้หมด หันมามองฉินซี น้ำเสียงจริงจังขึ้นเยอะ “ไม่ว่ายังไง ผมต้องขอบคุณคุณ”
ฉินซีส่ายหัว “เรื่องพวกนั้นเกิดขึ้นเพราะฉัน ให้ฉันได้จัดการ ก็ถูกต้องตามหลักอยู่แล้ว”
หซู่เป่ยยิ้ม “แต่คุณจัดการแบบนี้ ยังทำให้ผมได้รับความรู้สึกดีๆมากมาย รวมๆแล้ว เป็นฉันได้มีแฟนคลับเพิ่มมากมาย”
การแสดงออกของเขาสงบมาก ทำให้ฉินซีหัวเราะออกมา
“นี่คือทั้งหมดที่ผมจะพูด เสียเวลาของคุณมากละ ไปกันเถอะ เดี๋ยวผู้จัดการของผมหาผมไม่เจอ จะหาเรื่องผมอีกละ” หซู่เป่ยi ขยี้ก้นบุหรี่ ลุกขึ้นจะเดินเข้าไปข้างใน
ฉินซีอาจจะยังคงอยู่ในสถานะของการเป็นช่างภาพ การกระทำแบบนี้ของหซู่เป่ยทำให้เกิดองค์ประกอบหลายอย่างในสายตาของเธอขึ้นมา
หซู่เป่ยมีหน้าตาดึงดูดคน ท่าทางที่ขยี้ก้นบุหรี่ให้ความรู้สึกดูหมิ่น แต่ฉากหลังดันว่างเปล่า ให้ความรู้สึกเงียบเหงา
จิตวิญญาณการถ่ายภาพของฉินซีเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหว เลยโพล่งออกมาว่า “ฉันขอถ่ายรูปนายสักสองสามรูปได้ไหม?”
คำขอของฉินซีค่อนข้างทำให้คนอื่นรู้สึกไม่คาดคิด หซู่เป่ยก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจบนใบหน้า “ตอนนี้?”
ฉินซีไม่สนใจอะไรในตอนนี้ พยักหน้าตอบ “ตอนนี้เลย ท่าที่นายขยี้ก้นบุหรี่นั้นก็พอ”
หซู่เป่ยไม่ได้พูดอะไรมาก ทำท่าทางตามที่บอก หลังจากรอให้ฉินซีเต็มที่ ค่อยพูดขึ้นมาว่า “คุณรู้ไหมว่าการถ่ายภาพหมู่ของผม ต้องจ่ายเท่าไหร่?”
ฉินซีตะลึง
เธอลืมไปว่า หซู่เป่ยเป็นดารา!
เธอรู้สึกผิดและจะลบมัน แต่พอดูผลลัพธ์ในกล้อง ก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
ก็จริงที่ฉินซีไม่ค่อยถ่ายภาพบุคคล แต่ไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอไม่สนใจ ในทางกลับกัน เมื่อก่อนอานหยันเคยให้เธอลอง แต่ว่านางแบบที่ถ่ายออกมาแล้วตรงตามที่ความต้องการของเธอนั้นน้อยมาก จากนั้นเธอถึงค่อยๆยอมแพ้
แต่ภาพถ่ายในมือของเธอเองชุดนี้ ก็สอดคล้องกับสุนทรียภาพของเธออย่างสมบูรณ์ เธอรู้สึกเสียดาย……
เมื่อหซู่เป่ยเห็นใบหน้าที่ลังเลของเธอ อดที่จะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ “โอเค! ถือว่าคุณช่วยผม ค่าตอบแทนมิตรภาพครั้งนี้ ฟรีละกัน”
ฉินซีไม่ชอบติดหนี้บุญคุณของคนอื่น ขมวดคิ้วเล็กน้อย “จริงเหรอ? หรือฉันเข้าไปถามราคากับผู้จัดการนายดี……”
หซู่เป่ยโบกมือ “คุณกลับไปเถอะ อย่าลืมนะ เขารู้ว่าคนที่ถ่ายภาพผมละทำให้ผมถูกแบล็กเมล์เป็นใคร เมื่อกี้เขาอยู่ไกลเห็นคุณไม่ชัด ถ้าสัมผัสกับเขาอีกรอบ ผมว่าเขาคงจะจำได้ ว่าคุณเป็นนักข่าวที่ลักๆลอบๆในกล้องวงจรนั้นแน่”
ฉินซีทำอะไรไม่ถูก “งั้น……นายลองไปถามดูว่าต้องจ่ายเท่าไหร่?”
“ภาพพวกนี้สำคัญขนาดนั้น?” หซู่เป่ยแกล้งเธอ
แต่พอพูดถึงเรื่องถ่ายภาพ ฉินซีทำหน้าจริงจัง “ฉันไม่ค่อยเจอนางแบบที่ตรงตามกับความรู้สึกของฉัน”
หซู่เป่ยถูกเธอมองจนหัวเราะออกมา ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์ ยื่นไปหาเธอ “ถูกชะตากับคุณแบบนี้ มาเพิ่มวีแชทกันหน่อยเถอะ”
“ฮะ?”ฉินซีลังเลไปสักพัก
หซู่เป่ย “จึ” ไปเสียงหนึ่ง “ถ้าไม่ใช่เห็นว่าคุณสวย ผมก็ไม่เพิ่มวีแชทง่ายๆหรอก”
ท่าทีของฉินซีดูระแวงขึ้น “ฉันแต่งงานแล้ว!”
หซู่เป่ยมองสีหน้าระแวงของเธอ ยิ้มออกมาทันที “รู้แล้ว! แม้ว่าจะมาข่าวอื้อฉาวของผมมากมาย แต่รสนิยมของผมกับพี่ชายผมแตกต่างกัน ไม่ได้สนใจคุณในด้านแบบนั้น”
เขายิ้มอย่างเปิดเผย ฉินซีก็ไม่ใช้ใจอันแคบไปตัดสินคนอื่น อีกอย่างหซู่เป่ยถือว่าเป็นนายแบบที่เหมาะสมที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา ดังนั้นฉินซีจึงเอาโทรศัพท์ออกมาเพิ่มวีแชทของเขา
หซู่เป่ยผ่านการยืนยันของเธอ ฉินซีได้ตั้งชื่อให้เขา พูดอย่างสบายๆขึ้นมา “ถ้าคราวหลังให้นายมาถ่ายภาพ ก็คิดตามราคาปกติของนายเลยนะ ไม่งั้นฉันไม่สบายใจแน่ๆ”
หซู่เป่ยตบที่ไหล่เธอ “ได้เลย! โอกาสที่ได้ถ่ายรูปให้ผมฟรีก็มีแค่ครั้งนี้แหละ คุณรักษาดีๆละกัน”
ฉินซีว่าจะพูดอะไรสักหน่อย สักพักก็ได้ยินเสียงของผู้จัดการเฉินลอยมา “หซู่เป่ย?นายอยู่ที่นี่ไหม?”
หซู่เป่ยตอบเสียงดัง “ทางนี้ครับ”
ผู้จัดการรีบมาอย่างหอบ บ่นต่อหน้าเขา “นายสูบบุหรี่ทำไมสูบนานแบบนี้ นาย—