Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 930

ตอนที่ 930

บทที่ 930 โชคดีมากพอแล้ว

ฉินซึ่งเทียนเป็นคนที่หน้าไหว้หลังหลอกอย่างถึงที่สุด หลังจากที่เขาหย่ากับเหยาหมิ่นแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ ทั้งยังแอบส่งเรื่องของเหยาหมิ่นไปให้หนังสือพิมพ์ขนาดเล็ก

ในตอนนั้นฉินซีเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเหยาหมิ่น ฉินซึ่งเทียนจึงไม่เหลือความรักความผูกพันใด ๆ บนหนังสือพิมพ์ยังเขียนเอาไว้ว่าเขาสงสัยว่าฉินซีไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ทั้งยังไม่ยอมล้างมลทินให้เธอ ตอนที่ใครหลายคนถามถึงเรื่องนี้ เขาก็เพียงทำหน้ามืดครึ้ม แต่กลับไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกมา

ในสายตาของคนรอบข้าง การที่เขาแสดงออกแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ความอับอายจึงกลายเป็นความโมโห

ข่าวลือเกี่ยวกับฉินซีมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนของเธอก็ค่อย ๆ ตีตัวออกหาก

พวกเขาล้วนเป็นชนรุ่นหลังของตระกูลชั้นสูง ไม่สามารถคบหากับลูกนอกสมรสได้

บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ยามตกทุกข์ได้ยากก็จะได้เห็นน้ำใจที่แท้จริงของคน

มีเพียงอานหยันแค่คนเดียวที่ยังคอยอยู่เคียงข้างฉินซี เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่คอยเข้าใจ คอยสนับสนุน และให้อภัยเธอ

บางทีอาจจะเป็นเพราะโคมไฟที่อยู่ข้างหลังส่องประกายอบอุ่น ก่อให้เกิดแสงอันนุ่มนวลยามราตรี ฉินซีจึงรู้สึกได้ว่าลู่เซิ่นกำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารและอ่อนโยน

“แต่ไม่ต้องสงสารฉันหรอกนะคะ” ฉินซียกยิ้มเบา ๆ “สำหรับฉัน การได้มีเพื่อนแท้อยู่ข้างกายแค่สักคน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากพอแล้ว”

ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไป แล้วกุมมือเธอเอาไว้

มือของฉินซีค่อนข้างเย็น ทว่าอุณหภูมิร่างกายของลู่เซิ่นกลับอบอุ่นเป็นอย่างมาก

เช้าวันรุ่งขึ้นลู่เซิ่นยังคงตื่นขึ้นมาตรงเวลาตามตารางการทำงานและการพักผ่อน

วันนี้ฉินซีมีภารกิจจึงต้องทำ เธอจึงไม่ได้นอนต่อตามแบบวันปกติ ดังนั้นจึงลุกขึ้นมาพร้อมเขา

เธอได้พบกับสูหวั่นอีกครั้งที่ห้องอาหาร

พอคิดดูดี ๆ แล้ว เหมือนว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้เจอหน้าหลินหยัง

แต่ฉินซีก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่ ในเมื่อคุณหญิงลู่หมายมั่นแล้วว่าจะยัดคนเข้าไปอยู่ข้างกายลู่เซิ่นให้ได้ ต่อให้เป็นลู่เซิ่นเองก็คงยากที่จะปฏิเสธ

สูหวั่นยังคงยืนก้มหน้าอยู่ข้างกายลู่เซิ่นเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ กับฉินซีสักนิด

แน่นอนว่าฉินซีก็ไม่ได้สนใจเธอ เพียงนั่งลงแล้วจัดการอาหารเช้าของตัวเอง

เธอค่อย ๆ เคี้ยวแล้วกินเข้าไปอย่างช้า ๆ รอลู่เซิ่นออกไปได้สักพักก็รีบกินให้เสร็จ

“ตอนเที่ยงฉันมีงานต้องทำ คงไม่ได้กลับมากินข้าวนะคะ” ฉินซีกำชับพ่อบ้านด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนตามปกติ ราวกับว่าเธอกำลังออกไปทำงานธรรมดาทั่วไปจริง ๆ “เย็นนี้ก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาไหม เพราะอย่างนั้นไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อฉัน”

แต่ไหนแต่ไรมาพ่อบ้านก็ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของเธอมากมาย เขาเพียงพยักหน้ารับคำ ฉินซีจึงหมุนตัวกลับขึ้นไปข้างบน เดินเข้าไปในห้องมืด

เธอจำสิ่งที่ควรจำไว้ได้หมดแล้ว การที่มาตอนนี้ก็เพียงเพื่อทำจิตใจให้สบาย

ตอนที่ออกมาจากตระกูลลู่ ฉินซีก็แต่งตัวตามปกติ เพียงแต่ดูประณีตงดงามมากกว่าเดิมนิดหน่อย

ชุดสูทของชาแนลเข้าคู่กับรองเท้าส้นเตี้ย ผมแต่ละเส้นถูกหวีอย่างระมัดระวัง บนใบหน้าตกแต่งด้วยเครื่องสำอางดูสวยงาม สะพายกระเป๋าหนังจระเข้

ใครก็คงคิดไม่ถึงว่าข้างในกระเป๋านี้จะไม่ใช่เครื่องสำอาง แต่เป็นกล้องSLR

นี่เป็นหนึ่งในแผนการที่เธอเคยปรึกษากับอานหยัน

โรงแรมแห่งนี้มีทางเข้าออกอยู่เพียงไม่กี่ทาง ถ้าฉินซีมัวแต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ก็จะทำให้คนสงสัยเอาได้ ไม่สู้เดินเข้าไปอย่างเปิดเผย แกล้งทำเป็นคุณหนูผู้ร่ำรวยที่เข้าไปดื่มน้ำชายามบ่ายข้างในโรงแรม แบบนี้จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจมากนัก

รถที่อานหยันเตรียมเอาไว้ให้จอดรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว คนขับรถเดินเข้ามาเปิดประตูให้เธอ จากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วขับตรงไปที่โรงแรม

“คุณฉิน” คนขับรถก็เป็นคนที่รู้เรื่องข้างใน เขาพยายามพูดเสียงเบาอย่างสุดความสามารถ “รองเท้าของคุณสะดวกไหม”

ฉินซีมองรองเท้าของตัวเองที่มีส้นสูงไม่เกินห้าเซนติเมตรแล้วพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”

หากเปลี่ยนเป็นรองเท้าส้นแบน มันก็จะทำให้รูปแบบดูมีอะไรที่ไม่ถูกไม่ควร

ถึงอย่างไรฉินซีก็เป็นคนที่ออกมาจากตระกูลฉิน เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ทุกคนต้องแต่งหน้าแต่งตัวอย่างดีจึงจะสามารถออกมาจากประตูบ้านได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะก่อให้เกิดจุดด่างพร้อยเอาได้

เธอไม่ใช่คนที่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง เพียงแต่ครั้งนี้คนของอีกฝ่ายระวังตัวมาก ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถเผยพิรุธออกมาได้แม้แต่นิดเดียว

คนขับรถเห็นเธอมีท่าทีแน่วแน่ จึงไม่ได้ซักไซ้ไล่ถามเธอต่อ

ผ่านไปสักพักก็ขับมาถึงหน้าประตูโรงแรม

ในชั่วพริบตาที่ฉินซีลงมาจากรถแล้วหันไปมองที่ประตูใหญ่ของโรงแรม ทันใดนั้นภาพความทรงจำเก่า ๆ มากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในสมอง

โรงแรมได้รับการปรับปรุงจริง ๆ ด้วย ครั้งก่อนที่เธอมาประตูใหญ่ไม่ได้เป็นแบบนี้

ตอนนั้นเธอเพิ่งย้ายไปอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนไม่นาน ทุก ๆ วันเอาแต่วางแผนว่า ทำยังไงจึงจะสามารถสืบหาความจริงแล้วแก้แค้นให้เหยาหมิ่นได้ แน่นอนว่าเธอก็คิดถึงโรงแรมนี้

แต่เธอในตอนนั้นไม่เหมือนกับเธอในตอนนี้ ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นว่ากำลังรอใครบางคนอยู่ที่โถงรับแขกของโรงแรม แล้วคอยดึงตัวพนักงานเข้ามาถาม

การสืบหาแบบนั้นจะไปมีประสิทธิภาพอะไรได้ เธอมากี่ครั้งก็ไม่เคยได้อะไรกลับไปแม้แต่นิดเดียว

“อีกสักพักผมจะไปรอรับคุณที่ประตูฝั่งตะวันตกเฉียงใต้” เสียงของคนขับรถตัดบทการรำลึกความหลังของฉินซี เธอพยักหน้าให้เขา จัดชายเสื้อให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปข้างใน

คนเฝ้าประตูโรงแรมมองสีหน้าคนเก่งเป็นที่สุด เขาเห็นฉินซีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ในมือยังถือกระเป๋าใบละหลายแสน รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เจ้านายที่จะล่วงเกินได้ง่าย ๆ จึงเปิดประตูให้เธออย่างประจบสอพลอ

เข้าไปข้างใน ฉินซีก็ตรงไปที่ร้านอาหารโดยไม่แม้แต่จะเหล่มองไปทางอื่น เลือกเก้าอี้ใกล้กำแพงที่มีทัศนวิสัยเปิดกว้างแล้วนั่งลง

ตอนที่บริกรมารินน้ำให้เธอแล้วกำลังคิดจะถามขึ้นมาว่าเธอต้องการจะสั่งอะไร ก็เห็นเธอกดรับโทรศัพท์ด้วยความไม่พอใจ “คุณจะมาเมื่อไหร่กันแน่! เกือบจะพลาดโอกาสไปแล้ว ฉันอยากจะเห็นเขากับนางเมียน้อยนั่นด้วยตาของตัวเอง!”

เสียงจากปลายสายค่อนข้างที่จะไม่ค่อยชัดเจน เมื่อเห็นฉินซีขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ บริกรจึงดึงสติกลับมาได้

สิ่งที่โรงแรมนี้ไม่เคยขาดไปเลยก็คือพล็อตดั้งเดิมอย่างการจับเมียน้อยหน้าประตูห้อง

เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงตรงหน้าก็เป็นหนึ่งในนั้น

เขาส่ายหน้า วางแผนเอาไว้ว่าอีกสักพักค่อยกลับมาถามก็แล้วกัน

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของบริกรเดินทางออกไปแล้ว ฉินซีก็กดเปิดวีแชท แล้วส่งข้อความง่าย ๆ ไปหาอานหยัน “มาถึงแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างปกติดี”

อานหยันตอบกลับมาอย่างรวดเร็วว่า “เยี่ยม” แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

ฉินซีนั่งหลังพิงเก้าอี้ด้วยหน้าตาบูดบึ้ง ทว่าสายตากลับมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้า ๆ ออก ๆ อย่างระมัดระวัง

ทว่าการตรวจสอบอันยาวนานก่อนหน้านี้ไม่ได้เสียเปล่า เธอรอไม่นานก็เห็นเสิ่นโหลวเดินมาจากด้าน

เสิ่นโหลวสวมหน้ากากอนามัยกับแว่นตาสีดำ หมวกแก๊ปถูกกดลงมาต่ำมาก หากไม่ใช่ว่าในช่วงสองสามวันมานี้ฉินซีพยายามสร้างความคุ้นเคยกับภาพด้านหลังของเขา ต่อให้เขาจะปลอมตัวยังไง ก็สามารถมองออกได้ในทันที ไม่อย่างนั้นแล้วเป็นไปได้ว่าเธออาจมองข้ามคนคนนี้ไปจริง ๆ

เห็นได้ชัดว่าเสิ่นโหลวเป็นแขกประจำของที่นี่ เขาทักทายกับพนักงานต้อนรับ รับคีย์การ์ดห้องพักแล้วเดินเข้าไปในลิฟต์โดยไม่หยุดมากเกินความจำเป็น

ฉินซีเลือกตำแหน่งที่นั่งได้อย่างยอดเยี่ยม จึงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของเสิ่นโหลวได้อย่างชัดเจน

มองไปที่ชั้นลิฟต์ที่เขากดค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงทีละน้อย ตอนที่กำลังใกล้จะถึง ฉินซีก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็ตะโกนใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างโมโหว่า “คุณไม่ต้องมาแล้ว! ฉันเห็นเขาเข้าไปในขึ้นลิฟต์ไปแล้ว ฉันจะไปจัดการหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นด้วยตัวเอง!”

บริกรที่อยู่อีกด้านหนึ่งที่กำลังจะถามเธอว่าเธอจะสั่งอะไร ก็ถูกท่าทางนี้ของเธอทำให้ตกใจจนชะงักไปกลางคัน มองฉินซีวางสายโทรศัพท์แล้วเดินไปที่ลิฟต์ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดอย่างช็อก ๆ

บริกรห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้ เขาจึงมองไปทางลิฟต์แวบหนึ่ง ก็เห็นเสิ่นโหลวที่แต่งตัวเต็มยศเดินเข้าไปในลิฟต์เข้าพอดี

ที่แท้ก็เป็นเขา..

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท