บทที่ 1053 กำลังเดทอยู่จริงๆด้วย
ลู่เซิ่นรู้ดีว่าตามนิสัยของฉินซี เธอจะไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องฉินหว่านก่อน
เมื่อเธอพูดมาเช่นนี้ ก็เป็นเพียงเรื่องตลกให้เข้ากับบรรยากาศเท่านั้น
ทันใดนั้นฉินซีก็ตระหนักว่าตัวเองนั้นเปลี่ยนไปจริงๆ
หากย้อนไปในอดีต เมื่อเธอได้ยินคำพูดไร้เหตุผลเช่นนี้ของฉินหว่านเธอจะรู้สึกหดหู่ใจไปไม่รู้กี่วันต่อกี่วัน
แต่ตอนนี้เธอไม่ได้เก็บคำพูดของฉินหว่านมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
ต้องให้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่ดีกว่า
ตอนนี้ฉินซีเข้าใจความหมายของประโยคนี้แล้วและรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
“ไม่ต่างกัน เรากลับกันไหม” ลู่เซิ่นจูงมือของเธอ
ดูเหมือนว่าการกระทำนี้จะขัดๆและมันไม่เข้ากับรูปลักษณ์ของลู่เซิ่นเลยแม้แต่น้อย
แต่ฉินซีกลับรู้สึกว่ามันน่ามองมากๆ “โอเค”
เธอยังมีหลายอย่างที่จะถาม แต่เธอต้องการให้สองคนได้คุยกันตามลำพังสองต่อสอง
เพียงแต่คนสองคนยังไม่มีโอกาสอยู่กันตามลำพัง เพราะเมื่อทั้งสองจับมือกันเดินกลับไปที่อาคารหลัก ก็ได้ยินเสียงพ่อบ้านทักทาย “คุณผู้หญิงครับ มีแขกขอเข้าพบคุณครับ”
ฉินซีเลิกคิ้วมองไปข้างหลังก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
แขกที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอานหยัน
สิ่งที่เธอพูดกับอานหยันในตอนเช้าคือ “ไม่สบายใจก็มาหาที่บ้านได้” ตามจริงแล้วเธอพูดไปอย่างนั้นแต่ไม่คิดว่าอานหยันจะมาจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าอานหยันดูจะเป็นห่วงเธอจริงๆ
ลู่เซิ่นพยักหน้าเบาๆให้อานหยัน พลางปล่อยมือและมุ่งหน้าไปที่ห้องหนังสือชั้นบน ส่วนพ่อบ้านที่นำชามาให้ก็เดินออกไปเช่นกัน
เธอสองคนถูกทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น
“เลิกมองได้แล้ว เขาเดินไปไกลแล้ว” อานหยันพูดเบาๆ
ฉินซียิ้มอย่างเขินๆและหันกลับไปมองชั้นบน
“นี่ดีกันแล้วจริงๆใช่ไหม” อานหยันถามอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม
ฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าตอบรับ
…. ที่พวกเขาเป็นแบบนี้ นับว่ากำลังเดทกันจริงๆหรือเปล่านะ
“สิ่งที่ทำไปไม่มีความหมายจริงๆ…” อานหยันโค้งริมฝีปาก “ทำไมจู่ๆถึงคิดออกล่ะ”
ฉินซีส่ายหัว “ไม่ใช่ว่าจู่ๆก็คิดออก… ”
หลังจากที่ลู่เซิ่นเดินไปแล้ว จู่ๆก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาตอนอยู่บนเครื่องบิน วิดีโอในทุกๆวันของทั้งสองคนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ทั้งสองคนเข้าหากัน
เธออ้าปากค้าง ไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาอย่างไร
อานหยันกลับโบกมือ “เอาเถอะ ฉันยังโสด ไม่อยากได้ยินเรื่องรักๆของเธอ ฉันแค่อยากมาดูว่าเธอสบายดีจริงๆหรือเปล่า”
ฉินซีลุกขึ้นและหมุนตัวให้เห็นโดยรอบต่อหน้าเธอ “ดูสิ ฉันสบายดีจริงๆ”
อานหยันมองไปที่มือซ้ายที่เข้าเฝือกของเธอ “นี่นับว่าไม่เป็นอะไรงั้นเหรอ”
ฉินซียิ้ม “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ หมอบอกว่าแค่พักผ่อนก็ดีขึ้นแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าอานหยันยังคงไม่ปักใจเชื่อ แต่เธอไม่ได้ถามซักไซ้เรื่องนี้ต่อและเปลี่ยนคำถาม “แล้วเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่เขียนบนอินเทอร์เน็ตทำฉันตกใจแทบแย่”
ฉินซีมองไปที่เธอพลางเข้าไปกอด “เมื่อวานนี้ฉันไม่มีเวลาติดต่อเธอเลย อันที่จริงแล้วสิ่งที่ฉันเขียนไปทั้งหมดไม่ใช่เรื่องโกหก…”
เธออธิบายขั้นตอนนี้ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดวงตาของอานหยันก็เบิกกว้าง “คนตระกูลฉินจ้างคนมาลักพาตัวเธอจริงๆงั้นเหรอ”
ฉินซีพยักหน้า “จริง”
อานหยันตกใจ “ฉินซึ่งเทียนไม่ใช่คนแล้วจริงๆ!”
เมื่อเธอนึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉินซีตอบสนองช้าลง ถ้าประตูไม่เปิดได้อย่างง่ายดายจะเกิดอะไรขึ้นและในที่สุดจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพี่หลิวไม่ยอมปล่อยมือจากฉินซี
ไม่อย่างนั้น เมื่อวานเลือดคงหยดลงมาเป็นแอ่งไม่หยุด
ฉินซีมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของเธอ พลางยื่นมือไปตบไหล่เพื่อปลอบโยน “ฉันไม่เป็นไร”
อานหยันกัดฟันพูด “โชคดีของเธอก็เป็นโชคดีของเขาเหมือนกัน”
ฉินซีปลอบโยนเธออยู่พักใหญ่อานหยันถึงจะค่อยๆสงบสติอารมณ์ลง
เธอหันไปมองฉินซี แววตาของเธอสับสนเล็กน้อย“ทำไมเธอถึง…ใจเย็นจัง”
ตามนิสัยของฉินซีแล้ว หากถูกฉินซึ่งเทียนข่มเหงถึงขนาดนี้ ฉินซีจะไม่นั่งตรงข้ามเธออย่างใจเย็นและคอยอธิบายเธออยู่แบบนี้
อานหยันและฉินซีรู้จักกันมานานแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่จะดูออกว่าความสงบของฉินซีในขณะนี้มาจากข้างในจริงๆ เธอไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้จริงๆและไม่รู้สึกโกรธกับมัน
ฉินซีนิ่งอึ้ง “ฉันโกรธนะ ฉันก็แค่…ไม่อยากใช้เวลาไปกับการต่อรองกับคนอย่างเขาก็เท่านั้น แล้วกรรมจะตอบสนองเขา ฉันทำทุกอย่างที่ควรทำไปแล้ว การแบกความโกรธของตัวเองไว้ตลอดจะทำให้ตัวเราเองเป็นทุกข์”
อานหยันค่อยๆยิ้มออกมาในขณะที่กำลังฟังเธอพูด
หลังจากที่เหยาหมิ่นจากไป เธอก็เฝ้ารอว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อไม่ให้ฉินซีถูกทรมานจากความเกลียดชัง
แต่แล้วเธอก็ล้มเหลว
และในตอนนี้ ฉินซีได้ก้าวข้ามมาด้วยตัวของเธอเอง
เธอรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“แต่ที่เธอไปครั้งนี้เจออะไรที่พอจะเป็นประโยชน์บ้างไหม” อานหยันถามต่อ
ฉินซีพยักหน้า “เจอสิ แล้วก็ไม่น้อยเลยล่ะ”
ขณะที่เธอกำลังคุยกับอานหยันอย่างละเอียด จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“พี่ฉินซี!” เสียงของจ้าวจิ้ง ดังมาจากปลายสาย “พี่ว่างไหม ฉันอยากถามอะไรบางอย่างกับพี่!”
ฉินซีมองไปที่อานหยัน เธอโบกมือให้เป็นเชิงว่าไม่ต้องสนใจเธอ ฉินซีจึงตอบกลับ “ว่างสิ เธอพูดมาเลย”
จู่ๆจ้าวจิ้งก็เกิดลังเล “พูดผ่านโทรศัพท์…ไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าฉันไปเยี่ยมพี่ มันจะกะทันหันไปไหม”
ที่เอะอะอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เพราะอยากจะมาเยี่ยมเธอ
ฉินซียิ้ม “ถ้าจะมาที่นี่ก็ไม่มีปัญหา แต่เธอน่าอยู่ที่บ้านของตระกูลลู่ใช่ไหม จะสะดวกมาที่นี่เหรอ”
จ้าวจิ้งตอบกลับทันที “ไม่มีอะไร ประธานลู่บอกว่าเขาให้คนขับรถไปส่งหนูได้”
ประธานลู่ที่พูดถึงน่าจะเป็นลู่เหวย
ฉินซีพยักหน้า “โอเค มาสิ ประธานลู่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน”
“โอเค!” จ้าวจิ้งตอบกลับและวางสายไป
ฉินซีเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอานหยันกำลังมองอยู่ เธอจึงยิ้มออกมา “ทนายที่ไปกับฉันเป็นเด็กที่น่าสนใจมากเลย เธอบอกว่ามีเรื่องอะไรสักอย่างเลยอยากจะมาหาน่ะ”
อานหยันเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแล้วจึงถอนหายใจออกมา
ฉินซีค่อยๆเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“เอาล่ะ ไหนบอกมาซิว่าเธอเจออะไรที่นั่น” อานหยันยิ้มพลางพูดกระตุ้น
ฉินซีพยักหน้า “ฉันเจอเจ้าของโรงแรมคนก่อน เขาถูกฉินซึ่งเทียนใส่ร้ายจนต้องเข้าคุก ฉันเลยช่วยหาทนายความมาช่วยเขาสู้คดีนี้ เขาจึงบอกทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่ฉินซึ่งเทียนทำในตอนนั้น”
เมื่อฟังเรื่องเห้อเสียงจากฉินซี สีหน้าของอานหยันก็ค่อยๆอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ
“เปิดโลกฉันจริงๆ” อานหยันกัดฟันกรอด “ทำไมถึงมีสัตว์นรกอย่างไอ้ฉินซึ่งเทียนอยู่กันนะ”
ฉินซีส่ายหน้า “ฉันก็ไม่เข้าใจมากเหมือนกัน”
คุณปู่เป็นคนดี ถึงแม้เธอจะไม่เคยเจอคุณย่า แต่จากสิ่งที่คุณปู่เล่าก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและฉลาด
แต่ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาที่ตรงไหน ถึงได้มีทายาทอย่างฉินซึ่งเทียนกันนะ
ฉินซีถอนหายใจ
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะฉินซึ่งเทียนก่อเวรก่อกรรมไว้กับเธอ เธอก็คงจะแข็งแกร่งกว่านี้