บทที่ 1091 ไร้สิ้นหนทางที่จะอยู่ต่อ
ในเสี้ยววินาทีนั้น ลู่เซิ่นรู้สึกคล้ายกับว่าหัวใจถูกเข็มทิ่มแทงลงมา
ท่าทางที่พยายามยิ้มน้อยๆของฉินซีนั้นดูแล้วเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าดูละครโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังจำเป็นต้องยิ้มครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้เกิดบทสุดท้าย
เธอไม่ควรเป็นแบบนี้
แต่เธอกลับกลายเป็นแบบนี้
แต่ว่าเขาไร้สิ้นหนทางที่จะอยู่ต่อ
เขาเพียงแค่ก้าวไปอยู่ข้างกายฉินซี ยื่นมือออกไปโอบกอดเธอเอาไว้แน่น กระซิบเสียงเบาอย่างจริงจังข้างใบหูเธอ “ได้ รอผมกลับมาแล้วพวกเราจะไปท่องเที่ยวด้วยกัน
ทั้งสองคนกอดกันอยู่หลายนาที กระทั่งผู้ดูแลบ้านเก็บกระเป๋าสัมภาระของลู่เซิ่นเรียบร้อยแล้ว ฉินซีรู้สึกคล้ายกับว่าผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที
หลินหยังเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมา ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาสองคนโดยไม่ได้เอ่ยเร่ง
สุดท้ายแล้วฉินซีก็เป็นฝ่ายปล่อยมือออกก่อน “ถึงเวลาแล้วมั้งคะ คุณควรจะไปแล้วใช่ไหม”
ชั่ววินาทีนี้ลู่เซิ่นคิดจะโยนทุกอย่างทิ้ง ไม่สนใจอะไรแล้วอยู่ที่นี่เพื่อกอดฉินซีต่อไป หรือไม่ก็พาเธอจากไปด้วยกัน
แต่สติปัญญาของเขายังคงอยู่เหนือกว่า
เขาค่อยๆปล่อยมือ ถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งอย่างช้าๆ
“ตกลงแล้วนะว่าจะรอผมกลับมา” เขามองสบนัยน์ตาของฉินซี พลางเอ่ยซ้ำอีกรอบหนึ่ง
ฉินซีพยักหน้าตอบ คล้ายกับว่าให้คำสัญญาอะไรสักอย่าง
สุดท้ายแล้วลู่เซิ่นก็มองฉินซีอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง และหมุนตัวเข้าไปในนั่งในรถ
ฉินซีไม่ได้ตามออกไปด้วย
เธอยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องรับแขก ฟังเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นมา และค่อยๆไกลออกไป
เห็นได้ชัดว่าในห้องรับแขกนั้นมีคนน้อยลงไปเพียงแค่คนเดียว แต่เธอกลับไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าทั้งตัวบ้านโล่งแปลกๆ
“คุณผู้หญิง……..” ผู้ดูแลบ้านดูเหมือนว่าจะมองต่อไปไม่ไหว จึงเป็นฝ่ายเดินไปถึงข้างกายฉินซี เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “อาหารทำเสร็จแล้ว ทานอาหารก่อนเถอะครับ”
ฉินซีหันหน้าไปมองรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเขา ก็ฝืนตัวเองให้พยักหน้า
ที่จริงแล้วเธอไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย แต่ผู้ดูแลบ้านคล้ายกับว่ามองออกถึงความไม่ยินยอมของเธอ จึงตักอาหารใส่จานให้เธอไม่น้อย ทั้งยังมีน้ำซุปกระดูกหมูอีกชามหนึ่งด้วย “ทานเยอะๆ จึงจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วหน่อยไม่ใช่หรือครับ”
ฉินซีก้มหน้า ไม่พูดอะไร
เพียงแต่ที่จริงแล้วกลยุทธ์การบีบบังคับให้ทานอาหารของผู้ดูแลบ้านก็ได้ผลเช่นกัน อย่างน้อยเมื่อฉินซีทานอาหารมื้อนี้เสร็จแล้ว ในกระเพาะก็อิ่มแน่นจนไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดอะไรมากเกินควรอีก ทำได้เพียงแค่ออกไปเดินเล่นย่อยอาหารด้านนอกเท่านั้น
กระเพาะอยู่ใกล้กับหัวใจ น้ำซุปอุ่นร้อนชามหนึ่งทำให้กระเพาะอบอุ่น ตอนที่กระเพาะไม่ว่างเปล่าแล้ว ในใจก็เหมือนกับอบอุ่นตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน
อากาศด้านนอกดีเป็นอย่างมาก แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาอย่างไม่ตระหนี่ แสงเจิดจ้าจนทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้น คนสวนที่อยู่ไกลๆนั้นกำลังรดน้ำให้กับหญ้าบนสนาม ละอองน้ำที่กระจายตัวทำให้สามารถมองเห็นสายรุ้งได้อย่างเลือนราง
แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าสดใสเช่นนี้ คล้ายกับว่าความรู้สึกโศกเศร้าทั้งหมดนั้นไร้ที่หลบซ่อน ล้วนถูกดึงออกมาตากแดดตากลมจนแห้งไปแล้ว
อารมณ์ของฉินซีก็สดใสตามขึ้นมาเช่นกัน
ถ้าจะให้พูดจริงๆแล้ว ลู่เซิ่นก็แค่ไปทำงานนอกสถานที่ครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
ฉินซีก็บรรยายไม่ถูกเช่นกันว่า ความรู้สึกเศร้าโศกของตัวเองนั้นมาจากที่ไหน
สาเหตุคล้ายกับว่า ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันดีๆมานานแล้ว ในตอนนี้กลับต้องเผชิญหน้ากับการห่างกัน จึงทำให้รู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจเป็นพิเศษ
สำหรับลางสังหรณ์ไม่สบายใจที่อยู่ในใจอย่างเลือนรางนั้น เธอปัดความผิดทั้งหมดให้กับสาเหตุนี้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็คล้ายกับว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
ฉินซีเดินไปรอบหนึ่ง จนความรู้สึกโศกเศร้าในใจที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อได้รับรู้ว่าลู่เซิ่นต้องไปทำงานนอกสถานที่หายไปแล้ว ถึงได้กลับไปยังห้องนอน
เธอยังมีโปรเจคของตัวเองที่ต้องทำให้สำเร็จ
บางทีตอนที่ลู่เซิ่นกลับมานั้น ไม่เพียงแต่มือซ้ายของเธอที่จะหายดีแล้ว นิทรรศการภาพถ่ายก็เตรียมไปได้ไม่น้อยแล้วเช่นกัน
……
แต่การทำงานในช่วงบ่ายของฉินซีดำเนินไปได้ไม่นานนัก
เพราะจู่ๆถังย่าโทรมาหาเธอตอนบ่ายสองโมงสิบห้านาที
“คุณฉิน” น้ำเสียงของถังย่ายังคงสุภาพเช่นเคย “ก่อนหน้านี้ดิฉันเคยบอกกับคุณว่า ดิฉันไม่มีประสบการณ์ช่วยจัดนิทรรศการภาพถ่ายมาก่อน ดังนั้นดิฉันจึงได้ติดต่อคนที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ในบริษัทคนหนึ่งให้มาเข้าร่วมในเรื่องนี้ด้วย จึงอยากจะสอบถามความเห็นของคุณหน่อยค่ะ”
ฉินซีคิ้วขมวดเล็กน้อย “ก็คืออยากจะเพิ่มคนเข้ามาในทีมงานใช่ไหมคะ”
ถังย่าพยักหน้า “ใช่ค่ะ แต่ว่าในทีมยังคงมีดิฉันเป็นผู้นำ คนคนนี้ก็มีประสบการณ์มากเช่นกัน ดังนั้นดิฉันจึงให้เขามาเข้าร่วมทีมด้วย ถ้าหากว่าคุณไม่วางใจ ดิฉันสามารถจัดการให้พวกคุณได้พบหน้ากันอย่างรวดเร็ว ไม่ทราบว่าคุณจะสะดวกในเวลาใดคะ”
ฉินซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “บ่ายวันนี้ก็ได้ค่ะ”
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ฝ่ายประชาสัมพันธ์มืออาชีพ แต่เธอก็รู้เช่นกันว่านิทรรศการที่วางแผนจะทำด้วยตัวเองนั้น การนัดหมายสถานที่อย่างหอศิลป์ การโฆษณาเพื่อให้มีชื่อเสียงในระยะแรกนั้น ยิ่งเริ่มแต่เนิ่นๆยิ่งดี
ดังนั้นอาศัยช่วงบ่ายที่ไม่ได้ถ่ายภาพ ไปพบหน้าได้ก็รีบไป
“ได้ค่ะ” ทางฝั่งถังย่านั้น เงียบชะงักไปสองสามวินาที “อย่างนั้นบ่ายสามโมงครึ่ง พวกเราจะไปพบคุณที่บ้าน ได้ไหมคะ”
“ได้” ฉินซีพยักหน้า แต่จู่ๆก็เกิดความรู้สึกลังเลอยู่ชั่วครู่ “สถานที่…..นัดที่บริษัทของพวกคุณเถอะ ฉันยังไม่เคยไปบริษัทของพวกคุณเลย”
ถังย่านั้นเหมือนกับหุ่นยนต์จริงๆ การที่ฉินซีเปลี่ยนความคิดอย่างกะทันหันนั้นไม่ได้ส่งผลอะไรต่ออารมณ์ความรู้สึกของเธอ “ได้ค่ะ ดิฉันจะส่งที่อยู่ไปให้คุณ คุณจะมาถึงในตอนบ่ายสามโมงครึ่ง ถูกต้องไหมคะ”
ฉินซีพยักหน้า “ถูกต้องค่ะ”
“อย่างนั้นตอนบ่ายสามโมงครึ่ง ดิฉันจะรอคุณอยู่ที่หน้าประตูบริษัทค่ะ” ถังย่ารับคำ
เมื่อวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว ฉินซีก็ลุกขึ้นยืน
ที่อยู่ที่ถังย่าส่งมานั้นไม่ถือว่าใกล้กับรีสอร์ทชิงหยวน ถ้าหากว่าต้องการไปถึงตรงเวลา ตอนนี้เธอต้องเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว
สาเหตุที่เปลี่ยนความคิดไปบริษัทของถังย่า ที่บอกว่าไม่เคยไปก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักๆ
สาเหตุหลักๆก็คือ……. ถังย่าเป็นคนที่ลู่เซิ่นให้ความไว้วางใจ ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่ถังย่ามาหาที่รีสอร์ทชิงหยวนโดยตรง ฉินซีจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม
แต่เมื่อมีคนอื่น อย่างไรก็เป็นถึงคนแปลกหน้า จะให้มาที่บ้านโดยตรง ฉินซีก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
นอกจากนี้แล้ว เมื่อพิจารณาถึงข่าวคราวความวุ่นวายในระยะนี้ของตระกูลฉินที่ค่อยๆหยุดลงแล้ว ฉินซีจึงไม่ต้องกังวลว่า ถ้าออกไปข้างนอกแล้วจะถูกเหล่านักข่าวล้อมเอาไว้ ดังนั้นจึงอยากจะหาโอกาสออกไปข้างนอกเช่นเดียวกัน
ถึงอย่างไรก็อุดอู้อยู่ในบ้านมาหลายวันแล้ว แม้ว่าเดิมเธอจะไม่ได้มีนิสัยชอบออกจากบ้าน แต่ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยเช่นกัน
ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าที่เหมาะสมจากตู้เสื้อผ้ามาสองสามชิ้น แต่งหน้าง่ายๆ และลงไปที่ชั้นล่าง
“คุณจะออกไปข้างนอกหรือครับ” ผู้ดูแลบ้านเห็นเธอแต่งตัวจะออกไปข้างนอก ก็รู้สึกตะลึงอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรฉินซีก็พักอยู่ในบ้านมานานมากแล้ว
แรกเริ่มเขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง คิดว่าฉินซีไม่ออกไปข้างนอกเพราะอารมณ์ไม่ดีกับเรื่องของตระกูลฉิน จึงแนะนำเธอให้เธอออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกอยู่หลายครั้ง
ฉินซีหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก เพียงแต่พูดอธิบายให้เขาเข้าใจว่า ตอนนี้ตัวเองออกไป เกรงว่าจะถูกอุปกรณ์ต่างๆของนักข่าวล้อมเอาไว้ ขยับตัวนิด ขยับตัวหน่อยก็ถูกคนจ้องจะถ่ายรูป เขาถึงได้ไม่เอ่ยแนะนำอะไรอีก
แต่ก็เปลี่ยนเป็นกังวลใจในอีกเรื่องหนึ่งแทน ฉินซีคงจะไม่ถูกแอบถ่ายตอนอยู่ในบ้านหรอกนะ
ดังนั้นจึงมีการเพิ่มจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัยรอบด้านรีสอร์ทชิงหยวนอีกชั้นหนึ่ง รับรองได้เลยว่าแม้จะเป็นการถ่ายรูปจากดาวเทียมที่อยู่นอกโลก ก็ไม่สามารถหาร่องรอยของฉินซีได้
ฉินซีนั้นได้รับการปกป้องรอบด้านอย่างระมัดระวังแบบนี้น้อยมาก แรกเริ่มจึงทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ในภายหลังจึงค่อยๆปรับตัวได้