Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1103

ตอนที่ 1103

บทที่1103 หลุดปาก

ลู่เซิ่นเผยรอยยิ้มที่มุมปากให้เห็น แต่ดูเหมือนเป็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างจะฝืน : “ผมบอกแล้วว่าผมจะจัดการเรื่องนี้เอง ไม่รบกวนทุกท่านแล้วครับ”

อารองทำท่ากำลังจะพูด แต่ถูกอาสามดึงมุมเสื้อเของเขาอยู่ใต้โต๊ะอาหาร

อารองหันไปมองด้วยความสงสัย แต่กลับเห็นอาสามนั้นกำลังยิ้มให้กับลู่เซิ่น “ลู่เซิ่นนี่แกพูดอะไร! ถ้าแกชอบเธอจริงๆ พวกเราจะทนเห็นแกเป็นกังวลใจแบบนี้ได้อย่างไร แกบอกฉันได้ ว่าเกิดอะไรกับหญิงสาวคนนั้น”

ลู่เซิ่นไม่ได้เอ่ยปากพูด เพียงแต่กวาดสายตามองทุกคนไปรอบๆ

อาสามก็เข้าใจในความหมายของเขาทันที ดึงเก้าอี้ออกแล้วลุกยืนขึ้น ทำท่าบิดขี้เกียจ : “วันนี้ฉันทานอาหารมากไปหน่อย ลู่เซิ่นออกไปเดินเล่นกับอาสามหน่อยดีไหม”

ลู่เซิ่นยิ้มขำอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าอาสามคืนนี้มัวแต่ขยิบตาส่งให้กับอารอง จนทานอาหารไปแค่สองสามคำเองมั้ง

แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงพยักหน้าแล้วลุกยืนขึ้น : “ตามความต้องการของอาสามครับ”

แน่นอนอารองย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้อาสามแค่เพียงคนเดียว จึงพูดขึ้นอย่างรีบร้อน : “พอดีเลยฉันก็รู้สึกว่าควรต้องย่อยอาหารสักหน่อย เจ้าสามฉันไปด้วย”

อาสามย่อมไม่ขัดข้องอย่างแน่นอน

เมื่ออารองพูดเช่นนี้ ทำให้ญาติท่านอื่นต่างเข้าใจทันทีว่าพวกเขากำลังต้องการจะทำอะไร และก็แสดงอาการอยากมีส่วนร่วมด้วยทันที

ลู่เซิ่นที่ไม่อยากจะให้มีคนรู้เรื่องนี้มากเกินไป ดังนั้นจึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า : ดูเหมือนทุกท่านจะทานอาหารกันเสร็จแล้ว อย่างนั้นก็แยกย้ายกันเถอะ”

เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ก็เหมือนเป็นการอุดปากเหล่าท่านที่อยากจะมีส่วนร่วมเหล่านั้น ทุกคนพยักหน้าอย่างไม่พอใจแล้วก็จากไป

ครั้นแล้วก็มีเพียงอารองกับอาสามที่เดินออกมาพร้อมกับลู่เซิ่น

บริเวณบ้านตระกูลลู่นั้นกว้างใหญ่มาก ดังนั้นมีสถานที่ให้เดินเล่นมากมาย

ตระกูลลู่เป็นตระกูลครอบครัวใหญ่

คุณปู่ของลู่เซิ่นมีน้องชายสองคน สามพี่น้องต่างฝ่ายต่างมีลูกชายหลายคน ดังนั้นบ้านตระกูลลู่ตอนนี้ถึงได้มีลุงๆอาๆจำนวนมากมาย

แต่คุณปู่คุณย่าของลู่เซิ่นมีลูกชายสามคนลูกสาวสองคน ลูกคนโตคือลู่เหวย แล้วก็ตามด้วยอารอง อาสาม และอาผู้หญิงอีกสองคน ซึ่งได้แต่งงานย้ายออกไปแล้ว ส่วนลู่เหวยก็ได้ย้ายไปที่ประเทศF เพราะฉะนั้นบ้านหลังนี้สำหรับลู่เซิ่นแล้ว อารองกับอาสามถือว่าเป็นญาติทางสายเลือดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุด

คุณปู่เป็นรุ่นบุกเบิกผู้ก่อตั้งตระกูลลู่ พูดตรงๆก็คือ เหล่าลูกหลานของพี่น้องของคุณปู่ที่อาศัยอยู่ที่นี้ได้ก็ด้วยบารมีของคุณปู่ พวกเขาก็เข้าใจสถานะตัวเองดี ดังนั้นส่วนใหญ่พวกเขามักจะชอบหลบหน้าหลบตา

แต่เมื่อลู่เหวยไม่อยู่ อารองและอาสามจึงมีสถานะใหญ่สุดในบ้านตระกูลลู่

หรืออาจพูดได้ว่าไม่เพียงแต่ที่บ้านตระกูลลู่ แต่พวกเขาสองคนยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลลู่ในเมืองหนาน และมีพลังในการพูด

ดังนั้นลู่เซิ่นจึงเลือกพวกเขามาเป็นกุญแจในการไขปัญหา

เมื่อทั้งสามเดินออกมา ลู่เซิ่นก็หยุดพูดอีก

ทำให้อารองและอาสามจิตใจร้อนรน แต่ก็ไม่สามารถแสดงอาการออกมา ทำได้แค่เพียงชวนลู่เซิ่นสนทนาเรื่องทั่วไป : แกก็นานมากแล้วที่ไม่ได้กลับมา”

ลู่เซิ่นแค่พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร

เขาเหล่หางตามองอารองกับอาสามที่มีอาการกระวนกระวาย แล้วเขาก็นึกขำในใจ

ตอนที่เลือกทายาทเพื่อสืบทอดตระกูล คงเป็นช่วงเวลาที่ยากสำหรับคุณปู่ลู่

คุณปู่ลู่คงสังเกตเห็นแล้วว่าลู่เหวยนั้นมีนิสัยค่อนข้างอ่อนโยน เหมือนเป็นนักวิชาการมากว่าการเป็นนักธุรกิจ แต่น้องชายของลู่เหวย ก็คืออารองกับอาสามนั้น แม้จะหูตากว้างขวาง แต่ก็ใจเสาะ ชอบโลภสิ่งเล็กๆน้อยๆ จึงยากที่จะแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ได้

ดังนั้นจึงลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่จะเลือกลู่เหวยให้เป็นผู้สืบทอดธุรกิจของตระกูลต่อไป

อย่างน้อยลู่เหวยก็มีบุคลิกที่ดีกว่าถ้าเทียบกับน้องๆของเขา

โชคดีที่ลู่เหวยนั้นแต่งงานกับสูหยิง เขาที่อ่อนโยน แต่สูหยิงนั้นเข้มแข็ง จึงสามารถพยุงตระกูลลู่ให้อยู่รอดจนได้

แต่ว่าสำหรับคนบ้านตระกูลลู่นั้น กลับคิดว่าสูหยิงนั้นไม่ใช่คนของตัวเอง เป็นเพียงแค่สะใภ้ที่แต่งเข้ามา และยังมีพวกที่หัวโบราณอีก คิดว่าตระกูลลู่ที่ใหญ่โตหากถูกพยุงโดยผู้หญิง จะเป็นที่อับอายขายหน้าให้กับวงศ์ตระกูล

ดังนั้นอารองและอาสามมักจะคอยเลื่อยขาเก้าอี้เสมอ ไม่ว่าจะทั้งในที่ลับหรือที่แจ้ง รอแค่สูหยิงขัดขาตัวเองแล้วทำสิ่งผิดพลาด พวกเขาก็จะรอเสียบทันที

ยังโชคดีที่หลายปีมานี้สูหยิงที่แม้จะมีนิสัยแข็งกระด้าง แต่เธอก็ให้ความระมัดระวังเสมอเมื่อต้องทำงานหรือทำสิ่งต่างๆ โดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดให้ผู้อื่นครหาได้

และความหวังของอารองและอาสามต้องพังทลายลง เมื่อมีการปรากฏตัวของลู่เซิ่น

หลังจากลู่เซิ่นได้เผยความสามารถที่โดดเด่นให้เห็น ก็เปรียบเสมือนเขาได้นำชีวิตใหม่สู่บ้านตระกูลลู่ รูปแบบและสไตล์ของเขานั้นแตกต่างจากลู่เหวยมาก แต่กลับค่อนข้างคล้ายกับคุณปู่ลู่ที่ดูมีพลัง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว วิธีการรุนแรงและเด็ดขาด สายตาพิฆาตและแม่นยำ

ดังนั้นหลังจากที่รอเขาจบการศึกษาและฝึกฝนอยู่หลายปี สูหยิงก็ได้ยกตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวให้กับลู่เซิ่น

แรกเริ่มอารองและอาสามนั้นไม่ค่อยพอใจ แต่ทันทีที่ลู่เซิ่นเข้ามา ก็ได้จัดการหลายเรื่องให้แล้วเสร็จ รวมถึงการควบรวมกิจการที่ก่อนหน้านี้สูหยิงนั้นทำไม่สำเร็จให้สำเร็จลุล่วง ทำให้คนบ้านตระกูลลู่เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาใหม่ อีกทั้งยังจัดการคนที่คอยสอดแนมเป็นหูเป็นตาให้กับอารองและอาสามที่บริษัทลู่ซื่อ ด้วยการแอบตีทั้งคู่อย่างลับๆไปสองสามที

อารองและอาสามจึงยอมศิโรราบให้แต่โดยดี เพราะรู้ดีว่าลู่เซิ่นมักจะใช้วิธีรุนแรงในการจัดการเรื่องราว เพื่อผลประโยชน์ที่จะกอบโกยได้จากบริษัทลู่ซื่อแล้ว จึงต้องจำยอมไม่เป็นปฏิปักษ์กับลู่เซิ่น และอยู่บ้านตระกูลลู่ที่เมืองหนานอย่างสงบสุข ใช้ชีวิตสะดวกสบายดุจราชา

และด้วยคำพูดของตัวเองนี้ ทำให้สมองของพวกเขาแล่นอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด

ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้ตัวเองจะควบคุมดูแลบริษัทลู่ได้โดยไม่เกิดปัญหาใดๆ แต่ด้วยที่ตัวเองนั้นอายุน้อย ส่วนคณะกรรมการบริหารของบริษัทลู่ซื่อยังคงเหลือคนรุ่นอย่างลู่เหวยอยู่ไม่น้อย ลู่เซิ่นที่ไม่ชอบพวกเขาที่คิดว่าอาวุโสกว่า ส่วนพวกเขาก็ไม่ถูกใจวิธีการบริหารของเขา เมื่อเร็วๆนี้เขาต้องการอยากเปลี่ยนไปลงทุนทางอินเทอร์เน็ต ก็ถูกพวกเขาต่อต้านทุกวิถีทาง ทั้งสองฝ่ายจึงมีปากเสียงกันอยู่นาน จนสถานการณ์บานปลาย

ในช่วงเวลาเลวร้ายแบบนี้ ถ้าหากเขาต้องการแต่งงานกับคนที่ดูอย่างไรก็ไม่มีทางที่ตระกูลลู่จะให้การต้อนรับ ก็เท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟในกองไฟ และจะต้องทำให้คณะกรรมการหัวโบราณเหล่านั้นยิ่งเป็นที่ไม่พอใจมากขึ้น

ถ้าอารองกับอาสามใช้โอกาสนี้มาต่อกร ถึงแม้จะไม่สามารถล้มตัวเองได้ แต่ก็ทำให้ตัวเองเสียประโยชน์หลายอย่างได้

ดังนั้นพวกเขาทั้งสองถึงได้ขยันให้การช่วยเหลือตัวเองเช่นนี้

ในใจลู่เซิ่นนั้นมองทุกอย่างออกอย่างถ่องแท้ แต่สีหน้าแค่ไม่แสดงอาการใดๆออกมา ราวกับว่าเป็นการออกมาเดินย่อยอาหารเป็นเพื่อนอารอกับอาสามจริงๆ และก็เดินอย่างเงียบๆ

เดินวนได้ครึ่งรอบชองบริเวณบ้านตระกูลลู่ที่กว้างใหญ่ เมื่อเห็นอารองและอาสามนั้นทนไม่ได้อีกต่อไป เขาถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น

“พูดออกมาก็ไม่กลัวท่านทั้งสองหัวเราะเยาะ” ขณะที่ทั้งสามกำลังเดินไปถึงใต้เงาต้นไม้ เห็นท่าทางของลู่เซิ่นได้ไม่ชัดเจน แต่น้ำเสียงที่ได้ยินเหมือนค่อนข้างจะแผ่วๆ

อาสามที่ความรู้สึกไว เมื่อรู้ว่าลู่เซิ่นนั้นยอมที่จะเปิดปากพูดแล้ว จึงรีบพูดต่อขึ้นทันที : “ถึงอย่างไรฉันและอารองของแกก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แกพูดมาได้เลย พวกเราไม่มีทางคิดหยุมหยิมกับเด็กหรอก”

คำพูดของเขาที่พูดออกมาอย่างรีบร้อนโดยที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองก่อน เมื่อรู้สึกตัวอีกที เหงื่อก็ไหลออกมาท่วมตัว

——เขาพูดอะไรออกไป พูดต่อหน้าเขาว่าหัวหน้าตระกูลลู่เป็นเด็ก?

โชคดีที่ลู่เซิ่นนั้นดูเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับการขอแต่งงานที่ไม่สามารถทำได้ จึงไม่ทันสังเกตในคำพูดที่เขาหลุดปากพูดออกมา

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท