Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1131

ตอนที่ 1131

บทที่ 1131 แทบล้มประดาตาย

เพียงแต่ว่าตอนนั้นเธอก็แค่เหล่ตามองไปอย่างนี้ทีเดียว แล้วก็เดินตามถังย่าไปอีกทางหนึ่งแล้ว และไม่ได้ให้โอกาสตัวเองในปัจจุบันได้สังเกตการณ์อย่างละเอียดเลยสักนิด

ฉินซีพบว่า ตอนนี้ตัวเองแค่สามารถใช้เรื่องราวที่สายตาของตัวเองในตอนนั้นมองเห็นและสิ่งที่ร่างกายรับรู้ เพื่อมาคาดคะเนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรอบตัว เพราะฉะนั้น สิ่งที่เห็นและสิ่งที่รับรู้นั้นมีขีดจำกัดเอามาก ๆ

พอมาถึงตอนนี้ เธอก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วว่า เธอไม่ได้กำลังเผชิญกับภาพลวงตาอะไร แต่เธอเพียงแค่กำลังพบกับความทรงจำช่วงหนึ่งที่โดนตัวเองละทิ้งไปใหม่อีกครั้ง

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์กำหนดอะไร สิ่งที่เธอสามารถมีได้มีแต่ความคิดของตัวเองเท่านั้น แต่ว่าไม่สามารถควบคุมการกระทำและคำพูดของตัวเองได้ เธอเพียงแค่สามารถรับรู้ได้ผ่านดวงตาของตัวเองในตอนนั้น และมองทุกอย่างเกิดขึ้น

อาศัยอยู่ในร่างกายที่อายุสิบขวบของตัวเอง รู้สึกถึงทุกการกระทำของตัวเองที่อายุสิบขวบ และใช้ร่างกายตัวเองที่อายุสิบขวบพูดคำพูดทุกคำ แต่ว่ากลับมีความคิดของตัวเองในปัจจุบันอยู่

ความรู้สึกแบบนี้ มีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง และก็ยังมีความอึดอัดอย่างพูดไม่ออก

ถังย่าพาพวกเธอมาถึงห้องพักที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายห้องหนึ่ง ในห้องไม่ได้กว้างมาก วางเตียงสองชั้นไว้สี่หลัง ตรงกลางมีโต๊ะที่ใหญ่หน่อยตัวหนึ่งวางอยู่ แล้วก็ไม่มีของใช้อย่างอื่นอีกเลย

“ที่นี่คือที่ที่พวกเธอจะพักอยู่ในสองอาทิตย์นี้” ถังย่าพาเด็กสาวทั้งแปดคนเข้ามาในห้อง และแนะนำอย่างผ่าน ๆ “จะแบ่งเตียงนอนกันยังไงนั้นพวกเธอดูกันเอาเองละกัน ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำนั้นล้วนอยู่ที่สุดระเบียงทางเดิน ตามฉันมา……”

ปากของเธอยังอ้า ๆ หุบ ๆ แนะนำอยู่ แต่ว่าฉินซีกลับค่อย ๆ ไม่ได้ยินเสียงเธอพูดแล้ว และใบหน้าของถังย่าก็ค่อย ๆ โดนหมอกขาวเข้ามาบดบัง

ตาของฉินซีหมองมัว แล้วภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งเข้าแถวกันอยู่ในสนามหญ้า เผชิญหน้าอยู่กับจ้านเซินแล้วฟังเขาจัดสรรหน้าที่รับผิดชอบ

หางตาของฉินซีกวาดไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ดูจากสีผิวที่ดำขึ้นมาอีกหลายเท่าของพวกเขาแล้ว แสดงว่าเวลานี้พวกเขาน่าจะอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายวันแล้ว

แล้วเธอก็เอาความสนใจกลับมาอยู่ที่ตัวจ้านเซินที่กำลังพูดอยู่อีกครั้ง

“การฝึกของวันนี้ คือการฝึกจิตใจและความสามารถในการอดทนของพวกเธอ” เสียงของจ้านเซินไม่ได้ดังมาก เหมือนกับว่ายังอยู่ในช่วงเปลี่ยนเสียง เพราะฉะนั้นระดับเสียงยังห่างไกลจากเสียงขรึมต่ำในตอนปัจจุบันมาก แต่ว่าก็ได้มีความเคร่งขรึมบ้างแล้ว “สำหรับเนื้อหาในการฝึกนั้น ก็ยังเป็นคงแบ่งเป็นชายหญิง แล้วต่างฝ่ายต่างไปหาหัวหน้าของตัวเอง หัวหน้าของพวกเธอจะแจกแจงรายละเอียดให้พวกเธอเอง”

พอพูดจบ เขาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอีกคำหนึ่งว่า “แยกย้าย!”

เด็ก ๆ ที่เข้าแถวกันเรียบร้อยอยู่กลับไม่ได้สลายตัวไปจากที่เดิม แต่เป็นเดินไปซ้ายขวาตามแถวที่เข้ากันไว้เรียบร้อยแล้ว และไปหยุดลงตรงหน้าหัวหน้าที่รออยู่ทั้งสองข้าง

ฉินซีเดินตามหลังเด็กสาวหลายคนไปทางถังย่า ในใจเหมือนว่าจะมีความประหลาดใจอยู่บ้าง

สามารถมองออกมาได้ว่า ตอนนี้พวกเด็ก ๆ ได้มีความเป็นกลุ่มก้อนและมีวินัยที่แกร่งกล้าแล้ว จากสายตาที่มองไปทางจ้านเซินของพวกเด็กผู้ชายที่เธอกวาดตาไปมองเห็นนั้น เขาน่าจะได้รับการเคารพนับถือจากเด็กผู้ชายในช่วงอายุนี้เป็นอย่างมาก

แต่ว่าปริศนาของฉินซีก็ยังแก้ไม่ออก

เพราะอะไรทำไมเธอถึงได้ลืมความทรงจำช่วงนี้ไป?

ความทรงจำช่วงนี้ตกลงจะบอกอะไรกันแน่?

เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอรู้ว่าตัวเองยังไม่มีทางได้คำตอบ ได้แต่รอดูกันต่อไปเรื่อย ๆ ถึงจะมีทางได้รับการไขข้อสงสัยได้

พวกเด็ก ๆ ยืนตัวตรงต่อหน้าถังย่า สีหน้าของถังย่ายังคงเรียบเฉย “วันนี้จุดที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจของผู้หญิงคือภูเขาทางด้านทิศตะวันออก รายละเอียดของภารกิจคือ ใช้กล้องส่องทางไกลสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หลังจากกลับมาแล้วให้ส่งรายงานการสังเกตการณ์มาด้วยหนึ่งชุด”

ในใจของฉินซีมีความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย

ทั้ง ๆ ที่จ้านเซินพูดว่าวันนี้จะฝึกความอดทนของพวกเขา แต่ว่าภารกิจนี้……ดูไปแล้วกลับไม่สามารถฝึกความอดทนของพวกเขาได้เลยนี่?

ถังย่ากวาดตามองทุกคนทีหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “เวลาที่ต้องสังเกตการณ์คือ สามชั่วโมง”

เด็กผู้หญิงข้าง ๆ ฉินซีแอบทำเสียงถอนหายใจออกมาเบา ๆ

ดีที่ในสนามตอนนี้กำลังมีคนหลาย ๆ กลุ่มกำลังแจกแจงภารกิจอยู่ ถังย่าก็เลยไม่ได้ยินเสียงของเธอ หลังจากที่เขาพูดจบแล้ว ก็กวาดตามองผู้คนอีกทีหนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นว่า “มีปัญหาอะไรไหม?”

เสียงเด็กแปดคนที่ยังมีน้ำเสียงแบบเด็ก ๆ ตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ไม่มีค่ะ!”

ถังย่าพยักหน้า “งั้นก็เดินตามฉันไปเถอะ”

และแล้วเธอก็หมุนตัว แล้วเดินไปทางทิศตะวันตก

แน่นอนว่าพวกเด็กผู้หญิงก็เดินตามกันไปอย่างเป็นแถว เด็กผู้หญิงข้าง ๆ ฉินซีเบ้ปากให้เธอเล็กน้อย แล้วก็ใช้เสียงเบาที่สามารถได้ยินกันแค่สองคนพร่ำบ่นมาประโยคหนึ่ง “ภูเขาทางด้านทิศตะวันตกนั้นก็เป็นแค่ที่ดินเปล่า ๆ ฝืนหนึ่ง จะมีอะไรให้น่าสังเกตการณ์ได้ถึงสามชั่วโมงกันล่ะ?”

ฉินซีรู้สึกถึงว่าตัวเองยักไหล่อย่างอะไรก็ได้ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เดินตามต่อไป

เดินไปสิบกว่านาที ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่ที่ว่านี้ “ภูเขาด้านทิศตะวันตก”

ค่ายฝึกอบรมทั้งค่ายถูกสร้างไว้ในหุบเขา ตอนแรกฉินซีคิดว่าพวกเขาจะขึ้นไปบนเขาทั้งสองด้านที่สูงกว่า แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเดินไปตรงที่ที่ยังไม่ถึงไหล่เขาด้วยซ้ำก็หยุดลงแล้ว

ตรงหน้าเป็นพื้นปูนซีเมนต์ราบเรียบว่างเปล่าฝืนหนึ่ง ด้านในของพื้นที่ว่างเปล่ายังมีต้นไม้ที่ปลูกลงดินเป็นระเบียบอยู่แถวหนึ่ง แล้วภายใต้แสงแดดจ้าจึงทำให้เกิดร่มเงาออกมาผืนใหญ่

ถังย่าพาพวกเขามาถึงที่โล่งก็หยุดลง แล้วแจกกล้องส่องทางไกลใส่มือพวกเขาคนละหนึ่งอัน เสร็จแล้วก็ถอยไปอยู่ใต้เงาร่มไม้ แล้วพูดขึ้นว่า “เริ่มจับเวลา”

แล้วฉินซีที่อายุสิบขวบก็ถือกล้องส่องทางไกลขึ้นมา แล้วเดินไปรอบ ๆ ผืนดินว่างเปล่า และเริ่มสำรวจขึ้นมารอบหนึ่ง

ที่ดินของที่นี่ไม่ได้สูงนัก สิ่งที่บดบังอยู่ตรงหน้าก็มีไม่น้อย เพราะฉะนั้นสิ่งของที่สามารถมองได้ชัดก็มีไม่เยอะ

ฉินซีพูดอยู่ในใจ คาดว่านี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่อยู่ในที่ทางการทหารแบบนี้ แล้วยังให้วางใจแจกกล้องส่องทางไกลให้พวกเขามาสังเกตการณ์รอบทั้งสี่ทิศอีก

จากตำแหน่งที่ฉินซียืนแล้วมองไปรอบทิศ ด้านซ้ายและด้านขวาต่างก็เป็นผืนป่าเขียวขจี แทบจะมองไม่เห็นอะไรที่มีประโยชน์ ด้านหน้าสามารถมองเห็นฐานที่พวกเขาอาศัยอยู่ได้บางส่วน ถ้ามองอย่างละเอียดดี ๆ แล้ว จะสามารถมองเห็นที่ฝืนหญ้าบางฝืนในสนาม ก็มีกลุ่มคนเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งกำลังทำภารกิจอยู่ มีเด็กผู้ชายหลายคนกำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองสำรวจไปรอบ ๆ อยู่

ฉินซีวางกล้องส่องทางไกลลง กำลังคิดว่าจะใช้ตาเปล่ามองดูรอบ ๆ แล้วถึงพบว่าพวกเด็กผู้หญิงที่สังเกตการณ์อยู่รอบ ๆ ตัวเองเมื่อกี้นั้นได้หายไปกว่าครึ่งแล้ว เหลืออยู่เพียงสองสามคนที่ยังคงใช้กล้องส่องทางไกลคอยมองสำรวจรอบ ๆ อยู่

เด็กผู้หญิงที่พร่ำบ่นกับฉินซีเมื่อกี้เหล่มองไปทางถังย่าทีหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้สังเกตทางนี้อยู่ เธอก็ชิดเข้ามาข้างกายฉินซี แล้วถามเสียงต่ำขึ้นว่า “ทุกคนต่างก็ไปพักที่ใต้ร่มไม้แล้ว เธอจะไปไหม?”

ฉินซีเหลียวกลับไปดูเด็กผู้หญิงหลายคนที่หลบอยู่ใต้ร่มไม้ แล้วอยู่ ๆ ก็เข้าใจเหตุผลที่ผู้ชายและผู้หญิงต้องแยกกัน

พวกเด็กผู้ชายที่อยู่สนามจะต้องอยู่บนฝืนหญ้า น่าจะต้องมีแมลงมาคอยรบกวนอยู่ไม่น้อย และรอบข้างก็โล่งแจ้งไม่มีอะไรมาบดบัง จึงไม่มีทางที่จะมีที่ร่ม ๆ อะไรมาให้ใช้หลบแดด

ด้านหนึ่งคือที่ที่เกือบจะไม่มีอะไรให้สำรวจเลยแต่กลับต้องอยู่สังเกตการณ์ถึงสามชั่วโมงอย่างเบื่อหน่าย ถือเป็นความอดทนแบบหนึ่ง แต่ว่าแดดแรง ๆ สามชั่วโมงและการรบกวนจากแมลง ก็ยิ่งเป็นความอดทนอีกแบบหนึ่ง

มันสามารถเข้าถึงเป้าหมายในการฝึกอบรมอย่าที่ปากของจ้านเซินพูดไว้ได้จริง ๆ ถึงว่าสีผิวของพวกเด็กผู้ชายถึงได้เข้มขึ้นมาหลายเท่า

แต่ว่านี่กลับเป็นแค่การต่อกรกับเด็กผู้ชายเท่านั้น

ส่วนพวกเธอที่เป็นลูกคุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่มีทางที่จะต้องมาตากแดดภายใต้แดดแรงจัด แล้วถ้าหากว่าโดนแมลงกัดต่อยฟรี ๆ ขึ้นมา ก็อาจจะต้องโวยวายกันขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง

และก็ต้องลำบากพวกถังย่า ที่ต้องมาหาที่แบบนี้ออกมาได้อย่างแทบล้มประดาตาย

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท