บทที่ 1128 ย้อนคิดทุกเรื่องราว
ฉินซีสังเกตรอบๆ อย่างระแวดระวัง
ตัวเองอยู่ในห้องขนาดไม่ค่อยใหญ่ ห้องสี่เหลี่ยม นอกจากห้องน้ำเล็กๆ ทางซ้ายมือแล้ว มุมอื่นมองปราดเดียวก็เห็นทั้งหมด
ในห้องนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนอื่น
ฉินซีลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง เดินไปที่ประตู แน่ใจว่าประตูล็อกดีแล้ว ค่อยเดินไปมา
ผ้าม่านในห้องไม่ได้ถูกดึงปิด แสงอาทิตย์จึงสาดส่องเข้ามา ทำให้ทั้งห้องสว่าง
การตกแต่งห้องเรียบง่ายมากจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่เคยผ่านการตกแต่งอะไร ผนังรอบด้านและฝ้าแค่ทาสีขาว ไม่มีการตกแต่งอะไรเช่นกัน
ผนังฝั่งตรงข้ามประตูวางโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้ม ข้างโซฟามีชั้นหนังสือเล็กๆ ถัดเข้ามาคือเตียงที่ฉินซีนอนอยู่เมื่อครู่ ผ้าปูเตียงสีขาวบนเตียง กล่องของเธอวางที่ปลายเตียง
นอกจากนี้ ในห้องก็ไม่มีข้าวของอะไรมากมาย ในห้องมีกลิ่นฝุ่นที่แสดงว่าไม่มีคนอยู่มานาน แม้ว่าจะตั้งใจกวาดถู แต่ยังคงปิดซ่อนความรู้สึกไร้ชีวิตชีวาไม่ได้
ฉินซีหามือถือของตัวเองไม่เจอ และไม่มีเครื่องมือสื่อสารใดๆ กับโลกภายนอก บนผนังแม้แต่นาฬิกาสักเรือนก็ไม่มี เธอได้แต่ตัดสินจากท้องฟ้าด้านนอก เวลาตอนนี้คงจะเที่ยงวันแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเที่ยงของวันไหนกันแน่
นับแต่ตัวเองถูกบุกประชิดตัวที่รีสอร์ทชิงหยวน ผ่านไปนานแค่ไหนกันแน่นะ
ที่นี่ คือที่ไหนกันแน่นะ
เธอขมวดคิ้ว รู้สึกกระสับกระส่าย
ภายในห้องไม่ใหญ่นัก เธอเดินวนรอบหนึ่ง จนแน่ใจว่าในห้องไม่มีใคร ก็มายืนตรงหน้าต่างในที่สุด
หน้าต่างเปิดกว้าง ไม่มีมาตรการป้องกันอะไร แต่เมื่อฉินซีเดินออกไป ถึงได้รู้เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
มองจากความสูงของหน้าต่างลงไป คะเนห้องที่เธออยู่อย่างน้อยคือชั้นยี่สิบ
นอกจากเธอคิดไม่ตกจนกระโดดลงไป ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครคิดกระโดดลงไปจากที่นี่
แต่ฉินซีไม่ได้เดินออกจากตรงนั้นทันที
เธอยืนที่หน้าต่าง สังเกตสิ่งแวดล้อมโดยรอบอย่างละเอียด
ห้องสูงเกินไป มองรายละเอียดบนพื้นล่างได้ไม่ชัดเจน แต่เป็นตำแหน่งที่สังเกตรอบๆ ได้ดีมาก
สถานที่เธออยู่ตอนนี้ดูเหมือนจะโดดเดี่ยว นอกจากตึกสูงหลังนี้ แทบไม่เห็นอาคารตึกสูงอื่นๆ
…จริงสิ แม้แต่บ้านเรือนคนทั่วไปก็แทบไม่มี
สิ่งแวดล้อมโดยรอบสวยงามมาก ฉินซีมองออกไปไกลๆ น่าจะเป็นทะเล ใกล้อีกหน่อยปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวขจี
เมื่อเห็นทะเลนั่น ทันใดนั้นฉินซีมีลางสังหรณ์ไม่ดี ตอนนี้เธอคงจะไม่ได้อยู่บนเกาะหรอกนะ
เมื่อเกิดความสงสัยเช่นนี้ ฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าอากาศมีกลิ่นชื้นเค็มที่เป็นกลิ่นเฉพาะจากริมทะเล
ฉินซีสังเกตอย่างละเอียดอีกครู่หนึ่ง ในหัวก็เกิดภาพที่น่าตลกขึ้น
เกาะว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่ตรงกลางเกาะกลับมีตึกสูงผุดขึ้น
มองดูแล้วอย่างกับฉากในภาพยนตร์ไซไฟ แต่ฉินซีรู้สึกจากจิตใต้สำนึกว่า นี่คือความจริง
แต่การสังเกตเช่นนี้ ก็แค่เข้าใจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ฉินซีไม่รู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวสักนิด จึงคิดไม่ออกว่าจะหนีไปจากที่นี่ได้อย่างไร
มองดูอยู่นาน ก็ไม่ได้ผลอะไร ฉินซีรู้สึกอึดอัดนั่งลงที่โซฟา ซุกหน้ากับฝ่ามือ สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง
นิ่งเข้าไว้ ฉินซีบอกกับตัวเอง เวลานี้ถ้าความคิดสับสน ก็จะตกอยู่ในกำมือคนอื่น
เธอต้องสงบสติอารมณ์ ถึงจะคิดหาวิธีหนีไปจากที่นี่ได้
สิ่งสำคัญอันดับแรก ก็คือเรียบเรียงความทรงจำที่สับสนในหัวสมองของตัวเองก่อน
ฉินซีแค่ย้อนคิดไม่กี่วินาที ก็รู้สึกปวดขมับจี๊ดๆ เหมือนเข็มแทง
แต่เธอขมวดคิ้วอดกลั้นความปวดนั้น
ย้อนความทรงจำเช่นนี้ คล้ายกับใช้มุมมองพระเจ้าสังเกต
วิญญาณของฉินซีลอยออกมา ผ่านห้องนอนที่มืดมิด มองตัวเองจากอีกมุมหนึ่ง
จ้านเซินใช้อะไรสักอย่างอุดจมูกของตัวเอง จากนั้นตัวเองก็เหมือนสูญเสียการควบคุม ตัวลอยๆ ไม่ว่าเขาพูดอะไรกับตัวเอง ก็รู้สึกว่าควรจะเชื่อฟัง
จ้านเซินกระซิบอะไรสักอย่างกับตัวเอง ทำสัญลักษณ์มือตรงหน้า แล้วตัวเองก็พยักหน้า แสดงว่าเข้าใจ
จ้านเซินถอยหลังไปหลายก้าว หายตัวไปทางระเบียง
ส่วนเธอหยิบกระเป๋าเดินทาง เดินลงไปพูดกับพ่อบ้าน ตัวเองจะไปบ้านอานหยัน…
เธอเพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากทางประตู
ฉินซีหันไปมอง
——จ้านเซินยืนที่หน้าประตู
ฉินซีไม่แปลกใจสักนิดที่เขาเปิดประตูที่ตัวเองเพิ่งลงกลอนได้อย่างง่ายดาย และไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อยที่เขาคือคนที่ปรากฏตัวตรงนั้น
หรือกล่าวได้ว่า ใบหน้าของเธอไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด สายตาก็ไม่สนใจจ้านเซินราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ
จ้านเซินไม่ใส่ใจท่าทีเย็นชาของเธอ เดินยิ้มเข้ามาทักทาย “คุณตื่นเร็วกว่าที่ผมคิดมาก นึกไม่ถึง ไม่ได้ฝึกนานขนาดนี้ สภาพร่างกายของคุณยังดีขนาดนี้”
ฉินซีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่ได้ยินที่จ้านเซินพูด
แต่ในใจของเธอเกิดความสงสัยขึ้น
ฝึกหรือ
ฝึกอะไร
ทำไมตัวเองต้องฝึก
แม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงออกอะไร แต่ดูเหมือน จ้านเซินมองเห็นความคิดของเธอทะลุปรุโปร่ง สีหน้ายังเปื้อนยิ้ม “สงสัยมากใช่ไหมว่าที่นี่ที่ไหน ทำไมผมต้องไปหาคุณ ทำไมผมห่วงใยคุณขนาดนี้”
ฉินซีรู้สึกว่าการที่เขาเรียกการกระทำของตัวเอง “ห่วงใย” เป็นเรื่องขำไม่ออก
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ คำถามที่เขาพูดถึง เป็นเรื่องที่เธอสงสัยมากจริงๆ
ตอนที่เธอสนทนากับจ้านเซินก็มองออกจ้านเซินกับตัวเอง ไม่ใช่คนเพิ่งรู้จักกันแน่นอน
เขารู้ว่าเธอสูญเสียความทรงจำ รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับอานหยัน และยังรู้ด้วยว่าบางครั้งเธอไปอยู่กับอานหยัน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แต่งข้ออ้างเช่นนั้นหลอกพ่อบ้าน นอกเสียจากเขาจะรู้ว่า ข้ออ้างนี้ต้องใช้ได้แน่
เมื่อคิดว่าจะต้องมีคนคอยแอบตามดูตัวเองมานานขนาดนี้ ฉินซีรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
“เอาล่ะ” จ้านเซินนั่งลงข้างเธอ ยืดตัวตรง “ผมรับปากคุณไว้ มาที่นี่กับผมแล้ว จะบอกคุณทุกอย่าง ผมไม่ชอบผิดคำพูด”
สายตาของฉินซีขยับนิดหนึ่ง แต่ยังคงไม่ได้มองเขา
อะไรเรียกว่าเธอ “มาที่นี่กับเขา” เธอถูกลักพาตัวมาที่นี่ต่างหาก
เธอนึกถึงช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่กลิ่นหอมนั้นทะลุเข้าสมองของเธอได้ไม่ทันไร มีอีกคนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าประตู
คนผู้นั้นสวมเสื้อกาวน์สีขาว รูปร่างสูงใหญ่ ตัดผมสั้น สวมแว่นตา เพราะแสงสะท้อนของแว่นตา ฉินซีจึงเห็นหน้าเขาไม่ชัด
“แต่ผมไม่ใช่คนมีความอดทนมากนัก ผมบอกคุณแล้ว ดีกว่าให้ผมบอกคุณทุกเรื่อง ทำให้คุณจำได้ ไม่อย่างนั้น…ให้คุณนึกได้เอง” จ้านเซินพูดเรื่อยๆ
ฉินซีมองคนสวมชุดกาวน์ที่เดินเข้ามาใกล้ ดวงตากระตุกทันที
จ้านเซินอยากจะให้เธอฟื้นความจำทันที!
จิตแพทย์ของเธอใช้วิธีที่อ่อนโยนขนาดนั้นรักษา เธอยังรู้สึกทรมาน
ถ้าหากให้เธอจำทุกเรื่องราวในทันที