Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1133

ตอนที่ 1133

บทที่ 1133 ไม่มีทางที่จะรู้ได้

จ้านเซินดึงฉินซีทีหนึ่ง “ไปเถอะ”

ฉินซีมองดูข้างในห้องที่ดูมืดสลัวแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะกลัว

แต่ว่าพอโดนจ้านเซินดึงแบบนี้แล้ว เธอก็ได้แต่ยกเท้าเดินเข้าไปข้างใน

เดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ประตูเหล็กที่อยู่ข้างหลังก็ค่อย ๆ ปิดลง ฉินซีเพิ่งจะพบว่าข้างในกลับไม่ได้มืดอย่างที่เธอดูไปแล้ว ฉะนั้นความกลัวจึงได้ลดน้อยลงไป และก็มีความสงสัยขึ้นมาจึงเริ่มมองซ้ายมองขวาไปเรื่อย

พวกเขากำลังเดินผ่านระเบียงทางยาวเส้นหนึ่ง ไฟบนเพดานเปิดไว้สว่างมาก แต่ว่าน่าจะเป็นเพราะว่าตั้งใจปรับสีมาเป็นพิเศษแล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ได้แสบตามาก

ทั้งสองข้างของระเบียงทางเดินนั้นล้วนเป็นประตูที่ปิดไว้แน่นหนา มีบางประตูจะมีหน้าต่าง ๆ เล็ก ๆ เปิดเอาไว้ แต่ว่าความสูงของฉินซีไม่เพียงพอ จึงมองไม่ชัดว่าข้างในคืออะไร จึงสามารถเดาได้แค่ว่า เหมือนกับว่าน่าจะเป็นห้องทดลอง

“เดินระวังหน่อย ดูทางด้วย” จ้านเซินพูดเตือนขึ้นประโยคหนึ่ง

ฉินซีรีบเก็บสายตากลับมา แล้วตอบไปคำหนึ่ง และไม่มองไปเรื่อยอีก

ฝีเท้าของหญิงวัยกลางคนคนนั้นเร็วกว่าของพวกเขาสองคนอีก ในเวลานี้เขาได้เดินเข้าไปถึงในลิฟต์แล้ว และกดประตูเปิดค้างไว้ เพื่อรอพวกเขาสองคนเดินเข้ามาอย่างไม่ค่อยชอบใจนิด ๆ แล้วถึงจะกดชั้นยี่สิบหกลงไป

จ้านเซินเอียงหัวน้อย ๆ เห็นได้ชัดว่าเห็นเลขที่ชั้นที่เธอกดแล้ว จึงเปิดปากถามยิ้ม ๆ ขึ้นว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นเด็กที่มีหน่วยก้านดีอะไร?”

ผู้หญิงคนนั้นเม้มปากอย่างเบื่อหน่าย “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ?”

แต่ว่าฉินซีกลับฟังไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด

เธอค่อย ๆ เรียบเรียงสิ่งที่ผิดปกติที่ตัวเองได้รับรู้มาจนถึงตอนนี้ทีละข้อทีละข้ออยู่ในใจ

จ้านเซินพูดกับผู้หญิงคนนี้ว่า “ค้นพบเด็กที่มีหน่วยก้านดี” มันหมายถึงเป้าหมายของการที่พวกเขาสร้างค่ายนี้ขึ้นมาใช่ไหม กลับไม่ใช่อย่างที่ฉินซึ่งเทียนพูดไว้ ว่าเป็นโอกาสให้พวกลูกหลานคนรวยได้พบปะสังสรรค์กัน แต่ว่าเป็น……การคัดเลือกคนบางส่วนจากในจำนวนคนของพวกเขา

สำหรับจะเลือกคนแบบไหน และทำไมถึงได้เลือกตัวเองนั้น ฉินซีเองก็ยังไม่มีทางจะรู้ได้

ที่ที่พวกเขาอยู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นที่ที่จ้านเซินและถังย่า เรียกว่า“หอคอยC”นั่นเอง ฉินซีนึกย้อนกลับไปถึงรายละเอียดที่ตัวเองเพิ่งเจอมาที่ระเบียงทางเดินชั้นหนึ่งเมื่อกี้นี้ ก็น่าจะเดาได้ว่า ที่หอคอยCนี้น่าจะเป็นศูนย์รวมการทดลองของฐานแห่งนี้ แต่ว่าเพราะอะไรทำไมตอนที่ถังย่าได้ยินจ้านเซินบอกว่าจะพาตัวเองมาที่นี่นั้น ถึงต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ?

แล้วพูดถึงจ้านเซิน

ผู้หญิงที่เห็นตรงหน้านี้ดูจากอายุอานามแล้วก็น่าจะเป็นแม่ของจ้านเซินได้แล้ว แต่ว่าจากน้ำเสียงและคำพูดของจ้านเซินแล้วกลับไม่รู้สึกถึงความเคารพใด ๆ ที่มีต่อเธอเลย อย่างกับว่าพวกเขาสองคนเป็นคนระดับเดียวกันยังไงอย่างงั้น แล้วก็ทบทวนดูจากความทรงจำช่วงก่อนหน้านี้แล้ว จ้านเซินเหมือนกับว่า……จะอยู่ในตำแหน่งผู้ออกคำสั่งมาตลอด

เขาดูแล้วก็อายุน่าจะแค่สิบกว่าปี แล้วทำไมถึงได้มีตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ได้ล่ะ?

ปริศนาเยอะแยะมากมาย อย่างกับก้อนขนแกะที่พันกันยุ่งเหยิงไว้ด้วยกัน แล้วเอามายัดใส่หัวสมองของฉินซีไม่หยุด ทำให้ในใจเธอเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับหาคำตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง

แต่ว่าไม่ว่าตอนนี้ฉินซีจะมีคำถามมากมายแค่ไหน พอผ่านไปสักครู่แล้วลิฟต์ก็ได้มาถึงชั้นยี่สิบหกอยู่ดี ฉินซีกับจ้านเซินและผู้หญิงคนนั้นเดินออกมา แล้วเลี้ยวอีกหลายครั้ง จึงมาหยุดลงตรงหน้าประตูบานหนึ่ง

ทั้ง ๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าสุด แต่ตอนนี้กลับหันหน้ามาทางจ้านเซินและพูดว่า “มัวยืนรออะไรอีกล่ะ?”

จ้านเซินยิ้มขึ้น “คุณยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการผ่านเข้าไปอีกเหรอ?”

ผู้หญิงคนนั้นมองเขาเย็น ๆ ทีหนึ่ง “คุณไม่ได้เข้าใจมากกว่าฉันอยู่แล้วเหรอ?”

ทั้งสองคนโต้ตอบไปมา ในใจของฉินซีก็แน่ใจขึ้นมาแล้วว่า ตำแหน่งของผู้หญิงคนนี้เทียบกับจ้านเซินไม่ได้เลย

จ้านเซินไม่พูดอะไรมาก เดินหน้าเข้าไปสแกนลายนิ้วมือและม่านตา จากนั้นประตูห้องทดลองก็ค่อย ๆ เปิดออก

พอเห็นการตกแต่งของข้างในชัดเจนแล้ว ในที่สุดฉินซีก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง

ไม่ได้มีการตกแต่งแบบแปลก ๆ อย่างที่เธอคิดไว้ มีแค่โต๊ะง่าย ๆ ตัวหนึ่งวางไว้ และข้างบนมีกล่องเล็ก ๆ วางไว้กล่องหนึ่ง

รอจนคนทั้งสามคนเข้ามาหมดแล้ว ประตูก็ปิดตามหลังลงอย่างช้า ๆ

จ้านเซินพาฉินซีเดินมาถึงข้างโต๊ะ แล้วให้เธอนั่งลง จากนั้นก็เปิดกล่องออกมา

……ข้างในก็เป็นกล้องส่องทางไกลอันหนึ่ง และหน้าจอแสดงผลอีกอันหนึ่ง

เพียงแต่ว่ามันไม่เหมือนกับกล้องส่องทางไกลธรรมดาที่ถังย่าแจกให้พวกเขาเมื่อกี้ กล้องที่อยู่ในกล่องนี้ดูน่าจะหนักมาก และดูแล้วมันดูคุณภาพดีกว่าแบบที่คุณปู่ฉินใช้ไปส่องทิวทัศน์ซะอีก

ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าไปเอาสมุดจดบันทึกจากไหนมาเล่มหนึ่ง ข้างหน้าก็มีคอมพิวเตอร์วางไว้เครื่องหนึ่ง แล้วนั่งลงที่มุมห้องคนเดียว ไม่ได้พูดอะไรอีก กำลังก้มหน้าเขียนอะไรอยู่บนสมุดนั้น

จ้านเซินไม่ได้สนใจเธอ เขาหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาแล้วยื่นให้ฉินซี และเอาหน้าจอแสดงผลมาวางอยู่หน้าตัวเอง แล้วก็ออกคำสั่งขึ้นว่า “เอาอันนี้ไปที่หน้าต่าง แล้วบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เธอเห็นออกมา”

ฉินซีมึน ๆ งง ๆ แต่ก็ไม่ถามอะไรเยอะ หยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแล้วก็เดินไปเลย

“อืม ด้านซ้ายเป็นตึกที่มีความสูงห้าชั้น……” ฉินซีค่อย ๆ พูดทวนสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมาทีละอย่างทีละอย่าง

และยืมใช้สายตาของตัวเองที่สิบขวบ ฉินซีก็สามารถเห็นภาพทั้งหมดของฐานแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน

ฐานแห่งนี้ใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก ค่ายฝึกอบรมที่ว่าของพวกเธอนั้นปกติก็มีพื้นที่ทำกิจกรรมที่ถือได้ว่าไม่เล็กแล้ว แต่ว่ากลับยังไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบของฐานแห่งนี้เลย

นอกจากหอคอยCที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้แล้ว ยังมีตึกใหญ่ระดับสูงใหญ่อีกหลายตึก ไม่รู้ว่ามีไว้ใช้ทำอะไร

พอฉินซีดูจบไปรอบหนึ่งแล้ว จ้านเซินก็พูดขึ้นอีกว่า “เธอไปดูใหม่อีกครั้ง แล้วครั้งนี้เธอรู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างก็พูดออกมาอีกรอบ”

ฉินซีไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ว่าก็ยังคงทำตามอยู่

และแล้วตลอดทั้งบ่าย เธอก็ต้องผ่านพ้นไปด้วยการสังเกตแล้วก็รายงาน สังเกตแล้วก็รายงานวนซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้

จนกระทั่งถึงท้องฟ้ามืดสนิทลงมาจนมองอะไรไม่ชัดเจนแล้ว จ้านเซินถึงเปิดปากพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ กลับมาเถอะ”

ในเวลานี้ก็ท้องของฉินซีก็ร้องจ๊อก ๆ แล้ว เธอจึงรีบกระโดดลงมาจากเก้าอี้อย่างรีบร้อน แล้วเอากล้องส่องทางไกลคืนให้จ้านเซิน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ท่านผู้บัญชาการ พวกเราจะไปกินข้าวได้ตอนไหนคะ?”

จ้านเซินอึ้งไปเล็กน้อย เหมือนกับว่าเพิ่งจะนึกได้ว่าคนจะต้องกินข้าวยังไงอย่างงั้น แล้วก็หันมายิ้มให้ฉินซีเล็กน้อย “วันนี้เธอไม่ต้องไปเบียดที่โรงอาหารแล้ว เดี๋ยวฉันจะให้คนเอาอาหารมาส่งให้ที่นี่ เธอก็กินข้าวที่นี่แล้วกัน”

ฉินซีรู้ว่าเวลานี้ถ้าไปกินข้าวที่โรงอาหารก็ไม่มีอะไรเหลือให้กินแล้ว ก็เลยพยักหน้าตกลง

จ้านเซินพูดต่อว่า “งั้นเธอรออยู่ที่นี่แป๊บหนึ่งนะ นั่งรอดี ๆ อย่าไปแตะต้องอะไรทั้งนั้นนะ”

พอเห็นฉินซีพยักหน้าตอบรับแล้ว เขาถึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินไปทางมุมห้อง แล้วเริ่มพูดคุยสื่อสารกับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา

“เป็นยังไงบ้าง?” เสียงของเขาไม่ถือว่าดังมาก แต่ว่าฉินซีก็ยังสามารถได้ยินชัดเจนดี “เป็นเด็กที่มีหน่วยก้านดีเลยใช่ไหม?”

ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้วขึ้นมาน้อย ๆ แล้วพยักหน้า “ใช่ มีพรสวรรค์ แต่ว่าก็ยังต้องการการฝึกฝนอีกสักหน่อย”

จ้านเซินยิ้มขึ้น “อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

“แต่ว่าก็ต้องรีบ ๆ หน่อยนะ” ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่ฉินซีทีหนึ่ง “อายุสิบขวบ ถือว่าไม่น้อยแล้ว”

จ้านเซินเหมือนว่าไม่ได้สนใจอะไร แล้วยักไหล่ขึ้น “แค่สิบขวบเอง ยังทันอยู่ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”

พอฉินซีฟังมาถึงตรงนี้ อยู่ ๆ ก็ปวดหัวขึ้นมา เหมือนกับว่ามีคนมาผ่าหัวของเธอออกแบบสด ๆ แล้วยัดของมากมายใส่เข้าไปข้างใน

และของพวกนี้ก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นเศษเสี้ยวความทรงจำกองใหญ่

อยู่ในความเจ็บปวดสุดขีดนั้น เศษเสี้ยวความทรงจำพวกนั้นราวกับหนังที่ถูกฉายขึ้นมา กะพริบขึ้นในหัวสมองของเธอราวกับไฟกะพริบสี ๆ

มีภาพเหตุการณ์ที่เธอทำแบบเดียวกันอยู่ในห้องหลาย ๆ ที่ที่เหมือนกับในห้องนี้ แต่ว่าตามความเปลี่ยนแปลงของห้องทดลอง ตรงที่ขมับของเธอก็ปรากฏว่ามีแผ่นติดอยู่สองอัน และจากนั้นไม่นาน ที่หัวของเธอก็มีหลายตำแหน่งที่มีติดแผ่นติดไว้ด้วย

นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผ่นติดวัดคลื่นสมองจากคอมพิวเตอร์เท่านั้น ฉินซีสามารถรู้สึกได้ว่า ที่แผ่นติดเหล่านั้นยังมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอีกด้วย

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท