Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1135

ตอนที่ 1135

บทที่ 1135 ทำให้คนอุ่นใจ

ผู้หญิงคนนั้นเริ่มเปิดปากพูดโต้แย้งขึ้น ฟางฟางไม่ได้อยากจะเข้าร่วมกับพวกเขา จึงเพียงแค่ถอยหลังมาหนึ่งก้าว และบังอยู่ตรงหน้าฉินซี

ในขณะที่……สายตาของฉินซีสิบขวบโดนบังไปอย่างมิดชิดแล้ว แต่ว่าก็ดีที่ฉินซีคนปัจจุบันไม่ได้กะว่าจะสนใจอะไรพวกเขาแล้ว

จากข้อมูลที่ทราบมาทั้งหมดตอนนี้มาดูแล้ว ค่ายฝึกอบรมนี้เพียงแค่ดูดีมีป้าย“ให้ลูกหลานคนรวยมาสร้างความสัมพันธ์กัน”แขวนเอาไว้บังหน้า แต่แท้จริงแล้ว กลับอยากจะคัดเลือกคนจากในกลุ่มนี้ มาเป็นเป้าหมายเพื่อเข้าสู่กระบวนการฝึกฝน จนสุดท้ายหลังจากที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว ถึงจะได้เข้าสู่ “องค์กร”อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูดไว้

ผู้หญิงที่เคร่งขรึมคนนั้น รวมทั้งฟางฟางกับถังย่า และจ้านเซิน ก็น่าจะเป็นสมาชิกขององค์กรนั้น และที่สำคัญจ้านเซินก็น่าจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในจำนวนคนพวกนี้ แล้วฟางฟางน่าจะได้ทำความผิดอะไรลงไป ถึงได้โดนลดตำแหน่งลงไป

สำหรับตัวเองทำไมถึงได้มาอยู่ตรงนี้นั้น คำตอบส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่การแสดงออกในตอนที่ฝึกความอดทนของตัวเอง ทำให้จ้านเซินพบความพิเศษของตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงพาตัวเองมาทำการทดสอบที่ หอคอยC และเธอก็ได้มาตรฐานตามเกณฑ์การคัดเลือกของพวกเขา พวกเขาจึงกะว่าจะฝึกฝึกฝนเองต่อไป

แต่ว่าการเข้าค่ายฝึกอบรมก็แค่มีเวลาเพียงแค่สองอาทิตย์ ทำให้เวลาในการฝึกฝนขั้นแรกของตัวเองนั้นค่อนข้างน้อย เพราะฉะนั้นจ้านเซินและผู้หญิงคนนั้นจึงตัดสินใจใช้พลังงานไฟฟ้ากระตุ้นตัวเอง

แต่ว่า ในเมื่อจ้านเซินจำเป็นจะต้องรับผิดชอบเรื่องของการเข้าค่ายฝึกอบรมด้วย จึงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนกับฉินซีทุกวันในห้องทดลองกับผู้หญิงคนนั้นได้ แต่ก็ยังกังวลว่าผู้หญิงที่ดูเหมือนกับนักทดสอบบ้าคลั่งคนนี้จะรีบร้อนทำอะไรเกินไป จึงให้ฟางฟางมาอยู่เฝ้าสังเกตการณ์ แล้วถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ให้เธอรีบเข้ามาดู

เมื่อกี้ที่ฉินซีหมดสติไปชั่วครู่ไม่ได้เป็นเพราะว่าการสะกดจิตของตัวเองในปัจจุบัน แล้วโดนยัดความทรงจำเข้ามามากเกินไป แต่เป็นเพราะฉินซีที่สิบขวบโดนกระแสไฟฟ้าจากแผ่นติดมากเกินไปต่างหาก

เป็นฟางฟางที่ช่วยตัวเองไว้

คิดว่าฉินซีที่สิบขวบก็น่าจะรู้ว่าฟางฟางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงเงยหน้ามองแผ่นหลังของฟางฟางอยู่ตลอด

แต่ว่าเธอจ้องได้ไม่นาน ฟางฟางก็หันหน้ามาแล้ว

สายตาของเขากับสายตาของฉินซีที่สิบขวบมาเจอกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏออกมา แล้วเขาก็นั่งลงมามองหน้าฉินซี “ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เดี๋ยวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

ฉินซีมองแววตาของเขาเอาไว้ แล้วก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ทำให้คนอุ่นใจขึ้นมา

แต่ว่า พอผ่านไปไม่กี่วินาที การโต้เถียงของจ้านเซินและผู้หญิงคนนั้นก็สิ้นสุดลง พอเห็นท่าทีที่สงบนิ่งของจ้านเซินและผู้หญิงคนนั้นที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแล้ว ผลสรุปก็น่าจะเดาได้ไม่ยากเลย

“ฟางฟาง คุณคุยกับเขาสักหน่อยเถอะ” จ้านเซินพูดขึ้นเสียงเรียบ “คุณรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร”

ฉินซีรู้สึกว่าสายตาที่ฟางฟางมองมาที่ตัวเองนั้นมีความลังเลอยู่บ้าง แต่ว่าสุดท้ายก็พยักหน้าลง

ผู้หญิงคนนั้นรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็เก็บข้าวของอย่างเร่งรีบ และก็เหวี่ยงประตูออกไปเลย

ฉินซีตกใจจนสะดุ้ง แต่ว่าจ้านเซินและฟางฟางกลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใด ๆ เลยยังไงอย่างงั้น

ฟางฟางยังคงอยู่ในท่าทางที่นั่งอยู่ตรงหน้าฉินซีอยู่ เขามองหน้าฉินซีตรง ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียอ่อนโยนว่า “หนูยินดีจะคุยกับฉันสักหน่อยไหม?”

ฉินซีลังเลไปไม่กี่วินาที แล้วก็พยักหน้าให้

ในเมื่อฟางฟางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอไว้ และถึงแม้จะเป็นฉินซีในตอนปัจจุบัน ก็คงจะปฏิเสธคำขอแบบนี้ได้ยาก

แต่ว่าเวลาของเรื่องทั้งหมดมันก็ช่างบังเอิญเกินไป จึงทำให้ฉินซีอดไม่ได้ที่จะมีความสงสัยขึ้นมาว่า“การช่วยชีวิต”ในครั้งนี้ จะเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นแค่การแสดงเท่านั้น เพื่อให้เธอสามารถยอมไปกับฟางฟางได้อย่างเต็มใจ

และแน่นอนว่า นี่ก็เป็นเพียงแค่การสงสัยเท่านั้น ในเมื่อเมื่อกี้ที่ฟางฟางขัดแย้งกับผู้หญิงคนนั้นช่างสมจริงเหลือเกิน ฉินซีไม่สงสัยเลยสักนิดว่า ถ้าหากจ้านเซินไม่ได้เข้ามาได้ทันเวลาพอดี พวกเธอสองคนคงจะต้องสู้กันขึ้นมาแน่ ๆ

ฝีมือการแสดงที่ดีขนาดนี้ ไม่ได้ไปสอบเข้าโรงเรียนการแสดงแต่มาที่นี่ คงจะทำให้พรสวรรค์เสียเปล่าแล้วจริง ๆ

แต่ไม่ว่าฉินซีคนปัจจุบันจะคิดยังไง ร่างของเธอก็ได้เดินไปพร้อมกับฟางฟางแล้ว และได้เดินมาถึงข้างในห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ห้องหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องทดลอง แต่เป็นห้องที่เหมือนกับห้องพักห้องหนึ่ง ข้างในไม่ได้มีอุปกรณ์เตรียมการทดลองที่ซับซ้อนอะไรมากมาย มีเพียงโซฟาไม่กี่ตัวที่ดูแล้วเหมือนจะอ่อนนุ่มมาก วางอยู่อย่างระเกะระกะ ผ้าห่มหลายฝืนก็ไม่ได้พับเก็บไว้ดี ๆ ได้แต่วางพาดไว้กับพนักโซฟาอยู่อย่างนั้น

……น่าจะเป็นที่ที่เอาไว้ให้นักทดสอบของที่นี่พักผ่อนกันในเวลาปกติ

ฉินซีคิดไปด้วย และก็เดินตามฟางฟางเข้าไปด้วย

“นั่งซิ” บนใบหน้าของฟางฟางยังคงมีรอยยิ้มอยู่

ฉินซีลังเลไปไม่กี่วินาที แล้วเลือกโซฟาที่อยู่ชิดด้านในนั่งลงไป

ฟางฟางลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมา แล้วไปนั่งลงตรงหน้าฉินซี

“ขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการหน่อยนะ ฉันชื่อฟางฟาง เป็นสมาชิกนักทดลองคนหนึ่งของที่นี่” สายตาของฟางฟางกับฉินซีสบเข้าหากันพอดี น้ำเสียงของเธอก็อ่อนโยนมาก เหมือนอย่างกับว่ากำลังคุยอยู่กับคนรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่

ฉินซีก็เหมือนกับโดนน้ำเสียงของเธอทำให้หวั่นไหวไป แล้วเปิดปากพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า“ฉันชื่อฉินซีค่ะ มาเข้าค่ายที่ค่ายฝึกอบรมนี้ค่ะ”

ฟางฟางเหมือนกับว่าจะโดนคำพูดของเธอทำให้รู้สึกขำ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันรู้จ้ะว่าเธอมาเข้าค่าย”

“แต่ว่านักทดลองคืออะไรเหรอคะ?” ฉินซีสิบขวบถามคำถามที่อยู่ในใจของฉินซีคนปัจจุบันออกไปด้วย

ฟางฟางหยุดนิ่งไปไม่กี่วินาที แล้วไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่กลับเปิดปากถามขึ้นว่า “ฉินซี เธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”

ฉินซีตอบกลับไปอย่างซื่อตรง “ผู้บัญชาการเป็นคนเห็นฉันเข้าตอนที่ฝึกความอดทนอยู่ แล้วเขาก็พาฉันมาที่นี่”

ฟางฟางเม้มริมฝีปากขึ้น แล้วถามต่อว่า “งั้นผู้บัญชาการได้บอกกับเธอไหมว่า ต้องมาทำอะไรที่นี่?”

ฉินซีส่ายหน้า “เขาพูดเพียงแค่ ให้ฉันมาสำรวจที่นี่ต่อ”

พูดตามหลักแล้ว จ้านเซินก็ไม่ได้หลอกตัวเอง เพียงแต่ว่าที่เขาพูดมานั้นมันยังพูดไม่หมดต่างหาก

ฉินซีอยู่ที่หอคอยCไม่ได้เป็นเพียงแค่คนสังเกตการณ์ แต่ยังโดนเอามาเป็นตัวทดลองคนหนึ่งอีกด้วย

แต่หลังจากที่ฟางฟางฟังฉินซีตอบคำถามแล้ว ก็ถอนหายใจขึ้นมาเบา ๆ ทีหนึ่ง แล้วถึงจะเปิดปากพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “งั้นฉินซี ฉันต้องขอโทษเธอแทนผู้บัญชาการด้วยนะ ตอนนี้ฉันจะมาแนะนำให้เธออย่างละเอียดสักหน่อย ว่าเพราะอะไรเธอถึงมาอยู่ที่นี่”

ฉินซีพยักหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไร

“ในตอนที่ผู้ปกครองของเธอช่วยเธอลงชื่อสมัครนั้น ก็น่าจะรู้ว่าที่นี่เป็นค่ายฝึกอบรมค่ายหนึ่ง” ฟางฟางพูดขึ้น “แต่ว่าที่นี่ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ค่ายฝึกอบรมอย่างเดียวเท่านั้น ในตอนที่พวกเธอมาสมัครนั้น ผู้ปกครองก็จะได้รับแจ้งแล้วว่า ถ้าหากในระหว่างที่อยู่ในค่ายถ้าหากประพฤติตัวได้ดีเป็นพิเศษ ก็อาจจะได้เข้าร่วมกับกลุ่มค่ายฝึกอบรมเตรียมตัวระยะยาวด้วย”

ฉินซีรู้สึกว่าตัวเองเอียงหัวน้อย ๆ อย่างแสดงความไม่เข้าใจ และในใจเธอก็มีความไม่เข้าใจอยู่บ้างจริง ๆ

มีการแจ้งรายละเอียดแบบนี้ให้ทราบด้วยเหรอ?

แต่ว่าแค่คิดดูก็รู้แล้ว ฉินซึ่งเทียนก็แค่คิดแต่ว่าอยากจะเอาตัวเองยัดเข้ามาในนี้เพื่อให้รู้จักคนเยอะขึ้นหน่อย และถึงแม้จะมีการแจ้งรายละเอียดแบบนี้จริง ๆ เขาก็คงไม่เอาไปใส่ใจหรอก

หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่มีทางที่จะรู้สึกว่า ตัวเองจะสามารถ “ประพฤติตัวได้ดีเป็นพิเศษ”อยู่แล้ว

แน่นอนว่าฟางฟางจะต้องดูออกในความสงสัยของเธออยู่แล้ว แต่ว่าก็ยังคงอธิบายต่อไปเรื่อย ๆ

“กลุ่มค่ายฝึกอบรมเตรียมตัวระยะยาวนี้ ที่จริงแล้วก็คือการเข้าสู่กลุ่มการเตรียมการล่วงหน้ากลุ่มหนึ่งขององค์กรเรา หลังจากที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างครบถ้วนแล้ว ก็จะสามารถเข้าสู่องค์กรเราได้อย่างแท้จริง” ฟางฟางพูดขึ้น

ในที่สุดครั้งนี้ฉินซีก็ได้เปิดปากถามขึ้นมาแล้ว “องค์กร?”

นี่ก็ถือเป็นความสงสัยที่มากที่สุดในใจของฉินซีคนปัจจุบันด้วยเช่นกัน

“องค์กร” ที่พวกเขาพูดกันติดปาก ตกลงมันเป็นที่อะไรกันแน่?

ฟางฟางดูความสงสัยของเธอออก แต่กลับยิ้มอย่างเดียว แล้วส่ายหน้าอย่างช้า ๆ “สำหรับเรื่องขององค์กร ตอนนี้ฉันยังเปิดเผยอะไรมากไม่ได้”

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท