Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1140

ตอนที่ 1140

บทที่ 1140 ทุกอย่างได้รับคำอธิบายแล้ว

แต่กฎเกณฑ์บ้า ๆ บอ ๆ ที่ว่า“ต้องยับยั้งชั่งใจความสั่นไหวของความรู้สึก”นั้น กลับคลี่คลายปริศนาได้มากมายยิ่งขึ้น

เพราะอะไรตอนที่ฉินซีอยู่กับถังย่านั้น มักจะรู้สึกว่าถังย่าเหมือนกับหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง? ก็เพราะว่าองค์กร“เฟิง”ที่ว่ามานี้ ตั้งแต่แรกก็เอาคนไปปลูกฝังไปทางด้านหุ่นยนต์แล้ว

ไม่เอาความรู้สึก ก็ไม่มีจุดอ่อน ทำให้ศัตรูโจมตีไม่ได้

ตรรกะนี้ไม่ได้เข้าใจยาก แต่ว่ากลับทำให้คนไม่กล้าเห็นด้วย

มีสิทธิ์อะไรที่คนเป็น ๆ จะต้องมากลายเป็นหุ่นยนต์ที่รู้จักแต่เอาไว้ใช้งานด้วยล่ะ?

ฉินซีนึกถึงความทรงจำในช่วงที่ตัวเองสิบขวบนั้น ประโยคหนึ่งที่ตรงไปตรงมาของผู้หญิงที่ใบหน้าแหลมคมคนนั้นในตอนที่ทะเลาะกับฟางฟางในห้องทดลอง “สิ่งที่องค์กรต้องการคือหุ่นยนต์ ไม่ใช่คน”

เขาพูดอย่างสมควรตามหลักการ ราวกับว่าเป็นคำพูดที่ไม่มีความถูกต้องไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมีความสงสัยใด ๆ

แต่ว่านี่ไม่ใช่หลักการที่ฉินซีจะสามารถเข้าใจได้

ดูไปแล้วฉินซีที่อายุสิบสามไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเธอจึงเปลี่ยนเป็นมาถามว่า “งั้น……ถ้าหากว่าฉันเข้าร่วมองค์กรนี้ ก็จะต้องเป็นแบบนี้ด้วยเหรอคะ?”

ฟางฟางไม่ได้ส่ายหน้า และก็ไม่ได้พยักหน้า เขาเพียงแต่มองฉินซีตรง ๆ “เรื่องกฎเกณฑ์พวกนี้ ที่จริงไม่ควรเป็นฉันที่ต้องมาสอนเธอ หลังจากที่เข้าร่วมกับองค์กรอย่างเป็นทางการแล้ว เธอจะมีบทเรียนที่มากกว่าเดิมอีกมาก จะมีคนมาอบรมเธอโดยเฉพาะ มาสอนเธอว่าอยู่ในองค์กร จะต้องเรียนรู้อะไร และจะต้องทำอะไรบ้าง”

ฉินซีที่สิบสามขวบขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พวกเขาจะมาสอนฉัน ว่าจะต้องควบคุมความรู้สึกตัวเองยังไงเหรอคะ?”

น้ำเสียงของฟางฟางนั้นเบามาก ถ้าไม่ฟังดี ๆ ก็คงจะไม่ได้สนใจ “ฉันหวังว่าเธอ จะเรียนรู้ไม่เป็นตลอดไป”

แต่ว่าฉินซีได้ยินแล้ว

เพียงแต่ว่าเธอยังไม่ทันได้พูด ก็ได้ยินฟางฟางกระแอมไอขึ้น และน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา “หลังจากที่เธอเข้าสู่องค์กรอย่างเป็นทางการแล้ว ฉันก็จะไม่ได้เป็นนักทดสอบของเธออีกแล้วนะ”

ครู่เดียวมุมปากของฉินซีก็ตกลงมา “อ๋า? ทำไมละคะ!”

อาจจะเพราะว่าฟางฟางรู้สึกว่าท่าทีของเธอช่างดูน่าขำ จึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มมุมปากออก “เพราะว่าก่อนที่เธอจะได้เข้าองค์กรนั้น ยังถือได้ว่าเป็น‘ของทดลอง’ต้องการคนมาคอยจับตาดูสถานการณ์ของเธออยู่ตลอดเวลา” ฟางฟางพูดขึ้น “แต่ว่าพอกลายเป็นสมาชิกองค์กรคนหนึ่งแล้ว ก็แสดงว่าเธอเหมาะสมกับองค์กรทุกอย่าง แน่นอนว่าก็ไม่ต้องการฉันแล้วไงล่ะ”

ฉินซีเม้มปากเล็กน้อย “งั้นต่อไปเราก็จะไม่ได้เจอกันแล้วเหรอคะ?”

ฟางฟางยื่นมือออกมาลูบหัวเธอ “ไม่หรอก ฉันเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าภายในองค์กรนั้นมีสมาชิกไม่เยอะ และภารกิจของทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะต้องต่อสู้คนเดียว ต่อไปพวกเรายังคงจะได้พบหน้ากันอยู่บ่อย ๆ อยู่แล้ว”

อยู่ ๆ ฉินซีก็เหมือนกับว่านึกอะไรออก แล้วเปิดปากถามว่า “ยังมีอีกคำถามหนึ่ง……ทำไมถึงได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ผ่านการคัดเลือกละคะ?” นี่ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ฉินซีปัจจุบันเองก็สงสัยอยู่ด้วย

ฟางฟางหรี่ตาลง “เพราะว่านอกจากเธอแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่ได้ลุล่วงตามเป้าหมาย”

ฉินซีลืมตาโต ๆ ขึ้นช้า ๆ “ไม่มีเลยเหรอ? พวกเขาทุกคนก็ไปแล้วนี่ และก็จุดระเบิดตามที่ได้วางแผนไว้แล้วด้วย?”

ฟางฟางส่ายหน้าขึ้นเบา ๆ “ทำให้เกิดระเบิดขึ้นนั้นไม่ใช่เป้าหมาย ที่จริงแล้วพวกเขาจะต้องทำให้เด็กตระกูลลู่คนนั้นสิ้นชีพ”

พอคำพูดประโยคนี้พูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นฉินซีสิบสามขวบ หรือว่าฉินซีปัจจุบัน ก็กลับสูดอากาศเย็นเข้าไปฟอดหนึ่งในเวลาเดียวกันเลย

“ภารกิจครั้งนี้ของเรา……คือต้องฆ่าคนเหรอคะ?” ฉินซีที่สิบสามขวบถลึงตาโตจนสุดขีด อย่างกับว่าไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมภารกิจแบบนี้ถึงได้มีอยู่จริง

แต่ว่าในใจของฉินซีปัจจุบันนี้กลับมีคลื่นทะเลลมแรงยังตีกันอย่างร้อนแรงอยู่

เด็กตระกูลลู่เหรอ? ใช่ลู่เซิ่นหรือเปล่า?

พอคิดถึงว่าภารกิจที่ตัวเองเข้าร่วมด้วย อีกนิดเดียวก็เกือบจะฆ่าลู่เซิ่นไปแล้ว ครู่เดียวความรู้สึกที่เธอมีต่อองค์กรที่ว่ามานี้ ก็เหลือเพียงแค่ความโกรธเกลียดเท่านั้น

ฟางฟางเหมือนกับว่าจะเข้าใจในความตกใจของเธอดี เขายื่นมือออกมากุมมือของฉินซีเอาไว้ แล้วพูดขึ้นว่า “นี่ก็คือองค์กรนี้……”

ปากของเขายังคงอ้า ๆ หุบ ๆ แต่ว่าน้ำเสียงกลับไม่มีดังออกมาแล้ว

ความเจ็บปวดจู่โจมฉินซีขึ้นอีกครั้ง มันรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นเยอะ

แค่ยัดความทรงจำจากสิบขวบถึงสิบสามขวบก็มากพอที่จะทำให้ฉินซีเจ็บปวดจนดูไม่ได้แล้ว แต่ว่าต่อมาสิ่งที่เข้าสู่สมองของฉินซีนั้น กลับมีความทรงจำของสิบปีเต็ม ๆ

เธอรู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองนั้นเข้าใกล้คำว่าระเบิดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ตรงหน้าเกิดความมืดเข้ามาเป็นระลอก ๆ

เพราะว่าเจ็บปวดมากเกินไป เธอก็เลยหมดสติระยะสั้นไปไม่กี่นาที แต่ว่าเห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นจ้านเซินหรือว่าหมอเสื้อกาวน์สีขาวคนนั้น ต่างก็ไม่มีความคิดที่จะปล่อยเธอไปสักครั้งเพราะเหตุนี้ หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่นาที เธอก็โดนปลุกให้ตื่น

กลับไม่ใช่ว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาจริง ๆ หลังจากที่ฉินซีค่อย ๆ มีสติกลับคืนมาแล้ว ก็สำรวจรอบข้างรอบหนึ่ง เธอก็ปรากฏอย่างโศกเศร้าว่า ตัวเองยังคงอยู่ในจิตใต้สำนึกของตัวเองอยู่

……นี่ก็หมายความว่า นอกจากเธอจะจดจำทุกอย่างได้ ไม่งั้นก็ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้

เธอนึกย้อนดูความทรงจำสิบปีเต็มที่พยายามยัดเยียดเข้ามาอย่างเงียบ ๆ ทั้งหมดแทบจะเป็นความทรงจำที่เธอปฏิบัติภารกิจสำเร็จในองค์กรได้อย่างไร

หลังจากที่เธอพูดคุยกับฟางฟางเสร็จแล้ว ฉินซีก็เข้าสู่องค์กรอย่างเป็นทางการ และกับสิ่งที่ฟางฟางพูดไว้ไม่ได้แตกต่างกันเลย ในความทรงจำของเธอ เวลาที่ได้อยู่กับฟางฟางเปลี่ยนเป็นน้อยลง สามารถมองเห็นได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาพกลุ่มคนหน้าตาขุ่นมัวใส่ชุดกาวน์สีขาวกำลังพูดคุยกับตัวเองตัวต่อตัว นี่ก็คือ“สิ่งที่จะต้องเรียน”อย่างที่ฟางฟางพูดไว้ ในบทเรียนพวกนี้ มีความสามารถพิเศษที่ฉินซีเข้าร่วมกับองค์กร และก็ยังมีสิ่งที่ฟางฟางเคยพูดไว้ อย่างพวกบทเรียนล้างสมองเพื่อ“ขจัดอารมณ์และความรู้สึกออกไป”

เป้าหมายที่องค์กรปลูกฝังฉินซีไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่ตัวเธอเองคาดเดาไว้มาก เธอโดนปลูกฝังให้เป็นนักสืบแนวหน้าคนหนึ่ง บทเรียนหลัก ๆ นั้นก็คือปลูกฝังให้เธอเจาะลึกเข้าไปในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตภายในยังไงเพื่อสืบค้นข้อมูล และจะทำยังไงเพื่อรวบรวมข่าวกรองให้ได้มากที่สุด แล้วต้องเรียบเรียงข่าวกรองยังไง เพื่อให้ได้ผลที่ต้องการมากที่สุด เพียงแต่ว่านอกเหนือจากบทเรียนเหล่านี้แล้ว เธอยังได้รับการปลูกฝังด้านพละกำลังและการต่อสู้อีกมากมาย เพียงแต่ว่าสิ่งที่เธอถนัดและค่อย ๆ เข้าใจมากที่สุดกลับไม่ใช่การต่อสู้แนวจู่โจม แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแนวป้องกันตัว และก็เข้าใจได้ไม่ยาก เธอจะต้องถนัดฝีมือทางด้านนี้เผื่อเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นเพื่อเป็นหนทางให้สามารถรวบรวมข่าวกรองมาให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงตอนที่โดนพบเห็นเข้า แล้วตัวเองจะได้ไม่ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่น

ด้านหนึ่งโดนฝึกฝนไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ต้องทำภารกิจง่าย ๆ บางอย่างให้สำเร็จไปด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟางฟางได้เคยมาแทรกแซงก่อนแล้วหรือไม่ ในความทรงจำที่ฉินซีสามารถจดจำได้นั้น เป้าหมายในภารกิจของเธอในช่วงหลายปีนั้นล้วนแล้วแต่เป็น“ทางด้านดี”ทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการหยุดยั้งการทำธุรกรรมด้านมืดของพวกธุรกิจใหญ่บางแห่ง เกือบจะไม่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องชีวิตคนโดยตรงเลย

ในห้าปีให้หลัง ตอนที่ฉินซีอายุสิบแปด การฝึกฝนของเธอก็ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์หมดแล้ว

ในตอนนั้น เธอได้กลายเป็นคนที่มีฝีมือช่ำชอง และเป็นสมาชิกองค์กรที่คุ้นเคยกับภารกิจข่าวกรองเป็นอย่างมากแล้ว

ฉินซีนึกถึงตอนที่ตัวเองจดจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ตรวจสอบเรื่องราวของเหยาหมิ่นที่บ้านอานหยันนั้น แทบจะเป็นสถานการณ์ที่เธอเรียบเรียงข่าวกรองได้โดยแทบจะไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ

ตอนนั้นอานหยันยังมีความตกใจอยู่บ้าง ที่ทำไมตัวเองถึงได้คล่องขนาดนั้น ตัวฉินซีเองก็มีความสงสัยเช่นกัน

แต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างก็ได้รับคำอธิบายแล้ว

เพียงแต่ว่าเธอเองก็รู้สึกได้ว่า ตัวเองในตอนนั้น ก็ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนถังย่าเข้าไปทุกทีแล้ว

การสั่งสอนแล้วล้างสมองห้าปีอยู่ในองค์กรนั้นไม่ได้สูญเปล่า ตอนที่อายุสิบแปด ฉินซีเองก็แทบจะกลายเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งไปแล้ว

รอยยิ้มดูเกรงใจ แต่ว่าเกือบจะไม่มีความรู้สึกสั่นไหวอะไรเหมือนคนทั่วไป มองทุกสิ่งก็ล้วนเย็นชาและเรียบเฉย

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท