Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1176

ตอนที่ 1176

บทที่ 1176 ขาดหลักฐาน

เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำลายกระดาษแผ่นนั้นไม่ต้องการให้คนอื่นเห็น

ดังนั้นลู่เซิ่นจึงมองไปรอบๆห้องอย่างละเอียด ก็ไม่พบอะไร

ทันใดนั้นหลินยี่ก็พูดขึ้นว่า:“ ลู่เซิ่น นายจับดู บนกระดาษแผ่นนี้เหมือนจะมีรอยอะไรบางอย่าง”

ลู่เซิ่นเดินไปข้างๆเขา ก้มลงมองตามที่นิ้วเขาชี้

ดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรต่างกัน แต่พอลูบไปลูบมาดูเหมือนว่าจะมีรอยอะไรขรุขระตื้นๆ

“เธอน่าจะ……เขียนเสร็จแล้ว พับแล้ว แต่กลับคิดอะไรได้บางอย่าง ดังนั้นจึงเขียนใหม่ด้านนอก” หลินยี่เปิดปากพูด “ดังนั้นตรงนี้จึงมีร่องรอยการเขียนของเธอ หรือมีอะไรมาขีดข่วนที่นี่ ก็จะมองออกว่าเธอต้องการจะพูดอะไร……”

ระหว่างที่เขากำลังพูด ลู่เซิ่นก็ได้ลุกและเดินออกไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็นำดินสอแท่งนึงกลับมา

หลินยี่มองไป แล้วยิ้มเล็กน้อย

เหมือนตอนเด็กที่เอาเหรียญมาวางทับด้วยกระดาษ แล้วนำดินสอขีดเขียนระบายให้ทั่ว จะได้เป็นรูปเหรียญบนกระดาษ

พลิกอีกด้านก็เป็นเหมือนกัน ตอนฉินซีเขียนจดหมายฉบับนี้คงจะรีบ จึงกดดินสอแรงมาก

ดังนั้นจึงมีรอยลึกบนกระดาษ หากสามารถใช้ดินสอระบายให้ทั่วตัวหนังสือได้ ก็สามารถดูออกได้ว่าฉินซีเขียนอะไรในช่องว่างนั้น ทำไมจึงถูกทำลายโดยผู้บุกรุก

แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้สนใจสีหน้าของหลินยี่เลย เขาไม่พูดอะไรสักคำ นำกระดาษมาและระบายเบาๆ

ลู่เซิ่นระวังมาก ระมัดระวังมากกว่าการทำสัญญาใด ๆ มูลค่าหลายร้อยล้าน

หลังจากนั้นไม่นาน บนกระดาษมีร่องรอยตัวหนังสือปรากฏขึ้นจางๆ

ลู่เซิ่นวางดินสอง หยิบกระดาษขึ้นมาดูอย่างละเอียดสักครู่

หลินยี่เอนตัวไปดู อ่านออกเสียงเบาๆ:“ ฉันจะออกไปสักพัก ไม่ได้บอกใครว่าชั้นจะไปที่ไหน ฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องไปรบกวนอานหยัน รอให้ฉันดีขึ้นสักพัก จะติดต่อคุณเอง”

เขาอ่านจบ ในทางตรงกันข้ามเขาสับสนเล็กน้อย

“เมียนายเขียนแบบนี้……เขากำลังจะทำอะไร?” หลินยี่ดูสับสน “ทำไมต้องเจาะจงไม่ให้นายไปรบกวนคนที่ชื่ออานหยัน?”

ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบเขา ได้แต่จ้องไปที่ลายมืออักษรนั้น ราวกับว่ามันเป็นเบาะแสสำคัญอย่างงั้น

ลู่เซิ่นพึมพำอยู่คนเดียว แล้วเอ่ยปากพูดว่า:“ ลู่เซิ่น นายคิดอะไรอยู่?”

ลู่เซิ่นถูกเขาผลัก จู่ๆจึงพูดขึ้นว่า:“การจากไปของฉินซีเกี่ยวข้องกับผู้บุกรุก”

หลินยี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย:“ ทำไมจู่ๆนายถึงแน่ใจได้ขนาดนี้?”

แม้จะมีผู้บุกรุกจริง แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่เคยนำเรื่องที่ฉินซีจากไปมาเชื่อมโยงกับผู้บุกรุกว่าเกี่ยวข้องกัน

ไม่ใช่เพราะผู้บุกรุกเข้ามาในรีสอร์ทชิงหยวนช่วงบ่าย ก็สรุปได้ว่าการจากไปในเวลากลางคืนของฉินซีต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา

พวกเขายังขาดหลักฐานเล็กน้อย

แต่ว่าตอนนี้……ทำไมลู่เซิ่นอ่านกระดาษฉบับนี้แล้ว จึงตัดสินได้ทันที?

“เพราะว่าช่วงค่ำที่ฉินซีออกไป พ่อบ้านได้เตือนแล้ว เกลี้ยกล่อมเธอไม่ให้ออกไป ฉินซีให้เหตุผลเขาว่า……อานหยันอกหัก เธอจะไปปลอบใจอานหยัน” ดวงตาของลู่เซิ่นยังคงไม่ละจากลายมือนั้น “ตอนเธอวีดีโอคอลก็ได้บอกว่า เธอจะไปบ้านอานหยัน คนขับถึงกับบันทึกวิดีโอของเธอที่เข้าไปบ้านของอานหยัน”

หลินยี่ไม่เคยได้ยินลู่เซิ่นพูดถึงรายละเอียดเหล่านี้มาก่อน ตอนนี้ฟังแล้ว แววตาเขาค่อยๆเคร่งขรึมขึ้น

“ดูเหมือนว่า ที่เธอพูดตรงนี้ว่า……ไม่ให้นายไปหาอานหยัน มันดูขัดแย้งกัน” หลินยี่พึมพำ

ลู่เซิ่นพยักหน้า สุดท้ายก็เก็บกระดาษแผ่นนั้น หันมองหลินยี่:“ อานหยันเป็นเพื่อนสนิทของฉินซี เธอรู้ดี เมื่อเธอจากที่นี่ไป ฉันต้องไปถามอานหยันแน่นอนว่าเธออยู่ที่ไหน ก็เลยเจาะจงเขียนประโยคนี้ไว้”

หลินยี่ครุ่นคิดและพยักหน้า

พูดๆแล้ว……ก็สมเหตุสมผลดี

ตามข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้ ดูแล้วฉินซีมีความคิดที่จะจากไปอยู่แล้ว เก็บกระเป๋า ทิ้งจดหมายไว้ก็เป็นเธอทำเอง แต่ว่า……เธอไม่เคยคิดที่จะจากไปโดยไม่บอกลา แต่หลังจากที่โทรคุยกับลู่เซิ่นเป็นครั้งสุดท้าย ค่อยออกไป ก่อนจากไปนั้น ยังกังวลว่าลู่เซิ่นจะไปทำให้เพื่อนของเธอเดือดร้อน จึงเขียนเน้นไว้ข้างหลังแผ่นกระดาษนั่น

แต่หลังจากนั้น คนที่บุกเข้าไปในรีสอร์ทชิงหยวนใช้อะไรเพื่อทำให้เธอเปลี่ยนใจ แล้วยังเอาอานหยันมาเป็นข้ออ้าง

อานหยันมีความสำคัญต่อฉินซีมากแค่ไหน ลู่เซิ่นรู้ดี ดังนั้นวิธีนี้……ไม่ใช่อยู่ดีๆก็เอามาเป็นข้ออ้างแบบนี้ได้

ดังนั้นดูแบบนี้แล้ว แทบจะสรุปได้เลยว่า การจากไปของฉินซีนั้น ต้องเกี่ยวข้องกับผู้บุกรุกเข้ามาแน่ๆ

ลู่เซิ่นลุกขึ้นยืน

“ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้ฉินซีมีความคิดต้องการจากไปในตอนแรก ตราบใดที่เธอก้าวออกจากประตูห้องนี้ ไม่ใช่ด้วยความสมัครใจ ถ้าอย่างนั้นฉันต้องตรวจสอบให้ชัดเจนแน่นอน คนนั้นเป็นใคร”

……

ฉินซีลืมตาขึ้นช้าๆ

ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มมืดแล้ว ไม่ได้เปิดไฟในห้อง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างสลัวๆ

เพราะฉะนั้นเธอรู้ว่า ตัวเองยังอยู่ในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย

——หรือ ตอนนี้ควรเรียกว่า ในหอพักของเธอเอง

ความทรงจำทั้งหมดขององค์กรวกวนเข้ามาในสมองของเธอ ดังนั้นตอนนี้เธอไม่สับสนวุ่นวายเหมือนตอนที่ย้ายเข้ามาใหม่ๆแล้ว

แม้ว่าองค์กรจะมีสาขาของตัวเองในเกือบทุกประเทศ แม้แต่หลาย ๆ มุมที่ไม่เด่นก็ยังมีทางติดต่อได้ แต่ที่นี่เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กร——นี่คือสำนักงานใหญ่ขององค์กร ไม่นับเป็นเกาะอิสระของประเทศใดๆ

เป็นเพราะสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่บนที่ดินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ องค์กรถึงจะสามารถรักษาความเป็นอิสระของตัวเองได้ จะไม่ถูกบังคับหรือข่มเหงได้จากประเทศใด ๆ

ฐานฝึกอบรมและอาคารห้องปฏิบัติการที่ฉินซีเคยไปเมื่อเธออายุสิบขวบเป็นเพียงการเลือกและการทดลองฝึกอบรมที่ไม่ได้สำคัญมากนัก ยังมีการทดลองที่สำคัญที่สุด ทุกการฝึกมีที่นี่ทั้งหมด

ถึงแม้ฉินซีสอบผ่านการฝึกนี้อายุเพียงแค่13ปีเท่านั้น แต่เมื่อตอนอายุ18ปีนั้น หลังจากผ่านการฝึกอบรมในทุกหลักสูตร นี่เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้มาที่นี่

อาคารสูงที่พวกเขาอยู่ตอนนี้คืออาคารหลักของบนเกาะนี้รวมถึงห้องปฏิบัติการ ห้องฝึกอบรมและยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่จำเป็นสำหรับชีวิต คน สมาชิกในองค์กรต่างใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ทุกคนมีห้องส่วนตัวของตัวเอง ตอนนี้ฉินซีนอนลง เป็นหอพักที่เธอได้รับมอบหมายหลังจากมาที่นี่ตอนอายุ 18 ปี

บ้านหลังเล็กที่ไกลออกไปเป็นที่พักสำหรับยาม ยังเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้า

เงินทุนขององค์กรเพียงพอ ดังนั้นวัสดุทั้งหมดบนเกาะจึงถูกขนส่งจากภายนอกผ่านทางเรือ

และเครื่องบินขององค์กรเอง เกาะนี้ยังอยู่ระหว่างการเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เนื่องด้วยสภาพอากาศจึงไม่สามารถจัดส่งพัสดุได้ทันเวลา ระบบนิเวศบนเกาะยังเป็นแบบพึ่งพาตนเองเป็นหลัก

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท