บทที่ 1203 มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
โทรศัพท์ของลู่เซิ่นสั่นขึ้นมา
เป็นหลินยังที่ส่งข้อความมาหาเขา
เมื่อเปิดดู มันเป็นรายงานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
“ยาควบคุมเส้นประสาท … รายงานผลการตรวจ” ลู่เซิ่นจ้องไปที่ข้อความ ก่อนอ่านออกเสียงช้าๆ
“อะไรนะ?” หลินยี่คิดว่าลู่เซิ่นกำลังพูดกับเขา
ลู่เซิ่นวางโทรศัพท์ไว้ตรงหน้าหลินยี่ “รายงานการวิเคราะห์ยาบนผ้าเช็ดหน้า ฉันเคยเดาก่อนหน้านี้ว่ามันเป็นยาตัวล่าสุดจากทหาร ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเหมือนที่คิด”
หลินยี่ขมวดคิ้ว “งั้น… …ก็ไม่แปลกใจเลย”
ลู่เซิ่นหยุดชั่วครู่ เขาตระหนักว่าตัวเองกำลังจะพูดถึงอะไร “ซัพพลายเออร์ยานั่นของพวกทหาร… ….”
“มันคือพวกเฟิง” หลินยี่ตอบด้วยความมั่นใจ
ลู่เซิ่นกัดริมฝีปากแน่น
ตอนนี้ดูเหมือนว่าปัญหาทั้งหมดจะชี้ไปที่ชายคนนี้และองค์กรที่อยู่เบื้องหลังเขา
“ฉันจะไปพบถังย่า” ลู่เซิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
จากคำพูดของหลินยี่ เบื้องหลังขององค์กรที่มีชื่อว่า เฟิง นั้นลึกลับมาก ถ้าลู่เซิ่นต้องการใช้องค์กรนี้เป็นช่องทางในการบุกโจมตี กลัวว่าจะมีแต่ปัญหาเต็มไปหมด
ยิ่งไปกว่านั้น … ยังมีช่องทางอะไรที่สะดวกกว่านี้อีก
นั่นคือ ถังย่า
แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าถังย่าเป็นสมาชิกขององค์กรหรือไม่ แต่อย่างน้อยถังย่าก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรนั้น
เมื่อนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ได้พบและแยกจากกัน ถังย่าพูดว่า “ถ้าต้องการความช่วยเหลือให้มาหาฉัน” มันก็เหมือนกับ … แน่ใจว่าเขาจะพบองค์กรนี้แล้วจึงไปถามเธอ
ลู่เซิ่นรู้สึกไม่สบายใจ แต่ … เขาไม่มีทางอื่นจริงๆ
“ถังย่าคนคนนั้น… ดูไม่ธรรมดาเลย”หลินยี่กล่าว “ฉันมีความรู้สึกว่า เธอไม่ใช่คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรนั้น แต่ … เป็นหนึ่งในผู้นำขององค์กรนั้น”
ลู่เซิ่นพยักหน้า “ฉันก็เดาว่าอย่างนั้น”
เขาตอบข้อความหลินหยัง และขอให้หลินหยังนำเอาผ้าเช็ดหน้ามาคืน จากนั้นเตรียมนัดกับถังย่าครั้งที่สองโดยเร็วที่สุด
หลินหยังตอบรับอย่างรวดเร็ว “รับทราบครับ”
ลู่เซิ่นยืนขึ้น มองไปที่หลินยี่ ก่อนพูดว่า “มาเถอะ ฉันจะพานายไปที่ห้อง”
หลินยี่พยักหน้า พยุงโต๊ะเพื่อลุกขึ้นยืนช้าๆ
อวัยวะภายในเขาได้รับบาดเจ็บและตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวดี ยังไม่สะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆดังนั้นเขาจึงเคลื่อนไหวไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน ลู่เซิ่นก็ไม่มีอะไรทำพอดี ดังนั้นจึงอดทนพาเขาเดินไปที่ห้องช้าๆ
“จริงๆแล้ว ถึงจะมีภาพจากกล้องวงจรปิด ก็พิสูจน์อะไรไม่ได้เลย” เดินไปครึ่งทางจู่ๆหลินยี่ก็พูดขึ้นมา
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันไปมองเขา
หลินยี่พูดต่อ “ถึงแม้… …ภาพข้างในที่ถูกลบไป มันมีอะไรที่ดูไม่ปกติ แต่… …ตามที่รู้มาว่าเป็นองค์กรที่ลึกลับ เป็นเรื่องปกติ เขาไม่น่าจะหลงเหลือหลักฐานอะไรไว้”
“นายหมายถึง … นายสงสัยว่าชายคนที่ปรากฏตัวที่นั่นและเคยได้พบกับฉินซี ทั้งหมดมันเป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหม?” ลู่เซิ่นถาม
หลินยี่พยักหน้า “เป็นแค่ความสงสัยของฉัน แต่ยังไงเราก็ไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าจะเป็นคนเดียวกันที่บุกเข้าไปในบ้านของนาย”
ลู่เซิ่นเงียบ
อันที่จริง ทุกอย่าง … เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่บังเอิญเป็นเรื่องถูกต้องที่จะทำให้เชื่อมโยงกันได้ แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจสาระของหลักฐานนั้นได้
ทำไมกล้องวงจรปิดทั้งหมดถึงถูกทำลาย แต่กลับไม่สนใจกล้องตัวนี้
เป็นกล้องตัวนี้ที่ทิ้งภาพของชายคนนั้นไว้
ทำไมกระทั่งการรักษาความปลอดภัยสูงสุดของชิงหยวนถึงจับคนที่แอบเข้ามาไม่ได้ และทำไมถึงทิ้งผ้าเช็ดหน้าไว้
ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น บังเอิญมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์กรที่ชายคนนี้อยู่พอดี
แต่ดันกลับไม่ทิ้งหลักฐานที่สำคัญที่สุด ฉินซีจะจากไปอย่างไร
แน่นอนว่าลู่เซิ่นไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง สายตาของชายคนนั้นที่มองมายังฉินซีถูกใช้เป็นหลักฐานที่แสดงความสัมพันธ์ของเขากับเธอ เขาไม่สามารถทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
อดีตตรงหน้าพันกันเป็นเกลียวที่ไม่สามารถคลี่ได้ มีเพียงปลายด้ายที่ดูเลือนราง แต่ไม่มีใครสามารถจับปลายด้ายได้ ทั้งยังไม่สามารถที่จะคลายปม
หลักฐานเหล่านี้ดูเหมือนจะเตือนลู่เซิ่นว่า ต้องการพาเขาไปยังทิศทางไหน
แม้ว่าลู่เซิ่นจะไม่ชอบความรู้สึกของการถูกจูงจมูกโดยคนอื่น แต่เขาก็ไม่มีทางอื่น
เบาะแสเหล่านี้ดูเหมือนจะชี้ว่า … ให้เขากลับไปหาถังย่า
เขาจึงได้แต่กลับไปหาถังย่า
ทั้งสองคนไม่ใช่คนสุภาพอะไรนัก เมื่อส่งหลินยี่กลับถึงห้อง ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรมาก เขาจึงเตรียมตัวออกจากบ้านลู่ เพื่อกลับไปยังบ้านใหญ่ตระกูลลู่แทนเพื่อจัดการเรื่องต่างๆ
แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ถูกขวางโดยลู่โยวโยวไว้ก่อน
“พี่!” เธอจ้องมองไปที่ลู่เซิ่นด้วยสายตาตำหนิ “บอกฉันมาตรงๆนะ พี่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆเหรอ”
ลู่เซิ่นเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ ไม่ได้เหรอ?”
ลู่โยวโยวย่นหน้า “แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ชอบพี่นี่! ฉันจำได้นะ ตอนที่หลินยี่นอนอยู่โรงพยาบาล เธอปฏิเสธที่จะมาที่นี่เพราะคิดถึงคนที่ทำให้หลินยี่ปางตายแบบนั้น พี่จะอยู่กับเธอได้ยังไง!”
ลู่เซิ่นแค่มองก็รู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไร เขาจงใจพูดเสียงเข้มขึ้น “เธอสนที่เวินจิ้งไม่ชอบพี่ หรือเวินจิ้งไม่มาหาหลินยี่ตอนเจ็บหนักกันแน่?”
ใบหน้าของลู่โยวโยวแดงระเรื่อ ก่อนพูดว่า “ฉันสนไม่ได้เหรอ? พี่ ถึงฉันจะชอบหลินยี่ แต่ อย่ามาคิดว่าฉันไม่ได้สนใจพี่นะ”
ลู่เซิ่นยิ้มจาง เอื้อมมือไปลูบศีรษะของลู่โยวโยว “เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพี่หรอกนะ พี่รู้ว่าเธอเป็นห่วงทั้งพี่และหลินยี่ แต่ … เรื่องบางเรื่องเธอจะเข้าใจเมื่อโตขึ้น”
ลู่โยวโยวเงยหน้ามองลู่เซิ่นด้วยสายตาสับสน
อันที่จริงช่วงเวลาแห่งความอ่อนโยนระหว่างพี่น้องของพวกเขาหาได้ไม่มากนัก
ลู่เซิ่นชอบเล่นกับลู่โยวโยว แต่เธอก็ชอบนำปัญหาต่างๆมาให้เขาปวดหัว
แต่ลู่เซิ่นยังคงห่วงใยน้องสาวของเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฉินซีหายตัวไป ทำให้ลู่เซิ่นตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งการสูญเสีย
อาจเป็นการสูญเสียจริงๆ ที่ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าทุกสิ่งรอบตัวเขาตอนนี้มีค่าแค่ไหน
ลู่โยวโยวน้องสาวคนนี้ … แม้ว่าเธอจะเป็นคนเสียงดัง น่ารำคาญ แต่ก็น่ารัก ถึงแม้ว่าเธอจะร้ายกาจไปบ้าง … แต่จากก้นบึ้งของหัวใจเขา ยังคงห่วงใยน้องสาวคนนี้เสมอ
เขาเพียงหวังว่าลู่โยวโยวจะมีความสุข
และตอนนี้ดูเหมือนว่าหลินยี่ … ไม่ใช่คนที่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้
ดังนั้นเขาจึงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมอย่างที่เขาไม่เคยพูดมาก่อน “ลู่โยวโยว เธอชอบหลินยี่จริงไหม?