บทที่ 1278 ไปยังโบสถ์
ลู่เหวยพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนใบหน้าของสูหยิงดูจะขัดๆขืนๆ แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้ารับ
ลู่เซิ่นไม่ได้ลุกขึ้นยืนในทันที แต่กลับจับจ้องไปที่ทั้งสอง ก่อนจะพูดเอ่ย “ที่ผมเลือกแต่งงานกับฉินซีแต่ประกาศว่าเจ้าสาวเป็นเวินจิ้งมันมีเหตุผลที่ผมบอกไม่ได้”
สูหยิงขมวดคิ้วทันที “บอกไม่ได้”
สีหน้าของลู่เซิ่นสงบนิ่ง “ครับ แม้แต่พ่อกับแม่ ผมก็บอกไม่ได้”
ความโกรธแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าของสูหยิง ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่แล้วก็ถูกลู่เหวยคว้ามือเอาไว้
เขาหันหน้ามามองสูหยิง
ราวกับว่ากองเพลิงในใจของสูหยิงถูกดับด้วยก๊าซออกซิเจนอย่างไรอย่างนั้น โดยมันค่อยๆมลายหายไป
ช่วงเช้าของวันนี้ เธอเห็นว่าลู่เซิ่นคอยระมัดระวังตัวเองแม้กระทั่งกับเธอ มันทำให้สูหยิงรู้สึกขมขื่นและเจ็บปวด
ลู่เหวยสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนสูหยิงก็ไม่คิดจะปิดบังลู่เหวย เธอเอ่ยปากตัดพ้อ บอกว่าลู่เซิ่นไม่แม้แต่จะเชื่อใจเธอ มันทำให้เธอรู้สึกแย่เอามากๆ
ลู่เหวยครุ่นคิดและพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะอธิบาย ท้ายที่สุดก็อธิบายไปว่าสิ่งที่ลู่เซิ่นทำไปทั้งหมด ก็เพื่อจะได้จัดงานแต่งงานกับฉินซี
แรกเริ่มสูหยิงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก แต่แล้วก็กลับไปรู้สึกเสียใจอีกครั้ง
“อย่าโทษเด็กๆเรื่องที่ไม่ได้บอกคุณเลย” ลู่เหวยพูด “ตอนนั้นเป็นคุณเองที่เอาแต่ไล่คนโน้นคนนี้ตามอำเภอใจ มันแน่นอนอยู่แล้ว ที่ลูกจะไม่เปิดใจให้คุณอีก”
สูหยิงสำลักในคำพูดของลู่เหวยแต่ก็ไม่รู้จะแย้งกลับไปอย่างไร
“ผมเห็นว่าวันก่อนแม่ดูจะไม่อยากเข้าใจเรื่องราวซักเท่าไหร่” ลู่เซิ่นพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง “ลู่เซิ่น เองก็โตมาแล้ว ตอนนี้ลูกไม่อยู่ในการควบคุมของเราอีกแล้วนะ อีกอย่าง สิ่งที่ลูกทำก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ลูกก็แค่อยากอยู่กับคนที่รัก ถ้าคุณอยากจะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราและบริษัทลู่ สิ่งเดียวที่คุณทำได้ ก็คือสนับสนุนในสิ่งที่เขาเลือก ผลของการเข้าไปก้าวก่าย คือตัดสะพานการสื่อสารระหว่างพวกคุณ ทำให้รอยแยกของทั้งสองคนยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ”
ตอนแรกดูท่าสูหยิงจะไม่ยอมรับสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเธอก็ค่อยๆลดตามองต่ำและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ลู่เหวยรู้ดีว่าตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว
และแน่นอนว่าเขาเองก็รู้เช่นกันว่านิสัยของสูหยิงไม่สามารถเปลี่ยนได้ในทันที แต่การที่ทำให้เธอตระหนักได้ มันก็ยากมากพอแล้ว
แท้จริงแล้ว คำสารภาพของลู่เซิ่นก็เกี่ยวกับความไว้ใจในตัวพวกเขา ไม่ใช่ว่าสูหยิงไม่เข้าใจ เมื่อเทียบกับการต้องหาเหตุผลมาหลอกตัวเอง การที่ลู่เซิ่นพูดออกมาเช่นนี้ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ภายใต้สายตาเตือนสติของลู่เหวยสูหยิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
เผยให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของลู่เซิ่น “เพราะอย่างนั้น ผมขอรบกวนพ่อกับแม่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หลังจากที่ออกจากโบสถ์นี้ไป จะไม่มีใครรู้ ว่าคนที่ยืนต่อหน้าบาทหลวงข้างๆผมและพูดว่ารับค่ะ คือฉินซีตกลงไหมครับ”
เห็นได้ชัดว่าสูหยิงกำลังกลั้นความเจ็บปวด แต่ลู่เซิ่นก็ได้พูดออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาจะไม่อธิบายอะไร มันจึงดูจะไม่สมเหตุสมผลมากนักที่เธอจะถามต่อ ทำได้เพียงพยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนักที่ด้านหลังลู่เหวย
ในที่สุด ใบหน้าของลู่เซิ่นก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มของความพอใจ เขายกตัวลุกขึ้นยืนพลางหันหน้ามองไปนอกโบสถ์
“ได้เวลาแล้ว”
ราวกับเป็นการยืนยันคำพูดของเขา ประตูโบสถ์ทั้งสองข้างค่อยๆเปิดออก
เวลาย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ที่ห้องแต่งตัวของฉินซี
ความซับซ้อนในการใส่ชุดนั้นมากพอๆกับความงดงามของชุดแต่งงาน แม้จะได้ถังย่ามาช่วย แต่ตั้งสองก็ยังคงยุ่งจนเหงื่อตก
ทั้งคู่ไม่มีประสบการณ์เรื่องงานแต่งงานมาก่อน โดยหลังจากที่สวมชุดเจ้าสาวได้สำเร็จ ก็เพิ่งระลึกได้ว่าฉินซียังไม่ได้แต่งหน้า
ทั้งสองยิ้มให้กัน พลางหยิบเครื่องสำอางขึ้นมา
เครื่องสำอางที่ลู่เซิ่นเตรียมไว้ให้ค่อนข้างครบถ้วน ฉินซีกำลังจะยกมือขึ้นหยิบ แต่กลับถูกถังย่าหยุดไว้
“วันนี้ขอให้มีความสุขกับงานแต่งงานของเธอนะ เจ้าสาว” เธอพูดขึ้นพลางหยิบเครื่องสำอางขึ้นมา
ฉินซียิ้มจางๆ เธอเชื่อฟังในความหมายของเธอ ลดมือลงและหลับตา
ฝีมือการแต่งหน้าของถังย่านั้นเชี่ยวชาญมาก จนฉินซีถึงกับใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าที่บริษัทประชาสัมพันธ์ของเธอ ยังรวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับการแต่งหน้าด้วยหรือเปล่า
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พูดขึ้น “ลืมตาขึ้นได้แล้ว”
ฉินซีส่องกระจกอยู่นาน เธอได้คำตอบในใจแล้วว่าถังย่าน่าจะรวมถึงธุรกิจเกี่ยวกับการแต่งหน้าด้วยจริงๆ
อันที่จริงฉินซีสวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้แต่งอะไรมากมายก็ดูดีได้ ดังนั้นถังย่าจึงไม่ค่อยได้ทำอะไรมากนัก เพียงแค่แต่งเติมเล็กน้อย เพื่อให้ใบหน้าของเธอดูงดงามยิ่งขึ้น
ดูเหมือนว่า ใบหน้าของฉินซีในกระจก งดงามพอที่จะเป็นชนวนให้บ้านเมืองล่มสลายเลยก็ว่าได้
“มัวแต่ดูอยู่นั่นแหละ” น้ำเสียงของถังย่าฟังดูยิ้มๆ “จวนจะได้เวลาแล้วนะ มาสวมผ้าคลุมหน้าแล้วเตรียมตัวไปกันเถอะ”
ใบหน้าของฉินซีเผยให้เห็นรอยยิ้มเคอะเขิน
ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับทุกคน
ถังย่าที่ปกติมักจะดูเหมือนหุ่นยนต์ แต่วันนี้กลับหยอกเย้าตลอดทั้งวัน ราวกับพยายามซ่อนความคิดที่แท้จริงของเธอผ่านเรื่องตลก ส่วนลู่เซิ่นที่ปกติมักจะพูดเพียงแค่รอบเดียวโดยไม่มีการเน้นย้ำรอบสองอย่างเด็ดขาด ทว่าวันนี้เขากลับเดินเตร็ดเตร่ที่ประตูห้องฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนฉินซีเองก็เช่นกัน จากนิสัยที่เป็นคนเด็กขาด วันนี้กลับกลายเป็นหญิงสาวตัวน้อยแสนอ่อนโยน ที่เมื่อถูกแซวก็ไม่รู้จะแย้งกลับอย่างไร ได้แต่ยิ้มเขินและหน้าแดงเท่านั้น
หรือนี่จะเป็นเสน่ห์ของงานแต่งงานกันนะ
ดูเหมือนทุกคนจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติในขณะนี้
ฉินซีหันหลังกลับและให้ถังย่าสวมผ้าคลุมหน้าให้อย่างว่านอนสอนง่าย
หลังจากสวมผ้าคลุมแล้ว ความไม่ปกติของงานแต่งงานในครั้งนี้ก็ปรากฏเด่นชัดขึ้น
มันแตกต่างจากผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวในชุดตะวันตกที่เป็นเหมือนปีกจักจั่น ไม่รู้ว่าเส้นด้ายเหนือศีรษะของฉินซีทำมาจากอะไร มันมีน้ำหนักเบาแต่กลับปิดบังใบหน้าของฉินซีได้อย่างมิดชิด แม้แต่ถังย่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็เห็นเพียงเงารางๆและเดาไม่ออกว่าเป็นฉินซี
ทั้งสองคนรู้ดีว่าทำไมลู่เซิ่นถึงเลือกผ้าคลุมหน้าที่ทำจากวัสดุนี้ แต่ก็ยังแอบบ่นอุบอิบในใจ
ถ้าจะเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ใช้ชุดแต่งงานแบบจีน และใช้ผ้าคลุมศีรษะคลุมให้มิด แบบนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าคนที่อยู่ด้านในคือใคร
แต่ถึงจะบ่นอย่างนั้นก็เถอะ ฉินซีก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยการประคับประคองของถังย่า
ราคาของชุดแต่งงานที่สวยงามนี้ค่อนข้างแรง ชายกระโปรงบานออกจนแทบจะไม่สามารถผ่านประตูได้ ตลอดทางมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนคอยช่วยเหลือ จนกระทั่งฉินซีเดินไปถึงสกู๊ตเตอร์ได้อย่างราบรื่น
ทันทีที่สกู๊ตเตอร์เริ่มเคลื่อนที่ จู่ๆหัวใจของฉินซีก็เต้นตาม
ระหว่างทางนับตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนถึงตอนนี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายทำให้เธอชุลมุนวุ่นวายไปหมด จนถึงตอนนี้ จากความวุ่นวายก็ค่อยๆสงบลง
“ฉันกำลังจะแต่งงานแล้ว”
จู่ๆความคิดนี้ก็พุ่งเข้ามาในหัวและครอบงำฉินซี
หลังจากที่รู้สึกตัว เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา
อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ฝ่ามือและปลายจมูกมีเหงื่อออก ความถี่ในการกระพริบตาเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ฉินซีกำลังประเมินตัวเองในใจ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา