Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1264

ตอนที่ 1264

บทที่ 1264 ลางบอกเหตุพายุฝนที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้

คล้ายกับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นที่ข้างหูของฉินซี ทำให้ความคิดอันงดงามในสมองของเธอกระจายหายไปจนหมดสิ้น

เธอถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันที ความรู้สึกบนใบหน้ากลายเป็นความระแวดระวังอย่างมาก “คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”

แววตาของลู่เซิ่นยังคงจับจ้องที่ฉินซีเขม็ง จากสายตาดูแล้วคล้ายกับหมาป่าที่พบกับเหยื่อแล้ว

บนใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้ม คล้ายไม่ยิ้มเอาไว้ ตอบอย่างเชื่องช้าว่า “ที่นี่เป็นบ้านของผม ผมไม่สามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้หรือ”

ฉินซีถูกย้อนกลับ ยังไม่ทันจะพูดอะไร ลู่เซิ่นก็เขยิบเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง

“คุณไม่คิดหรือว่า ประโยคนี้ น่าจะเป็นผมที่ถามคุณ ถึงจะถูก ฉินซี คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

การขยับเข้ามาใกล้อย่างกะทันหันของเขา ทำให้เส้นประสาทของฉินซีตึงเครียดยิ่งขึ้น เธอฝืนหายใจเข้าครั้งหนึ่ง บังคับให้ตัวเองเงยหน้าสบตากับลู่เซิ่น

สาเหตุที่เธอเลือกเดินเข้ามาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ก็เป็นเพราะแน่ใจแล้วว่า ลู่เซิ่นไม่อาจจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในคืนวันนี้ได้

ถ้ารู้แต่แรกว่าก่อนแต่งงานวันหนึ่ง ลู่เซิ่นยังมาที่นี่ได้อย่างสบายอกสบายใจ อย่างนั้นเธอจะต้องเลือกที่จะไม่ทำให้ใครแตกตื่น ลักลอบเข้ามาเงียบๆโดยไม่ให้ใครรู้แน่นอน

นัยน์ตาของลู่เซิ่นดำสนิท ฉินซีมองอยู่นาน ก็รู้สึกเหมือนว่าวิญญาณของตัวเองจะถูกเขาพาไป

ดังนั้นเธอแทบจะหลบหลีกสายตาอย่างสุดความสามารถ

“ฉันแค่ผ่านมา” เธอพยายามให้น้ำเสียงของตัวเองเย็นชาเล็กน้อย “ถ้าหากว่าคุณไม่ต้อนรับฉัน ฉันสามารถจากไปในตอนนี้ได้เลย”

เธอเอ่ยจบแล้ว ก็ทำท่าทำทางจะจากไป แต่ข้อมือกลับถูกคว้าเอาไว้แน่น

“คุณคิดจริงๆหรือว่า บ้านผมเป็นโรงแรมน่ะ คุณนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปหรือ” น้ำเสียงของลู่เซิ่นเจือไปด้วยแววหยอกล้อหลายส่วน แต่เรี่ยวแรงที่เผยออกมาจากมือบอกกับฉินซีว่า เขาไม่ได้สงบเยือกเย็นเหมือนกับที่เห็นแบบนั้น

“ลู่เซิ่น” ฉินซีเม้มริมฝีปาก หันหน้าไปมองเขา “คุณปล่อยมือ”

แต่คำสามคำนี้เหมือนกับว่าแทงถูกจุดที่เจ็บปวดสักแห่งของลู่เซิ่น เดิมรอยยิ้มเสแสร้งที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเขาก็เลือนหายในทันที สีหน้าเย็นชาลง แฝงไปด้วยความอำมหิตอยู่หลายส่วน เขาไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือ แต่กลับเขยิบเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่งด้วย มองเธอตั้งแต่บนลงล่างอย่างใกล้ชิด “ปล่อยมือหรือ ฉินซี คุณบอกให้ผมปล่อยมือหรือ”

ความเจ็บปวดบนข้อมือทำให้ฉินซีตื่นตัวอยู่หลายส่วน เธอเห็นอารมณ์ความรู้สึกที่ผิดปกติของลู่เซิ่นได้อย่างชัดเจนแล้ว ก็ถอนหายใจ “พวกเรามาคุยกันเถอะ”

เดิมเธอคิดว่า อย่างไรคนที่โกรธก็มีแต่ตัวเองถึงจะถูก คิดไม่ถึงเลยว่าตัวเองกลับต้องหันกลับมาเอาใจลู่เซิ่น

ลู่เซิ่นจ้องเธอเขม็งอยู่หลายวินาที เหมือนกับยืนยันว่าเธอเป็นจริงๆ

หลังจากนั้นสองสามวินาที ก็ค่อยๆผ่อนแรงลง ถอยไปด้านหลัง

แต่ว่าไม่ได้ปล่อยมือออก คล้ายกับรู้สึกว่า ถ้าตัวเองปล่อยมือ ฉินซีจะหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น

“คุณไม่มีอะไรจะอธิบายกับฉันหรือ”

ทั้งสองคนเกือบจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกัน

ความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างแปลกๆทำให้ทั้งสองคนชะงัก บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา

บรรยากาศในสถานการณ์จึงไม่ได้ตึงเครียดขนาดนั้นอีกแล้ว

คราวนี้ลู่เซิ่นเป็นฝ่ายปล่อยมือออกเอง เดินไปยังโซฟา เชิดคางขึ้น “นั่งสิ พวกเราค่อยๆคุยกัน”

สำหรับฉินซีแล้ว บรรยากาศที่ผ่อนคลายลงย่อมเป็นสิ่งที่ได้มาอย่างไม่คาดฝัน จึงพยักหน้าตอบรับ เดินตามลู่เซิ่นไปถึงโซฟาด้านข้าง และนั่งลง

แต่เมื่อนั่งลงแล้ว เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ลู่เซิ่นอยู่ใกล้ตัวเองเกินไปแล้ว

ในฐานะของคนที่จะแต่งงานกับคนอื่นในเร็วๆนี้ อย่างน้อยลู่เซิ่นก็น่าจะรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลกับตัวเองถึงจะถูกไม่ใช่หรือ

แต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้อะไร ยังคงนั่งชิดกับตัวเองเหมือนแต่ก่อน

ฉินซีรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่ก็กลัวว่า ถ้าตัวเองพูดสิ่งเหล่านี้ออกไป จะทำลายความกลมเกลียวที่ได้มาอย่างยากลำบากในตอนนี้ลง ดังนั้นจึงอดทนเอาไว้ สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

คาดว่าลู่เซิ่นก็น่าจะมีความรู้สึกเดียวกัน ดังนั้นแม้ว่าบนใบหน้าของทั้งสองคนจะถูกเขียนด้วยคำถามที่ยุ่งเหยิงเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าในใจมีคำถามเก็บซ่อนเอาไว้มากเท่าไร แต่ภายในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบงันในชั่วขณะหนึ่ง

คล้ายกับว่าระหว่างพวกเขาล้วนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนรักกันธรรมดาสองคนที่ไม่ได้เจอกันนาน ต้องการจะจ้องมองฝ่ายตรงข้ามให้สมใจถึงจะพอ

แต่ว่า……..เวลาของฉินซีมีจำกัด บรรยากาศที่มองดูแล้วอบอุ่น มักจะเป็นภาพลวงตาอย่างหนึ่ง

มักจะต้องถูกทำลายลง

“ขอให้มีความสุขในวันแต่งงานนะ” เห็นอยู่ชัดๆว่าในใจของฉินซีมีคำถามเชิงตำหนิที่อยากจะเอ่ยออกมาอยู่เต็มไปหมด แต่เมื่อคำพูดถึงริมฝีปากแล้ว กลับกลายเป็นประโยคอวยพรที่ไม่จริงใจประโยคหนึ่ง

แต่เมื่อประโยคนี้ของเธอถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของลู่เซิ่นก็มืดมนลง

“ฉินซี คุณมีอะไรอยากจะถามผมไหม” ลู่เซิ่นเงียบขรึมอยู่หลายวินาที ไม่ได้ตอบรับคำอวยพรของฉินซี แต่เอ่ยปากถามคำถามแบบนี้ออกมาคำถามหนึ่ง

ฉินซีชะงัก

ทำไมจะไม่มีกัน เธอมีสิ่งที่อยากถามมากมาย มากเสียจนกระทั่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะเลือกคำถามใดมาเอ่ยถามก่อน

แต่ลู่เซิ่นคล้ายกับไม่มีความอดทนแล้ว

เขาไม่รอให้สมองของฉินซีเลือกเอ่ยคำถามแรกที่เหมาะสมที่สุดออกมา ก็เอ่ยพูดเองเสียอย่างนั้น

“ฉินซี ผมรู้หมดแล้ว” ลู่เซิ่นจ้องมองนัยน์ตาของฉินซี เอ่ยพูดคำต่อคำ

สำหรับคำพูดที่ไม่มีหัวไม่มีหางของเขาประโยคนี้แล้ว ฉินซีขมวดคิ้วอย่างสงสัยขึ้นมาก่อน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของลู่เซิ่นแล้ว ในใจของเธอก็มีการคาดเดาที่เหมือนกับสายฟ้าผ่าลงในใจ

สิ่งที่ลู่เซิ่นรู้ก็คือ……องค์กรหรือ

นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคิดได้เลย ดังนั้นบนใบหน้าจึงมีความตื่นตระหนกพาดผ่านอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่ความรู้สึกตื่นตระหนกนี้กลับถูกลู่เซิ่นมองเป็นหลักฐานแห่งความละอายใจ นัยน์ตาเขาอับแสงลง

“คุณ……คุณรู้อะไร” ฉินซีหวังถึงความโชคดีที่ไม่คาดฝันในใจ แต่สุดท้ายแล้วก็เอ่ยปากถาม

ลู่เซิ่นหัวเราะเยาะเสียงเบา “คุณคิดว่าผมจะรู้อะไรได้ล่ะ เมื่อรู้ว่าคนที่ผมเคยรัก กลับกลายเป็นหน่วยข่าวกรองขององค์กรใต้ดิน ก็ทำให้ผมประหลาดใจไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ”

ฉินซีคาดไม่ถึงว่า ลู่เซิ่นจะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจนแบบนี้ ชั่วขณะจึงไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไร รู้เพียงแต่ว่า อาศัยสัญชาตญาณเอ่ยถามออกไปอย่างงงงวย “ทำไมคุณ…….”

“ผมรู้ได้อย่างไรใช่ไหม” ลู่เซิ่นเรียกได้ว่ามีน้ำใจเอ่ยเสริมประโยคคำถามนี้ของฉินซีให้ชัดเจนด้วย “เรื่องแบบนี้ ยังต้องขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่รักของคุณ ถังย่าไง”

ความผิดปกติในนัยน์ตาของฉินซีชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม

เขารู้จักตัวเอง รู้จักถังย่า อย่างนั้นเขา…..ยังรู้อะไรอีก

เหมือนกับมองออกถึงความคิดของฉินซี ลู่เซิ่นเอ่ยต่อว่า “ผมไม่เพียงแต่รู้จักพวกคุณอย่างชัดเจน ยังรู้อีกว่า ผู้นำของพวกคุณชื่อว่า จ้านเซิน”

คราวนี้จิตใจที่มั่นคงของฉินซีตะลึงบ้างแล้ว เงยหน้ามองไปทางลู่เซิ่นในทันที

การที่ลู่เซิ่นรู้ข้อมูลผิวเผินทั้งหมดขององค์กรนั้น เธอก็สามารถคาดเดาได้ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้นำตระกูลลู่ แม้แต่ข้อมูลในระดับนี้จะไม่มีก็ไม่ใช่

แต่ว่าชื่อของจ้านเซิน…….แม้ว่าจะเป็นภายในองค์กร ล้วนไม่ใช่ข้อมูลที่เปิดเผย ลู่เซิ่นรู้ได้อย่างไรกัน

“ดูเหมือนคุณจะมีสิ่งที่อยากถามผมมากมาย” สีหน้าของลู่เซิ่นสงบเยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าหากว่าหลินหยังอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย เขาต้องรู้แน่นอนว่า ความสงบแบบนี้ของลู่เซิ่น เป็นลางบอกเหตุถึงพายุฝนที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้

ตอนนี้ฉินซีกลับไม่ความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของลู่เซิ่นที่ควรมี เพราะข้อมูลที่ได้รับนั้นกะทันหันเกินไป จึงทำเพียงแค่มองลู่เซิ่น และพยักหน้าให้

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท