เมื่อได้ยินกฎเกณฑ์ที่มากมายในองค์กรของฉินซีที่ต้องปฏิบัติตาม เขาเกิดหัวชาขึ้นมาในทันที
ฉินซีสบประสานเข้ากับสายตาที่ตกใจอึ้งคู่นั้น พลันเม้มริมฝีปาก ด้วยสีหน้าที่ยากลำบากใจ “ฉันเคยลองแล้ว แต่องค์กรไม่ยอมปล่อยฉันไป”
เมื่อนึกถึงความดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนของจ้านเซิน ฉินซีเกิดปวดหัวขึ้นมา
ปู่เช่ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะซับซ้อนถึงเพียงนี้ “ถ้างั้นตอนนี้พวกเธอถือว่าหนีออกมาใช่ไหม?”
เขาคิดว่าฉินซีเหมือนกับครั้งก่อน เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บจากการทำภารกิจ นึกไม่ถึงเลยว่าจะด้วยเหตุผลนี้
“อืม”
ฉินซีพยักหน้าอย่างหนักใจ
“ถ้างั้นต่อจากนี้พวกเธอตัดสินใจจะเอายังไง? คนกลุ่มนั้นยังตามล่าพวกเธออยู่ใช่ไหม?”
ปู่เช่กล่าวถามด้วยความห่วงใย
“ตอนนี้คนในองค์กรกำลังไล่ล่าเราอยู่ ทีแรกพวกเราคิดจะมุ่งไปทางทิศเหนือ หนีออกไปจากที่นี่ หาสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเราอาศัยอยู่ รอให้ทุกอย่างเงียบก่อนแล้วค่อยออกมา แต่ไม่คิดเลยว่าลู่เซิ่นจะได้รับบาดเจ็บ เพราะงั้นถึงต้องอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราว”
ฉินซีบอกเล่าการตัดสินใจของเขาออกไปอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าเธอเองก็รู้สึกอันตรายอยู่บ้าง แต่ว่าบาดแผลของลู่เซิ่นหนักเกินไป พวกเขาจำต้องอยู่ที่นี่
ปู่เช่จับจ้องเธอด้วยความสงสาร “เธอวางใจเถอะ ฉันจะรักษาบาดแผลของลู่เซิ่นให้หายโดยเร็วที่สุด ให้พวกเธอได้ออกเดินทางแต่โดยเร็ว”
เขากล่าวอย่างหนักแน่น ทำให้ฉินซีซาบซึ้งใจอย่างมาก
“ขอบคุณนะคะ”
สองปีนี้เพราะเธอความจำเสื่อมจึงไม่ได้มาเยี่ยมเธอ แต่เขากลับยังดีต่อเธอเช่นเคย ความจริงใจนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง
ปู่เช่ตบบ่าของเธอ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ยัยเด็กบ้า ต่อจากนี้หากต้องการความช่วยเหลืออะไร ขอเพียงแค่ฉันสามารถช่วยได้เธอว่ามาได้เลย”
เขาเคยได้ฟังเธอเล่าเรื่องในอดีตของเธอ หญิงสาวที่บอบบางเช่นนี้ อายุยังน้อยแต่ต้องแบกรับเผชิญหน้ากับเรื่องราวมากมาย ช่างน่าสงสาร
“โอเค ไม่พูดเรื่องน่าเศร้าพวกนี้แล้ว เราทำอาหารกันก่อนเถอะ ค่อยคุยกันตอนทานอาหารก็ได้”
ปู่เช่เลือกที่จะเลี่ยงหัวข้อ ไม่อยากที่จะให้ฉินซีเสียใจไปมากกว่านี้
แม้ว่าตอนนี้ได้หนีออกมาแล้ว ก็ต้องก้าวเดินไปข้างหน้า
……
ในเวลาเดียวกัน จ้านเซิ่นและถังย่ากำลังตามล่าตัวฉินซีและลู่เซิ่น
พวกเขาแยกออกเป็นหลายทีมไล่ตรวจสอบไปทุกเส้นทาง
แต่ฉินซีวางกับดักเอาไว้ตลอดทาง เธอใช้ความสามารถทุกอย่างที่เรียนรู้ในองค์กรมาใช้กับจ้านเซิ่น
จ้านเซินบังคับเครื่องยนต์มุ่งไปข้างหน้า บรรยากาศภายในรถกดดันน่าน่ากลัว
ถังย่าจับจ้องทีท่าที่มืดมนของเขา พลันถอนหายใจอย่างเงียบๆ
เธออยากจะบอกให้จ้านเซินปล่อยวาง ต่อให้จับตัวฉินซีกลับมา จุดจบก็ไม่ต่างกัน
แต่ ถังย่ารู้ดี ในเวลานี้ ไม่ว่าเธอจะว่าอย่างไร จ้านเซินก็ไม่มีทางยอม
เมื่อไร้หนทาง ถังย่าได้แต่นั่งอยู่เงียบๆ ที่เบาะข้างคนขับ
เธอรู้สึกเบื่อหน่าย มองออกไปนอกหน้าต่าง
“ปัง!”
เสียงที่ดังลั่น ทำให้ถังย่าตื่นตระหนก
เธอหันหน้าไปทางจ้านเซินเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ ก็ได้พบว่าสีหน้าของจ้านเซินนั้นดำทะมึนมากกว่าเก่า
เครื่องยนต์แล่นอยู่ดีๆ กลับยางระเบิดเสียได้
“ลงรถ”
จ้านเซินกล่าวอย่างโมโห น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการข่มอารมณ์โกรธเอาไว้
ถังย่าเปิดประตูรถ ก่อนเดินตามลงไป
เมื่อเห็นยางรถที่บุ๋มลงไป ถังย่าไม่รู้ว่าควรที่จะพูดอะไร
เธอรู้สึกว่า ตอนนี้จ้านเซินต้องโมโหจนแทบคลั่งตาย
“อย่าใจร้อนไปเลย ฉันจะโทรหาซิวหน่ายซิงเดี๋ยวนี้”
เมื่อสักครู่ที่ออกเดินทาง ต่อให้ตายยังไงซิวหน่ายซิงก็ไม่ยอมขึ้นรถคันเดียวกับพวกเขา เพราะงั้นจึงไปกับจั่วยี
จ้านเซินยืนอยู่อีกด้าน ด้วยความโมโหที่แผ่ซ่านไปทั่ว
เขาขมวดคิ้วแน่น ไม่พูดอะไรสักคำ
ถังย่าหยิบโทรศัพท์ออกมา ต่อสายหาซิวหน่ายซิง “ตอนนี้แกรีบขับรถมาที่ฉันเร็วเข้า ฉันจะส่งโลเคชั่นให้”
ขณะคุยโทรศัพท์ สายตาของเขาแอบเหลือบไปอีกทาง
ทั้งคู่อยู่ห่างกันประมาณหนึ่งเมตร แต่ถังย่ายังคงรู้สึกถึงความมืดมนที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาได้อย่างชัดเจน ทำให้รู้สึกขาอ่อน
จ้านเซินในแบบนี้ทำให้เธอไม่รู้จะอยู่กับเขาอย่างไร
แต่ก่อนจ้านเซินเย็นชามาก แต่นิสัยของเขากลับใจเย็น
ถังย่าไม่เคยเห็นเขาโมโหเท่านี้มาก่อน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าการที่จ้านเซินโมโหเป็นเพราะฉินซี เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะสงสารจ้านเซินหรือสงสารตนเองดี
เธอไตร่ตรองก่อนที่จะเดินเข้าไปที่จ้านเซิน “ซิวหน่ายซิงจะมาถึงในเร็วๆ นี้”
จ้านเซินยืนอยู่ที่เดิมอย่างไร้ปฏิกิริยาใดๆ พลันพยักหน้า “อืม”
เขาจ้องจองล้อรถ กลั้นความโมโหที่อยู่ในใจ
ถังย่าจับมองเขาที่เป็นไข้ใจ ดวงตาดำขลับฉายแววความเจ็บปวด
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “จ้านเซิน ในองค์กรก่อนหน้าก็เคยมีเคสเกี่ยวกับฉินซี ไม่อย่างั้นนาย…..”
ถังย่าลองเชิงเขา แต่ยังไม่ทันได้จบประโยค ก็ถูกจ้านเซินขัดขึ้นอย่างเย็นชา
“เธออยากจะพูดว่าอะไร?”
จ้านเซินจ้องมองเขานิ่ง ดวงตาเข้มแผดเผาด้วยความโกรธ
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถังย่าจะบอกอะไร เพียงแต่เขาตั้งใจใช้วิธีนี้เพื่อหยุดคำพูดของเธอ
หากแต่ ถังย่าไม่อยากจะให้เขาอยู่ในความเจ็บปวดอีกต่อไป
เธอหลับตาลง สูดหายใจเข้า
ถังย่าลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอดูมีความกล้ากว่าเมื่อครู่ไม่น้อย
เธอจับจ้องดวงตาที่ล้ำลึกยากจะหยั่งถึงของจ้านเซิน พลันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “จ้านเซิน พอเถอะ”
ประโยคที่หลุดออก จ้านเซินรูม่านตาขยาย
“พอได้แล้ว!”
จ้านเซินคำราม ไม่อยากจะได้ยินอีก
แต่ถังย่ากลับตัดสินใจ ครั้งนี้ต่อให้เขาร่วงเกินจ้านเซิน เธอก็จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้หมด ไม่เช่นนั้น เธอก็จะอัดอั้นตาย
“ฉินซีไม่ชอบนาย คนที่เธอรักคือลู่เซิ่น ต่อให้นายฆ่าลู่เซิ่นให้ตาย เธอก็ไม่มีวันชอบนาย จ้านเซิน นายตื่นเถอะ นาย…..”
ถังย่าเตือนสติด้วยความหวังดี เธอไม่หวังให้จ้านเซินมาชอบเธอตอบอีกแล้ว แต่เธอไม่ต้องการเห็นคนที่เธอรักทนทุกข์กับความรัก
เพราะถังย่าเป็นหนึ่งในนั้น เพราะงั้นเธอถึงเข้าใจดี รสชาติของความรักที่ไม่สมปรารถนานั้นทุกข์ทนขนาดไหน
เธอยอมที่จะให้จ้านเซินเป็นหุ่นยนต์ที่เย็นชา ไม่รักอะไรทั้งนั้น เป็นคนที่เห็นแก่ตัว ก็ไม่อยากที่จะเห็นเขาเป็นเช่นนี้
หากแต่ ไม่ทันจบคำของถังย่า ก็ถูกจ้านเซินขัดขึ้นเสียก่อน
ถังย่าเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ใบหน้าแดงก่ำ
เธอก้มหน้าลง จ้องมองมือหนาที่อยู่ตรงลำคอของเธอ ดวงตาอำพันประกายไปด้วยหยดน้ำตา
ถังย่าไม่คิดเลย จ้านเซินจะลงมือกับเธอเพียงเพราะประโยคเดียว
เขาคิดที่จะฆ่าเธอด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ?
ถังน่าเจ็บจี๊ดในใจ ใบหน้าที่งดงามเผยรอยยิ้มแห่งการเยาะเย้ยตนเอง “วันนี้ต่อให้ฉันตาย ฉันก็จะพูด จ้านเซิน เลิกฝันได้แล้ว นายไม่มีทางได้ฉินซีมาครอบครอง ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทาง”
เธอกล่าวอย่างโมโห ด้วยความเกลียดชังเล็กน้อ