Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – บทที่ 1572 การสะสางครั้งสุดท้าย

บทที่ 1572 การสะสางครั้งสุดท้าย

หลังจากที่เสียงของจ้านเซินสิ้นสุดลง การแสดงออกทางสีหน้าของฉินซีกับลู่เซิ่นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีขึ้นมาเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าเพื่อที่จะได้เห็นการแสดงออกเช่นนี้ของทั้งสองคนนี้ จ้านเซินจึงไม่ได้ให้เวลาพวกเขาคุยกันอีกต่อไป เขายื่นมือออกมาถอดแว่นตาดำของตัวเองออก แล้วพูดขึ้นเสียงว่า “พอแล้ว ควรเริ่มได้แล้ว ก็เริ่มเลยเถอะ พวกเราอย่าเสียเวลากันอีกเลย”

ทันใดนั้นฉินซีที่กำลังจับมือของลู่เซิ่นอยู่ก็ออกแรงเล็กน้อย

ลู่เซิ่นปลอบใจด้วยการตบหลังมือของเธอ แล้วตอบรับไปว่า “โอเค งั้นก็เริ่มเลยเถอะ คนที่นายพามาด้วยในวันนี้มีไม่มาก คิดว่า……นายคงอยากจะลงสนามเองใช่ไหม?”

จ้านเซินพยักหน้า “ใช่ เราอย่ามาแข่งกันในสิ่งที่มันไร้ประโยชน์เหล่านั้นเลย ในเมื่อจะสะสางให้มันจบสิ้นกันแล้ว งั้นก็ให้มันเป็นเรื่องระหว่างเราสองคนเถอะ”

ไม่มีใครรู้ว่าจ้านเซินประสบอะไรมาบ้างในช่วงสองวันที่ผ่านมา

ความบ้าคลั่งและความโกรธเกรี้ยวจากการที่หาฉินซีไม่พบในช่วงเวลานั้นก่อนหน้านี้ก็เย็นลง แล้วกลายเป็นความเจ็บปวดในทันทีเมื่อได้เห็นวิดีโอที่ฉินซีกับลู่เซิ่นส่งมา

ความบ้าคลั่งพุ่งเข้าใส่ทำให้วิงเวียนศีรษะ แต่ความเจ็บปวดทำให้หัวสมองปลอดโปร่ง

จ้านเซินเริ่มวางแผนอย่างจริงจังสำหรับการสะสางครั้งสุดท้ายนี้

เขาเคยคิดหลายวิธีมาก ใช้อิทธิพลขององค์กรโจมตีบริษัทลู่ซื่อ ตอนที่บริษัทลู่ซื่ออยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แล้วให้ลู่เซิ่นต้องเลือกระหว่างฉินซีกับบริษัทลู่ซื่อ หรือว่าเหมือนกับครั้งที่แล้ว นำคนกลุ่มหนึ่งไปต่อสู้กับเขา ซึ่งจ้านเซินยังคงมั่นใจในกำลังการต่อสู้ของคนในองค์กรมาก แม้ว่าลู่เซิ่นจะมีเวลาสองวันในการเตรียมตัว แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถต่อสู้กับตัวเองได้ ต่อหน้าต่อตาลู่เซิ่น เขาจะพาตัวฉินซีไปอีกครั้ง และให้ฉินซีเบิกตามองดูลู่เซิ่นพ่ายแพ้ไปเป็นครั้งที่สอง เธอจะสูญเสียความเชื่อใจที่มีต่อเขาหรือไม่?

แต่เขามักจะรู้สึกว่าวิธีการเหล่านี้มีบางอย่างผิดปกติจนพูดไม่ออก ดังนั้นสองวันที่ผ่านมา เขาจึงยังไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้

ตอนที่ได้เห็นจากในข่าวว่าลู่เซิ่นกับฉินซีประสานมือกันปรากฏตัวอยู่ที่บริษัทลู่ซื่อและทั้งสองคนก็ขมวดคิ้วยิ้มแย้มกันซึ่งล้วนเป็นการแสดงความรักต่อกัน เขาก็พุ่งตรงไปอยู่ตรงหน้าสองคนนั้น แล้วใช้กำลังที่แข็งแกร่งขององค์กรแยกทั้งสองคนออกจากกกันอย่างฮึกเหิม

แต่เขาก็รู้และเคยประสบมาแล้วเช่นกัน คำพูดเช่นนี้ แม้ว่าฉินซีจะกลับมาอยู่เคียงข้างตนเองแล้ว แต่ก็ไม่ได้เต็มอกเต็มใจเลย

——เต็มอกเต็มใจอย่างนั้นเหรอ?

เมื่อเองตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ จ้านเซินก็อดไม่ได้ที่จะอยากหัวเราะออกมาเล็กน้อย

ถึงตอนนี้ เขาก็รู้แล้วว่า ฉินซีจะไม่สามารถกลับมาอยู่เคียงข้างตนเองได้อย่างเต็มอกเต็มใจอีกแล้ว

แต่ถึงแม้จะเป็นร่างที่ไร้วิญญาณ เขาก็ต้องนำตัวเธอมาอยู่เคียงข้างตนเอง

และถึงแม้ว่าจะคิดอย่างนั้น จ้านเซินก็ยังคงระงับอารมณ์ที่ฮึกเหิมของตนเองเอาไว้ รักษาคำมั่นสัญญาและรอคอยอีกสองวัน

ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย ถังย่าที่รู้เพียงแค่เรื่องภายใน ต่างก็รู้สึกงงงันกับความอดทนที่เป็นประวัติการณ์ของจ้านเซิน

แต่จ้านเซินเองก็ไม่สามารถยอมรับได้ สาเหตุที่เขาทำอย่างนี้ ยังเป็นเพราะว่าความหวังเพียงเล็กน้อยที่อยู่ในใจของเขากำลังเลือนรางลงไปแล้ว

……ถ้าตัวเองรักษาสัญญาเพื่อผลที่จะได้รับหลังจากที่รอมาแล้วสองวันได้ เธอจะเต็มใจมากกว่านี้บ้างหรือไม่?

แต่ทว่าความอดทนเพียงเล็กน้อยในครั้งสุดท้ายของเขาได้ถูกความโกรธแค้นพังทลายไปแล้วตอนที่ได้รู้ความเคลื่อนไหวของฉินซีกับลู่เซิ่น

คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะพาลู่เซิ่นมาถึงสถานที่ที่ตัวเองกับเธอเคยมาดูดาวด้วยกันอย่างไม่ยี่หระขนาดนี้?

เมื่อจ้านเซินตระหนักได้ว่าความโกรธแค้นของตัวเองไม่ปกติธรรมดา ตัวเองจึงได้พาคนสองสามคนนั่งรถมุ่งไปที่ภูเขาลูกนั้น

แต่ทว่าทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกที่มีสติปัญญารู้ตื่นขึ้นมา

แท้ที่จริงแล้วนี่คือวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการชำระสะสางเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

เขากับลู่เซิ่น เพียงสองคนเท่านั้น กำลังคนกำลังทรัพย์และผู้หนุนหลังที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น ที่จะทำการประลองฝีมือกันอย่างจริงจังอยู่ในสนาม

ผลแพ้ชนะที่ออกมาด้วยวิธีนี้ ก็คือผลลัพธ์ที่โปร่งใสที่สุด เมื่อแสดงต่อหน้าฉินซี มันจะทำให้เธอจำเป็นต้องจากไปพร้อมกับตัวเองแต่โดยดี

ไม่ใช่ว่าจ้านเซินจะมั่นใจในตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่เขากับลู่เซิ่นเคยประมือกันแล้ว แม้ว่าลู่เซิ่นก็เคยเรียนวิชาหมัดมวยมาแบบจริงๆจังๆแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับจ้านเซิน ฝีมือของพวกเขายังคงห่างชั้นกันมากจริงๆ เรียกได้ว่า แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะชนะเลย

จ้านเซินไม่ได้รู้สึกว่าการประลองฝีมือที่มีกำลังแตกต่างกันมากแบบนี้จะไม่ยุติธรรมเลย ถึงอย่างไรเสียลู่เซิ่นเองก็ไม่เคยพูดว่าต้องการจะจบเรื่องนี้ยังไง ในความเห็นของจ้านเซินแล้ว นี่ก็คือโอกาสสำหรับเขา

ไม่ต้องเป็นไอ้โง่แล้ว

ดังนั้นจ้านเซินจึงอยู่ภายใต้การจ้องมองของฉินซี แล้วก็พูดกับลู่เซิ่นอย่างใจเย็นว่า “แค่เราสองคนเท่านั้น เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ ก็จะถือว่าชนะแล้ว”

สักพักหนึ่งสีของเลือดฝาดที่อยู่บนใบหน้าของฉินซีก็ค่อยๆถอดสีไปจนหมด

……เธอจะบอกว่า ครั้งนี้จ้านเซินพาคนมาแค่นี้ จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเกิดมีมโนธรรมในใจขึ้นหรอก แต่เขามีความคิดเช่นนี้อยู่ต่างหาก

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอกับลู่เซิ่นก็ไม่มีโอกาสชนะอย่างแน่นอน แต่เธอรู้ทักษะของลู่เซิ่นกับจ้านเซินเป็นอย่างดี ในการแข่งขันแบบตัวต่อตัวกับจ้านเซินนั้น ลู่เซิ่นแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสชนะเลย

น่าจะเป็นเพราะว่าพอเห็นสีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนักของฉินซี จ้านเซินถอดนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือออกมาอย่างช้าๆ และหยิบอาวุธในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วหงายมือโนไปให้คนสองสามคนที่อยู่ด้านหลัง พร้อมกับเอ่ยปากพูดออกมาว่า “เพื่อความยุติธรรม ฉันไม่ได้พกอาวุธอะไรติดตัวเลย นาย…แล้วแต่จะใช้หรือไม่ใช้นะ”

การดูถูกเหยียดหยามในน้ำเสียงของเขาทำให้ลู่เซิ่นกำหมัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่เขาไม่ใช่คนที่ถูกยั่วยุแล้วทำเรื่องโง่ๆลงไปได้อย่างง่ายดาย และไม่บุ่มบ่ามพูดอะไรออกมาว่า “ฉันก็ไม่ได้พกอะไรเหมือนกัน” เพียงเพราะการดูถูกเช่นนี้ เขาเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยปากพูดว่า “ในเมื่อนายพูดอย่างนี้ งั้นฉันก็จะปฏิบัติตามคำสั่งนั้นดีกว่าการแสดงความเคารพก็แล้วกัน”

กระเป๋ากางเกงของเขาตุงขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังซ่อนอาวุธอะไรอยู่ และเขาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะหยิบออกมาเช่นกัน

ฉินซีรู้สึกกระวนกระวายอยู่ภายในใจ จึงจับมือของลู่เซิ่นและคิดอยากจะหน่วงเหนี่ยวเขาเอาไว้ และอยากจะเจรจาต่อรองกับจ้านเซินอีกครั้ง แต่ลู่เซิ่นกลับรู้ดีว่า จ้านเซินไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้อีกแล้ว

ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปลอบขวัญฉินซีด้วยการจูบไปบนหน้าผากของฉินซีหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าว คลายมือของฉินซีออก แล้วเดินตามฝีเท้าของจ้านเซินไป

จ้านเซินไม่ต้องมองก็รู้ว่าคนสองคนที่อยู่ข้างหลังเขามีความสนิทชิดเชื้อกันมากแค่ไหน แต่เขากลับมีความรู้สึกอันเป็นสุขที่โหดร้ายอยู่ภายในใจ

——คว้าโอกาสบอกลาเป็นครั้งสุดท้ายไว้ให้แน่นๆเถอะ ถึงยังไงซะอีกสักครู่หนึ่งหลังจากที่ผลการประลองออกมา พวกคุณก็จะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกต่อไปแล้ว

เขาเดินไปไม่ไกลนัก ก็หยุดฝีเท้าอยู่บนพื้นราบซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถเท่าไหร่ แล้วหันไปมองลู่เซิ่น

การแสดงออกบนสีหน้าของลู่เซิ่นสงบเยือกเย็นมาก จนทำให้ผู้คนดูไม่ออกเลยว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่

แต่จ้านเซินไม่ได้มีกะจิตกะใจไปสำรวจความคิดของคนอื่นอย่างสบายใจขนาดนั้น เขาเพียงแต่เชิดคางขึ้นมาอย่างเฉื่อยชา แล้วพูดว่า “อยากจะวอร์มร่างกายสักหน่อยไหม?”

สีหน้าของลู่เซิ่นยังคงไม่เปลี่ยนไป แต่ทว่าทันใดนั้นเขาก็รีบวิ่งไปอยู่ข้างๆจ้านเซินด้วยความเร็วที่เร็วมากจนไม่มีใครมองเห็น แล้วยื่นหมัดหนึ่งหมัดออกไป “ไม่ต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากแล้ว”

ความเร็วของเขาเร็วมาก แต่จ้านเซินกลับดูเหมือนว่าจะไม่ตกใจกลัวเลยสักนิด เขาเพียงแต่หลีกไปข้างหลังด้วยสติที่แน่วแน่ และหลบหมัดของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ในน้ำเสียงยังคงมีความเย็นชาแฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย “ดูเหมือนว่านายจะพร้อมแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ต้องมีเมตตากับนายแล้ว”

ลู่เซิ่นไม่ประสบความสำเร็จในการโจมตีกระบวนท่าแรก แต่ก็ไม่ได้ท้อถอย เขายังมีเวลาโต้ตอบคำพูดเสียดสีของจ้านเซินกลับไปว่า “นายไม่จำเป็นต้องมีเมตตากับฉันหรอก แม้ว่า……ฉันรู้สึกว่านายก็ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนี่ ใช่ไหมล่ะหัวหน้าองค์กรผู้เลือดเย็นไร้ปรานี?”

การแสดงออกทางสีหน้าของจ้านเซินไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะคำพูดของลู่เซิ่น แต่กำลังที่อยู่ในกำปั้นที่ยกขึ้นมานั้น กลับสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์และความรู้สึกของเขาได้อย่างชัดเจน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท