Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – บทที่ 1578 รับประกัน

บทที่ 1578 รับประกัน

ลู่เซิ่นเพียงแต่ยิ้มอย่างไม่แยแสต่อความเงียบของจ้านเซิน แล้วก็พูดต่อไปว่า “ในเมื่อคุณบอกว่า ฉินซีให้เพียงสิ่งของชิ้นเดียวกับคุณ แต่กลับอยากจะแลกสองสิ่งกับคุณ คุณรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม งั้นผมก็จะเพิ่มเบี้ยต่อรองอีกหนึ่งชิ้น”

คราวนี้ฉินซีก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน และหันหน้าไปมองเขา

พวกเขาไม่เคยพูดถึงปัญหานี้มาก่อน และเธอไม่รู้เลยว่าลู่เซิ่นจะทำอะไรต่อไป

ลู่เซิ่นยกมือขวาที่เคยถือมีดเอาไว้เมื่อกี้นี้ขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปหาจ้านเซินและพูดว่า “ผมจะตัดมือข้างหนึ่ง แลกกับอิสรภาพของฉินซี เธอให้ไดอารี่เล่มหนึ่งกับคุณ แลกกับการที่ผมกับเธอจะได้อยู่ด้วยกัน ข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนแบบนี้ ยุติธรรมแล้วหรือยัง?”

พอพูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างก็เงียบกันหมด แม้แต่จ้านเซิน ก็แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมาเล็กน้อย

……ลู่เซิ่นจะตัดแขนข้างหนึ่งของตัวเองเหรอ?

แม้ว่าเดิมทีจ้านเซินจะไม่เข้าใจลู่เซิ่นก็ตาม แต่นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป เขาก็ได้ถูกบังคับให้เข้าใจแล้วเช่นกัน

ลูกชายคนโตของตระกูลลู่ เกิดมาก็เป็นบุตรที่รักและโปรดปรานของสวรรค์ เขาได้รับการศึกษาที่เข้มงวด หลังจากนั้นก็ได้มาคุมบริษัทลู่ซื่อให้ดำเนินกิจการไปอย่างราบรื่นจนถึงปัจจุบัน

แต่ภายในของลู่กลับไม่สงบสุขขนาดนั้นเหมือนกับที่เห็นจากภายนอก แม้ว่าอารองกับอาสามของจ้านเซิ่นจะถูกไล่ออกจากศูนย์กลางของอำนาจแล้วก็ตาม แต่พวกเขายังคงจับจ้องดูทรัพย์สินของบริษัทลู่ซื่อตาเป็นมัน

ลู่เซิ่นจำเป็นต้องรักษาบารมีและความน่าเชื่อถือของตัวเองให้มั่นคง จึงจะสามารถควบคุมบริษัทลู่ซื่อต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง

แต่คนที่ตัดมือไปแล้วข้างหนึ่ง…จะไปเอาบารมีมาจากไหน?

ถ้าเขาทำเรื่องแบบนี้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นพอถูกคนรู้ถึงสาเหตุที่ทำแล้ว แม้ว่าบางคนจะโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟและรู้สึกทอดถอนหายใจด้วยความโมโห แต่ผู้ถือหุ้นคงคิดว่าเขาทำเรื่องที่หุนหันพลันแล่นและจะไม่เอาผลประโยชน์ของบริษัทลู่ซื่อมาเป็นอันดับแรก

นี่คือสิ่งที่ต้องห้ามที่สุดคนที่เป็นประธานรู้ดีอยู่แล้ว

เป็นอย่างนี้ต่อไป รากฐานของบริษัทลู่ซื่อของลู่เซิ่นก็จะต้องสั่นคลอนเป็นแน่

แม้ว่าเจาจะไม่ไปสนใจเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย แต่คนที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์คนหนึ่ง ได้เสียมือข้างหนึ่งและกลายเป็นคนพิการโดยไม่มีสาเหตุไปแล้ว ชีวิตจะยากลำบากมากแค่ไหน ก็เป็นเรื่องยากที่คนปกติจะจินตนาการได้

ดังนั้นจ้านเซินจึงไม่อยากจะเชื่อกับคำที่ลู่เซิ่นพูด

ในความเข้าใจของจ้านเซิน ฉินซีเป็นคนที่สำคัญมาก แต่เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง และสุดท้ายเธอก็เป็นสมบัติของตัวเอง เขาต้องการให้เขาทำร้ายตัวเองเพื่อฉินซี แล้วเอาความมั่งคั่ง สุขภาพ และอนาคตมาแลก มันเป็นเรื่องที่ไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจข้อเสนอของลู่เซิ่น

แต่หลังจากที่ฉินซีกำลังตะลึงงันอยู่ชั่วขณะ ก็หันไปจ้องมองลู่เซิ่นด้วยสายตาถมึงทึง แล้วพูดว่า “ใช้มือขวาของคุณมาแลกกับอิสรภาพของฉันมันหมายความว่าอย่างไร? ลู่เซิ่น คุณอย่าพูดอะไรโง่ๆอย่างนี้นะ!”

แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ตอบอะไรเธอ เขาเพียงแต่เดินไปหาเธอและยิ้มให้เบาๆ แล้วก็หันหน้าไปมองจ้านเซิน และถามอีกครั้งหนึ่งว่า “ข้อตกลงนี้ของผม เป็นอย่างไร?”

จ้านเซินขมวดคิ้วแน่นและมองมาที่เขา

สีหน้าบนใบหน้าของลู่เซิ่นผ่อนคลายมาก ราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกมามันไม่ใช่คำพูดที่สุดยอดอะไรเลย ในสายตาของเขา ก็ถึงขั้นมีความยั่วยุเล็กน้อยอยู่ในนั้นด้วย

เดิมทีจ้านเซินก็สงสัยและไม่ไว้วางใจข้อเสนอของลู่เซิ่นเป็นอย่างมากอยู่แล้ว พอถูกเขามองด้วยสายตาที่ยั่วยุอย่างนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเพียงแค่ทำตัวเป็นฮีโร่ต่อหน้าฉินซีเท่านั้น ราวกับว่าเขารู้ว่าจ้าเซินไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะไม่ไปทำจริงๆโดยสิ้นเชิง

จ้านเซินคิดอะไรออกแล้วเล็กน้อย ความรู้สึกไม่สบอารมณ์นั้นที่อยู่ในใจในที่สุดก็พบคำอธิบายแล้ว สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาก็เลยผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

เขามองไปที่การแสดงสีหน้าที่ยั่วยุของลู่เซิ่น และยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “โอเค ผมเห็นด้วยกับข้อตกลงนี้”

เมื่อสิ้นเสียงพูดของเขา ฉินซีก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาทันทีว่า “ไม่ ฉันไม่เห็นด้วย ข้อตกลงนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการกลั่นแกล้งคนชัดๆ จ้านเซิน ฉันต่างหากล่ะที่เป็นคนขององค์กร และฉันก็ไม่ใช่นักฆ่าด้วย ต่อให้ฉันจะอยากจะออกจากองค์กร ก็ไม่จำเป็นต้องตัดมือ คุณเอามือของจ้านเซินมา มันก็ไม่เป็นไปตามกฎน่ะสิ!”

แต่ทว่าเธอยิ่งแก้ต่างให้ลู่เซิ่นด้วยความร้อนใจ จ้านเซินก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ลู่เซิ่นจะทำแบบนั้นจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเพียงแต่ยิ้ม แล้วโบกมือไปมาให้ฉินซี และพูดว่า “นี่คือข้อตกลงที่เขาเสนอขึ้นมาเอง และผมก็เห็นด้วยแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนจะเป็นไปตามกฏหรือไม่……ในองค์กรนี้ ถ้าผมพูดและกำหนดแล้ว ก็สามารถทำได้เลย”

เขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งในขณะที่เขาพูด และยังเจียดเวลาพินิจพิเคราะห์ดูลู่เซิ่นสองสามครั้ง แล้วจิตนาการท่าทางที่เสียใจและร้องไห้จนหน้ามูกน้ำตาไหลเหมือนเด็กของเขาสักพัก ในใจก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขขึ้นมา

ฉินซีรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ จึงหันหน้าแล้วไปจับลู่เซิ่นเพื่อขอให้เขากลับคำพูดของตัวเองซะ แต่ลู่เซิ่นกลับไม่ได้มองเธอเลย เขาเพียงแต่ค่อยๆยอมรับอย่างแน่ชัดกับจ้านเซินไปอีกรอบว่า “คุณพูดแบบนี้ ผมจะเชื่อคุณได้อย่างไร?”

จ้านเซินเห็นว่าเขายังคงพูดอยู่แต่ไม่ดำเนินการ ก็คิดว่าเขาคงหวาดกลัวอยู่ในใจ และกำลังถ่วงเวลา ในใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา เขาจึงพูดขึ้นมาตามใจชอบว่า “ผมไม่ใช่คนที่กลับคำพูดอยู่แล้ว ถ้าหากคุณรู้สึกไม่สบายใจ เราสามารถกำหนดข้อตกลงกันได้นะ วันนี้คุณทิ้งมือขวาของคุณไว้ที่นี่ ฉินซีเอาไดอารี่ของแม่ผมให้กับผม ผมปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ และจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณอีกต่อไป ในการแลกเปลี่ยน ผมจะเอาอำนาจสาขาเมืองหนานมาเป็นหลักประกัน คุณ……ไม่สู้เอาหุ้นทั้งหมดของบริษัทลู่ซื่อมาด้วยแลกดีกว่าไหมล่ะ ถ้าหากพวกเรามีคนใดคนหนึ่งกลับใจ ก็จะได้เอาของที่เป็นหลักประกันและอำนาจทั้งหมดมามอบให้แก่อีกฝ่ายไง”

ฉินซีรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับมือของลู่เซิ่นอยู่ในใจ เธอจึงไม่สนใจข้อเสนอของจ้านเซินเลย แต่เธอกลับห้ามไม่ให้ลู่เซิ่นพูดออกมาได้ “บริษัทลู่เซิ่นแลกกับสาขาเมืองหนาน……มันจะไม่เสียเปรียบกันไปหน่อยเหรอ หรือว่าคุณรู้สึกไม่มั่นใจอะไร และทำอะไรไม่ได้ ก็เลยไม่กล้าเอาของมาแลกให้มันเยอะกว่านี้?”

ในตอนนี้จ้านเซินไม่ได้คิดเลยว่าลู่เซิ่นกำลังยั่วอารมณ์เขาอยู่ เขาเพียงแต่คิดว่าเขากำลังถ่วงเวลาอีกแล้ว ในใจจึงมีความรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ก็เลยเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า “งั้นคุณต้องการอะไร?”

ลู่เซิ่นยักไหล่ไปมา แล้วพูดว่า “ไม่สู้……ผมเอาหุ้นในมือของผมออกมาทั้งหมด นอกจากบริษัทลู่ซื่อแล้ว ยังมีบริษัทอื่นๆอีกมากมายด้วย แล้วคุณล่ะ……งั้นคุณก็เองโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่ของพวกคุณมาสิ”

จ้านเซินขมวดคิ้ว

เขารู้ดีว่าสำหรับคนอย่างลู่เซิ่นนี้ หุ้นของบริษัทลู่ซื่อกับความมั่งคั่งเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของทรัพย์สินอันมหาศาลของพวกเราเท่านั้น หุ้นทั้งหมดของเขา……แน่นอนว่ารวมถึงองค์กรของจ้านเซินและอุตสาหกรรมจำนวนมากที่อยากจะเข้ามาแต่กลับไม่มีช่องทาง

แน่นอนว่าเขาเกิดอารมณ์หวั่นไหวแล้ว

แต่ทว่า……การที่เอาโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่ไปแลก จะมีความเสี่ยงบ้างหรือเปล่านะ?

สำนักงานใหญ่คือสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางและเป็นหัวใจขององค์กร นับตั้งแต่บรรพบุรุษของจ้านเซินซื้อเกาะนี้จากประเทศอื่น พวกเขาก็ได้ก่อร่างสร้างตัวอยู่บนเกาะนี้อย่างต่อเนื่อง คนที่มีความสามารถที่สุดและเครื่องมือที่ล้ำสมัยที่สุดในองค์กร ล้วนอยู่บนเกาะนี้ทั้งหมด และคนอื่นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ตั้งของเกาะนี้อยู่ที่ไหน

จะนำออกไปจริงๆน่ะเหรอ……

ทำไมจู่ๆลู่เซิ่นถึงได้เปิดเบี้ยต่อรองที่ใหญ่ขนาดนี้ล่ะ……

ในท้ายที่สุดจ้านเซินก็ยังคงลังเลใจอยู่

เขาขมวดคิ้วขณะที่กำลังมองดูลู่เซิ่น เขาต้องการหาเบาะแสในการแสดงออกของเขาสักหน่อย แต่กลับพบว่าเขากำลังมองดูตัวเองอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้เหลือบไปมองฉินซีเลย

ในสายตาของเขา……มีความประหม่า และยังมีความมั่นใจอีกด้วย

ทันใดนั้นจ้านเซินก็เลยยิ้มในทันที

ลู่เซิ่นไม่กล้าที่จะมองฉินซี เป็นเพราะว่าแท้จริงแล้วเขาไม่กล้าที่จะตัดมือของตัวเองให้ขาด พอถึงเวลาที่เขาเสียใจในภายหลัง เขาจะต้องถูกฉินซีเมินเฉยและตีตัวออกห่างอย่างแน่นอน

แล้วทำไมจู่ๆเขาถึงได้ก็วางเบี้ยต่อรองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่มั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตัวเองจะเอาโฉนดที่ดินของสำนักงานใหญ่มาเป็นของเดิมพันได้ ด้วยเหตุนี้ เขาก็เลยมีข้ออ้างที่จะปฏิเสธการตัดมือของเขาอย่างถูกจังหวะพอดี และเหตุผลก็ยังฟังดูสวยหรูมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าจ้านเซินไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะรักษาสัญญาได้ แน่นอนว่าฉันก็ไม่ต้องตัดมือแล้ว

พอคิดถึงตรงนี้ จ้านเซินก็รู้สึกเพียงว่าทุกอย่างล้วนชัดเจนแล้ว

ว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ลู่เซิ่นบรรลุวัตถุประสงค์ได้

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

อ่านนิยาย เรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดยเรื่อง Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน บางส่วนของนิยาย

บทนำ

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

เรื่องย่อ

“คุณเวิน คุณ25ปีแล้ว?”

“อีกเดือนนึงค่ะ”

“ก่อนหน้านี้คบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน?”

“คนเดียวค่ะ”

“พัฒนากันไปถึงไหน?”

“พบครอบครัวกันแล้วค่ะ”

“เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหรือยัง?”

เวินจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีมารยาทในที่สุดก็หายไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ!”

“คุณ……เราไม่ได้มานัดดูตัวกันเหรอครับ?ก็แค่รู้จักกันและกันมากขึ้น คุณจะโมโหอะไรเนี่ย!”ผู้ชายตรงข้ามขมวดคิ้วพร้อมตำหนิเวินจิ้ง

“ฉันขอปฏิเสธที่จะรู้จักคุณ ลาก่อน!”เวินจิ้งหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วหมุนตัวออกไป

เธอหยุดลงแล้ววางเงิน500หยวนไปอย่างเท่ๆ

ชายคนนั้นรีบดึงเวินจิ้งไว้“หมายความว่าไงอ่ะ?คุณอายใช่ไหม คุณไม่ใช่สาวพรหมจรรย์เหรอ?”

เสียงที่เขาพูดไม่ดังเท่าไหร่แต่เพราะว่าในร้านกาแฟค่อนข้างเงียบ ลูกค้าที่นั่งโต๊ะใกล้ๆกันต่างได้ยินหมด

เวินจิ้งหรี่ตามองแล้วยกเท้าขึ้นมาเหยียบบนเท้าเขาแรงๆ จากนั้นยกกาแฟขึ้นมาสาดใส่หน้าเขาอย่างไม่ลังเล

พอถูกเธอเหยียบใส่ ชายคนนั้นก็ล้มลงไป ดังนั้นกาแฟในมือของเวินจิ้งก็สาดเป็นรูปโค้งใส่ผู้ชายชุดสูทที่กำลังจะออกจากร้าน

เวินจิ้งอึ้งไปแปปนึงกับฉากตรงหน้า

“ขอโทษค่ะ”เธอหยิบทิชชู่จากในกระเป๋าอย่างอึนๆ มองเสื้อเชิ้ตขาวที่โดนสาดใส่ของผู้ชายตรงหน้า พระเจ้า แค่มองก็รู้ว่าชุดราคาแพง

สีหน้าของมู่วี่สิงเย็นชา มองไปที่เวินจิ้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกและไม่รับทิชช่าจากเธอ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าออกมา ตอนที่เช็ดกาแฟก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

เวินจิ้งรู้สึกผิดสักพัก ตอนนี้เอง เท้าของหนุ่มนัดดูตัวที่อยู่ข้างล่างก็รีบคว้าเท้าเธอไว้“ยัยผู้หญิงคนนี้ เหยียบเท้าผม!”

“น่ารำคาญจะตายชัก”เวินจิ้งดึงเท้าออกมา จะวิ่งออกจากร้านกาแฟ

ตอนที่ผลักประตู เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้ชายชุดสูทนั่น รูปร่างหน้าตาเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ กรอบหน้าชัดเจน ใบหน้าตรงนั่นเหมือนพระเจ้าค่อยๆวาดลงเพื่อทำให้คนที่เห็นแล้วตกตะลึง

พอเข้าไปในรถ เวินจิ้งที่ยังไม่ทันสตาร์ทรถก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมา“ลูกรัก ดูตัวเป็นยังไงบ้าง?ผู้ชายคนนั้นโอเคใช่ไหม?”

“จบแล้ว”เวินจิ้งตอบไปสองคำ

ตอนนี้เองรถของเธอก็ออกไปไมได้ เวินจิ่งยิ่งรำคาญมากขึ้น

“อะไรกัน?นี่แม่สื่อแนะนำคนที่ปีนึงมีรายได้เป็นล้านๆให้ฉัน ลูกต้องไปมาหาสู่กับเขาดีๆ……จะหยุดไม่ได้นะ!”

เวินจิ้งไม่อยากฟัง เธอวางโทรศัพท์ลงทั้งที่แม่เธอกำลังบ่น

รถขยับออกไปไม่ได้ เวินจิ้งเลยดึงกุญแจออกมาแล้วลงจากรถ“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูปฏิทินแน่ๆ!ถึงได้โชคร้ายสุดๆแบบนี้!”

พอพูดจบแปปนึง ฝนก็ตกหนักลงมา

เวินจิ้งหลับจาลง เปียกไปทั้งตัว

พอได้สติเธอก็ว่าจะวิ่งไปหลบฝนในร้านกาแฟ แต่พอนึกถึงผู้ชายที่นัดดูตัวท่าทางน่ารังเกียจเมื่อกี้ ก็เลยล้มเลิกไป

ตอนที่แกว่งไปมาซ้ายขวา ก็มีรถปอร์เช่สีดำก็มาจอดข้างๆเธอ หน้าต่างเปิดลงมาก็มีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยและคุ้นเคยนั้นเข้ามา

คือผู้ชายที่โดนเธอสาดกาแฟใส่อย่างไม่ตั้งใจเมื่อกี้

“ขึ้นมา”น้ำเสียงและใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเดิม

เวินจิ้งยิ้มไปอย่างเขินๆพร้อมส่ายหัว“ไม่เป็นไรค่ะ ลำบากคุณเปล่าๆ”

“ไม่ลำบาก”มู่วี่สิงยังคงเย็นชาใส่

เวินจิ้งยิ่งละอายเข้าไปใหญ่ จากนั้นเห็นว่าด้านหลังมีแท็กซี่อยู่ก็เลยคิดว่าจะไปเรียกรถ

แต่บังเอิญจริงๆ เธอดันเหยียบแอ่งน้ำที่ขังไว้ จนรองเท้าส้นสูงพัง

มู่วี่สิงมองเห็นหญิงสาวล้มลงไปจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้แล้วเปิดรถลงมาอุ้มเวินจิ้งขึ้นไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนัก

 

เวินจิ้งอึ้งไป พอนั่งข้างคนขับปุ๊ปก็เริ่มได้สติ

“ขอบคุณค่ะ”เธอหันไปมองผู้ชายข้างๆ

ใบหน้าที่เย็นชาของมู่วี่สิงกลับยื่นผ้ามา

เวินจิ้งก้มลงเช็ดผมและใบหน้าที่เปียกถึงเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองเปียกไปหมด

ดีที่เธอสวมชุดคลุมอยู่ ไม่งั้นคงจะน่าอาย

“ที่อยู่”มู่วี่สิงถาม

“ถนนอันหนิง10”

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถปอร์เช่สีดำนั่นก็หยุดลงที่ใต้ตึกเก่าๆที่พักแถวนั้น

เดิมทีเวินจิ้งไม่อยากให้เขาเข้ามาที่ข้างใน แต่ว่าเขาไม่ฟังเธอเลย

“ขอบคุณที่มาส่งฉันค่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอโทษมากจริงๆ”เวินจิ้งขอโทษเขาอีกรอบ

“เชิ้ตอขงคุณราคาเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันจ่ายให้ค่ะ”เวินจิ้งพูดด้วยเสียงหวาดหวั่นเล็กน้อย

สายจาของมู่วี่สิงมองไปข้างหน้า พอได้ยินก็ขมวดคิ้ว แล้วก็เห็นเวินจิ้งเปิดกระเป๋าเงิน

เธอทายในใจน่าจะหลักสี่ แต่ว่าราคาจริงๆไม่รู้

“คุณชดใช้ไหวเหรอ?”เสียงทุ้มต่ำของมู่วี่สิงก็ดังขึ้น เชิ้ตของเขาตัดอย่างดี ทั้งโลกนี้มีแค่ตัวเดียว

“ฉันชดใช้ราคาไม่ไหวเหรอคะ?”ใบหน้าของเวินจิ้งดูหดไป

ตอนนี้เองก็มีเสียงของเจี่ยนอีดังๆจากด้านนอกเข้ามา“เวินจิ้ง กลับมาไวขนาดนี้ทำไมเนี่ย ไม่ได้บอกว่าให้อยู่กับเขานานๆหน่อยเหรอ……”

เวินจิ้งลำบากใจเล็กน้อย ชุมชนเล็กๆแบบนี้ ทุกตึกเกือบจะเป็นเพื่อนบ้านกัน เจี่ยนอีตะโกนแบบนี้จนเกือบจะได้ยินไปทั้งชุมชน

“ขอโทษค่ะ ฉันต้องกลับแล้ว นี่เบอร์ของฉัน ถ้าให้ฉันชดใช้อะไรติดต่อมานะคะ!”เวินจิ้งรีบเขียนเบอร์โทรตัวเองจากนั้นก็ลงรถ

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ที่ปลายนิ้วยังมีกระดาษที่มีไออุ่นของเวินจิ้งอยู่ ด้านบนมีเบอร์โทรอยู่ เขากำกระดาษแน่น

เจี่ยนอีเห็นลูกสาวลงมาจากรถก็ตะลึง แต่ก็ได้สติกลับมา“เวินจิ้ง ทำไมถึงบอกว่านัดดูตัวจบแล้วล่ะ?นี่ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่เขา”เวินจิ้งดึงแม่เข้าบ้าน แต่ว่าดึงไม่ได้

เจี่ยนอีจ้องรถนั่น ในใจก็นับว่ารถนี่น่าจะมีศูนย์กี่ตัว

ที่แท้ก็เป็นคนที่ที่มีรายได้ปีละล้าน รถนี่แค่ดูก็รู้แล้วว่าเกินล้าน!

“ลูกพูดอะไร?อย่าหลอกแม่สิ รีบไปให้เขาลงมาให้แม่ดูหน่อย”

เวินจิ้งนิ่งไป มองมู่วี่สิงแล้วรีบปิดประตูรถ จากนั้นก็ดึงแม่ออกมา

ในรถนั่น มู่วี่สิงมองแม่ลูกที่เดินออกไปไกล สายตาหม่นลงเล็กน้อย

ในแสงสว่างนั่น โทรศัพท์สีขาวก็ตกลงที่เบาะข้างคนขับ

เขาหยิบขึ้นมา โทรศัพท์สั่นเล็กน้อยแล้วก็มีแจ้งเตือนเข้ามาว่า:วันที่1000ที่คุณจากไป

เวินจิ้งกับแม่ที่เพิ่งเข้าบ้าน ออดประตูก็ดัง

เป็นเขา?

เวินจิ้งเปิดประตู ร่างสูงๆของมู่วี่สิงยืนอยู่หน้าประตู

“โทรศัพท์คุณ”น้ำเสียงของมู่วี่สิงมีความไม่พอใจแฝงอยู่

“อ้อ ขอบคุณค่ะ!”เวินจิ้งยิ้ม“เดี๋ยวฉันลงไปส่งคุณ”

พอพูดจบเสียงของเจี่ยนอีก็เข้ามา“เวินจิ้ง ทำไมให้เขายืนอยู่ข้างนอกล่ะ รีบเข้ามานั่งสิ!”

เวินจิ้ง:……

มู่วี่สิงขมวดคิ้ว ขายังไม่ขยับก็พูดอย่างเรียบๆว่า“ผมมีธุระ ไปก่อนนะ”

เวินจิ้งโล่งอกไป วันนี้เธอก็รบกวนชายคนนี้พอแล้วจะให้มีเรื่องอะไรอีกไม่ได้

แต่เจี่ยนอีก็ยังมองมา เวินจิ้งปิดประตูดัง“ปัง”

“แม่ หนูไม่รู้จักเขา”

“ไม่รู้จักเขาแล้วมาส่งลูกได้ไง?”

“เขาใจดี หนูเปียกไปทั้งตัวแบบนี้?”

“แม่ว่าลูกสองคนได้อยู่ ฮิฮิ ผู้ชายคนนี้ไม่เลว เวินจิ้ง ครั้งนี้ลูกสายตาไม่เลวจริงๆ!”

เวินจิ้งกลับเข้าห้อง ปิดประตู


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท