XV – 319 น้ํายาพิเศษ !
เมื่อออกจากห้องสมุดมาแล้ว เซี่ยเหล่ยก็รีบเดินออกไปยังจุดที่เขาโยนเครื่องสื่อสารและหูฟังขนาดเล็กไว้ก่อนหน้านี้ มันกระเด็นไปตกอยู่ใกล้กับกระถางต้นไม้เซี่ยเหลียรีบอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่ตรงทางเดินนั้นรีบหยิบพวกมันขึ้นมาและรีบซ่อนกันที่นี่คือเหตุผลที่เซี่ยเหล่ ยต้องรีบขอตัวออกมาก่อนเพื่อที่จะได้มีเวลาจัดการเก็บเครื่องสื่อสารและหูฟังขนาดเล็กกลับมา
เซี่ยเหลี่ยเดินต่อไปและเมื่อเขาไปถึงห้องนั่งเล่นก็พบว่าภายในห้องมีบอดี้การ์ดอยู่ หลายคนท่าทางของพวกเขาดูเคร่งขรึมเมื่อเซี่ยเหลี่ยเดินผ่านพวกเขาทั้งหมดก็หันมองที่เซี่ยเหลี่ยเซี่ยเหลียเองก็หันไปมองที่พวกเขาพร้อมกับทักทายออกไปว่า “สวัสดี”
จากการที่เซี่ยเหล่ยกล่าวทักทายไปมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจการทักทายของเซีย เหล่ยบอดี้การ์ดส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจเซี่ยเหลียซักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาคิดว่าเซี่ยเหล่ยเป็นเพียงผู้ติดตามธรรมดาหรือบางคนก็อาจจะยังไม่รู้สถานะที่แน่นอนของเซี่ยเหลียในขณะที่เขามาอยู่ที่นี่ด้วย
แต่เซี่ยเหลียเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ ไม่นานเขาก็เดินต่อไปเพื่อกลับไปยัง ห้องพักของเขาเอง
เมื่อเซี่ยเหล่ยกําลังจะเดินผ่านไป บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็พูดขึ้นภายในห้องนั่งเล่นว่า “คนโง่คนนี้เป็นใครกัน?”
” บางทีอาจจะเป็นคนที่มาด้วยกันกับผู้บริหารหญิงชาวจีนคนนั้นมั้ง ผมได้ยินมาว่า นายน้อยของเราเกลียดผู้ชายคนนี้มาก” บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดเป็นภาษาเกาหลี
“เจ้าคนโง่นี่จะต้องถูกนายน้อยของเราจัดการแน่นอน” บอดี้การ์ดบางคนพูดเป็นภาษาเกาหลี
คําพูดที่เหล่าบอดี้การ์ดพูดกันภายในห้องนั่งเล่นนี้ เซี่ยเหลี่ยได้ยินทุกคําและเข้าใจทุกคําพูดด้วยแต่เขาก็แสร้งทําเป็นว่าไม่รู้เรื่องว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
หลังจากเดินผ่านห้องนั่งเล่นไปและกําลังจะกลับไปที่ห้องพักระหว่างทางที่เดินกลับ เซี่ยเหล่ยก็ได้ใช้เครื่องสื่อสารขนาดเล็กพร้อมพูดไปว่า “ผมรู้ตําแหน่งของเป้าหมายแล้วว่าอยู่ตรงไหน ตําแหน่งที่วางของมันไม่ใช่เรื่องยากในการขโมยแต่เรื่องที่ยากก็คือเราจําเป็นจะต้องใช้ลายนิ้วมือของอันซูฮยอนในการปลดรหัสอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย”
จากนั้นไม่นานก็มีเสียงออกจากหูฟังขนาดเล็กเป็นเสียงของถ่างยั่วฉวนพูดออกมาว่า “อันกวนจะจัดงานเลี้ยงอาหารค่ําพร้อมพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจที่พวกเขาจะทําร่วมกับเฉินตู เทียนหยิน หลังจากนั้นก็จะเข้าพิธีวางศิลาฤกษ์ซึ่งพอเสร็จพิธีก็คิดว่าเฉินตูเทียนหยินจะกลับจีนเลยทันที ดังนั้นเราจะต้องลงมือกันคืนนี้เลย คุณต้องหาวิธีเพื่อให้ได้ลายนิ้วมือของอันซูฮยอนมาให้ได้”
“เขาสแกนลายนิ้วมือของตัวเอง ไม่ใช่แค่นิ้วเดียวแต่เป็นห้านิ้วและเป็นนิ้วของมือขวา ด้วย” เซี่ยเหลียพูด
“ลายนิ้วมือทั้งหมดของมือขวาทั้งห้านิ้ว” เสียงพูดของถ่างยั่วฉ่วนออกมาจากนั้นก็พู ดต่อว่า “คุณคิดวิธีหาลายนิ้วมือก็แล้วกัน ส่วนอุปกรณ์ที่จําเป็นผมจะเตรียมไว้ให้”
เซี่ยเหล่ยยิ้มอย่างขมขึ้นพร้อมพูดขึ้นว่า “เอาหล่ะ…ผมจะเอามันมาให้ได้”
หลังจากไม่กี่นาทีต่อมา เซี่ยเหล่ยก็เดินมาถึงประตูทางเข้าที่มียามเฝ้าอยู่ ยามไม่ได้หยุดไม่ให้เซี่ยเหลียผ่านแต่เซี่ยเหลียเองเลือกที่จะไม่ผ่านไปก่อนและเริ่มพูดกับยามออกไปเป็นภาษาจีนว่า “ใกล้ๆที่นี่มีร้านขายของชําหรือไม่? ผมต้องการจะซื้อหมากฝรั่ง”
ยามเฝ้าประตูส่ายหัวพร้อมทําหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เชี่ยเหล่ยถามเพราะเชี่ยเหล่ยพู
ดภาษาจีนในการถาม
เซี่ยเหล่ยยักไหล่แล้วก็ผ่านประตูไปทันที
หลังจากเซี่ยเหลียผ่านไป ยามเฝ้าประตูคนนั้นก็พูดกับตัวเองขึ้นว่า “ผู้ชายชาวจีนคน นี้ช่างโง่เสียจริงภาษาจีนและภาษาเกาหลีมีรากฐานมากจากที่เดียวกันแต่เขาไม่สามารถพูดภาษาเกาหลีได้ ช่างโง่จริงๆ”
ในความเป็นจริงครั้งนี้ก็เหมือนกัน เซี่ยเหล่ยก็ได้ยินคําพูดดูถูกและถากถางทั้งหมดที่ ยามเฝ้าประตูพูดแต่เซี่ยเหล่ยก็แกล้งทําเป็นไม่ได้ยินและแกล้งไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร อย่างไรก็ตามเซี่ยเหลียเลือกที่จะเดินผ่านไปแบบเงียบๆ
ในขณะนี้ที่เซี่ยเหลี่ยเดินออกมาแล้วมีมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งขับอยู่ที่ฝั่ง ตรงข้ามของถนนกับเขามอเตอร์ไซต์คันนี้ไม่ได้ขับเร็วมาก คนขับกําลังใส่หมวกอยู่ด้วยแม้ ว่าหมวกกันน็อคจะปิดบังใบหน้าไว้จนหมดแต่เซี่ยเหล่ยก็สามารถมองทะลุเข้าไปได้แล้วก็พบว่าคน ที่ขับมอเตอร์ไซต์คันนี้ก็คือฉิงเสวียง
ในมือของฉิงเสวียงตอนนี้ เธอถือถุงพลาสติกสีดําอยู่หนึ่งใบหลังจากนั้นไม่นานฉิงเสวี ยงก็ได้วนรถมาและขับตรงมาที่เซี่ยเหลีย เขาหันไปสบตากับเธอหลังจากนั้น จังหวะที่ฉิงเสวียงขับรถผ่าน เธอก็ส่งถุงพลาสติกสีดําให้กับเขา
จังหวะในการส่งถุงพลาสติกนี้ พวกเขาทํากันอย่างรวดเร็วมากเร็วชนิดที่ว่าต่อให้ คุณยืนอยู่ใกล้ๆกับพวกเขาคุณก็ไม่รู้เลยว่าพวกเขาได้ส่งของให้กันและกันในตอนไหน
รถมอเตอร์ไซต์ที่ฉิงเสวียงขับอยู่นั้นก็ยังคงขับไปต่อตามทางของถนน ส่วนเซี่ยเหลีย เองก็ยังเดินต่ไปอีกสองถึงสามเมตรแล้วหลังจากนั้นก็หันหลังและเดินกลับ ส่วนถุงพลาสติกที่รับ มาจากฉิงเสวียงก่อนหน้านี้เขาก็รีบใส่ในกระเป๋าด้านในของเสื้อ
เซี่ยเหลี่ยเดินกลับมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ช่างมัน….ผมไม่ซื้อหมากฝรั่งแล้วแถวนี้ไม่ เห็นมีร้านขายของชําอยู่ใกล้ๆเลย”
ยามเฝ้าประตูก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เชี่ยเหลียพูด เขาพูดกับตัวเองอีกครั้งว่า “เจ้าคน
ขณะนี้เซี่ยเหลี่ยเดินกลับไปถึงห้องของตัวเองแล้ว เขารีบแกะถุงพลาสติกออกเพื่อจะ ดูของข้างในว่ามีอะไรภายในประกอบไปด้วยกาวพิเศษ 2 ขวด ขวดหนึ่งสีแดงและอีกขวดสีน้ําเงินนอกจากนี้ยังมีแผ่นกระดาษเขียนโน้ตไว้ด้วยว่า “สีแดงสามารถดูดซับลายนิ้วมือของเป้าหมายได้ส่วนสีน้ําเงินสามารถทําให้ลายนิ้วมือมีความชัดเจนมากขึ้นและต้องจําไว้ให้ดีว่า กาวสีแดงมีระยะเวลาแสดงผลอยู่ที่สิบนาทีเท่านั้นดังนั้นเมื่อได้ลายนิ้วมือมาแล้วคุณต้องรีบใช้กาวสีน้ําเงินเพื่อทําให้ลายนิ้วมือชัดเจนและคงอยู่ให้ได้ภายในเก้านาทีที่เหลือและระยะเวลาที่กาวจะอยู่ได้เมื่อย สมกันแล้วคือหนึ่งชั่วโมง
หลังจากอ่านโน้ตเสร็จแล้ว เซี่ยเหล่ยก็ลองใช้กาวชนิดพิเศษสีแดงกับมือขวาของเขา เองแม้ว่ามันจะขึ้นชื่อว่าเป็นกาวแต่เซี่ยเหล่ยก็ไม่รู้สึกถึงความเหนียวของมันเลย แถมมันยังมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีกด้วย
“มันจะได้ผลจริงหรือเปล่านะ? เราคงต้องลองไปใช้มันกับคนอื่นดูก่อน ไม่อย่างนั้นถ้า มีอะไรผิดพลาดขึ้นมาอาจจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองแล้ว” เซี่ยเหล่ยพูดกับตัวเองแม้ว่าเขาจะทิ้งกับความสามารถของกาวพิเศษขวดนี้ แต่เซี่ยเหล่ยก็เลือกที่จะตรวจสอบผลลัพธ์ให้แน่ชัดก่อนลง มือจริงกับอันซูฮยอน
เซี่ยเหลี่ยเดินออกจากห้องของตัวเองแล้วเดินถัดไปยังห้องข้างๆซึ่งเป็นห้องของฟูหมิง เหม่ย เขาเดินไปหยุดที่หน้าประตูทางเข้า จากนั้นก็ยกมือขึ้นเพื่อเคาะประตูสองครั้งด้วยมือซ้าย
“นั่นใคร?” เสียงของฟูหมิงเหม่ยดังออกมาจากในห้องทําให้รู้ว่าเธอยังไม่ได้เดิน มาเปิดประตูในทันทีที่มีเสียงเคาะ
เซี่ยเหล่ยตอบว่า “ผมเอง” จากนั้นเขาก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทําไมถึงไม่เดินมาเปิดป ระตูตั้งแต่แรกทําให้เขากระตุกตาซ้ายเล็กน้อยก่อนที่จะมองทะลุเข้าไปภายในห้อง เขาพบว่าฟูหมิงเหม่ยตอนนี้กําลังเปลือยกายอยู่โดยที่กําลังยืนอยู่ข้างเตียงพร้อมกับบนเตียงก็มีเสื้อผ้าและกางเกงในลายลูกไม้สีแดงวางไว้อยู่ ผมของเธอก็กําลังเปียกอยู่ด้วย ทําให้รู้ว่าเธอเพิ่งจะอาบน้ําเสร็จ
ตอนนี้เซี่ยเหล่ยหยุดมองทะลุด้วยตาซ้ายของเขา จากนั้นก็ยิ้มแหยงๆออกมาพร้อม กับพูดเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเลยว่า “เธออาบน้ํานานจริงๆ”
ฟูหมิงเหม่ยใช้เวลาแต่งตัวไม่นานจากนั้นก็เดินมาเปิดประตูแล้วก็พูดขึ้นว่า “มีอะ ไรงั้นเหรอ? แล้วทําไมสีหน้าคุณดูแปลกไปแถมหน้ายังแดงอีกต่างหาก? ”
“ก็ไม่มีอะไรมากอย่าใส่ใจเลยที่ผมมาหาคุณตอนนี้ก็เพื่อต้องการทดสอบรีแอคชั่นขอ งคุณเท่านั้น” เซี่ยเหลี่ยพูด
“คุณพูดอะไรของคุณหน่ะ?” ฟูหมิงเหม่ยถามออกไปเพราะรู้สึกงงกับคําพูดและ การกระทําของเซี่ยเหลีย
จังหวะนี้จู่ๆเซี่ยเหล่ยก็ใช้ฝ่ามือจับไปที่แก้มของฟูหมิงเหม่ย
ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองของฟูหมิงเหม่ย ทําให้เธอใช้มือของตัวเองยกขึ้นมาและกําลัง จะปัดมือของเซี่ยเหลียออกแต่ทันทีที่เธอยกมือขึ้นมาและกําลังจะปัดเขานั้น เซี่ยเหล่ยกได้เปลี่ยนเป้าหมายจากแก้มของฟูหมิงเหม่ย ไปคว้าที่มือของเธอแทน
หลังจากจับได้แล้วเซี่ยเหล่ยก็ปล่อยมือของเธอออกจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ปฏิกิริ ยาของคุณรวดเร็วมากไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ผมไม่รบกวนคุณแล้ว” เมื่อเซี่ยเหลี่ยพูดเสร็จเขาก็เดินกลับทันที
หลังจากเซี่ยเหลี่ยเดินกลับไปยังห้องของเขาแล้ว ฟูหมิงเหม่ยก็พูดขึ้นกับตัวเองว่า “นี่ เขาเป็นอะไรของเขากันแน่ แต่ถ้าครั้งหน้ายังใช้วิธีแบบนี้จับมือของฉันอีกล่ะก็ ฉันจะจัดการตัด มือนั่นทิ้งซะ !”
เมื่อเซี่ยเหล่ยกลับเข้าห้องของตัวเองแล้ว เขาก็รีบหยิบกาวพิเศษสีน้ําเงินออก มาและผสมเข้ากับกาวสีแดงที่เขาได้ลายนิ้วมือมาก่อนหน้านี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทําให้เซี่ยเหลียรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ลายนิ้วมือของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด จนในที่สุดลายนิ้วมือของเขาก็เปลี่ยนเป็นลายนิ้วมือของฟูหมิงเหม่ย
“ดูเหมือนว่าฟูหมิงเหม่ยยังเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างดี ปฏิกิริยา การตอบสนองและการป้องกันของเธอดูจะมีมากกว่าของอันซูฮยอนซะอีกแต่ก็ถือว่าดีแล้วที่เธอไม่ได้สงสัยว่าเราต้องการลายนิ้วมือของเธอ” เซี่ยเหล่ยพูดกับตัวเอง
เซี่ยเหลียรู้สึกพอใจมากกับการทดลองและวิธีการของเขามากทําให้เขารู้ สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจ
ขั้นตอนต่อไป เซี่ยเหล่ยกําลังเตรียมการสําหรับภารกิจในคืนนี้
เซี่ยเหลียที่ถือว่าเป็นเพียงแค่ผู้ติดตามของเฉินตูเทียนหยิน ทําให้เขาไม่ได้ ถูกเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงด้วยนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสําหรับเซี่ยเหลียเองอย่างไรก็ตามก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นเซี่ยเหลียต้องได้ลายนิ้วมือของอันซูฮยอนมาให้ได้ก่อน เพราะถ้าได้ลายนิ้วมือของเขามาก่อนงานเริ่มแล้ว เรื่องก็จะง่ายขึ้นเพราะระหว่างงานเลี้ยงเขาจะไม่ทําตัวเองให้ออกห่างจากเฉินตูเทียนหยินอย่างแน่นอน
เซี่ยเหลยเดินไปหาเฉินตูเทียนหยินที่ห้องของเธอ ตอนนี้เธอกําลังแต่งหน้าพร้อมกับ กําลังจะใส่ชุดราตรีสีดําและรองเท้าที่ถูกเตรียมไว้แล้ว
“เหล่ย วันนี้คุณเป็นอะไรไป?” เฉินตูเทียนหยินมองไปที่เซี่ยเหลี่ยและขมวด คิ้วเพื่อบ่งบอกว่าไม่พอใจเล็กน้อย
“เรื่องอะไรหล่ะ?” เซี่ยเหล่ยถามออกไปเพราะไม่รู้จริงๆว่าเฉินตูเทียนหยินหมายค วามถึงเรื่องอะไร
เฉินตูเทียนหยินเบ้ปากเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้นว่า “การที่คุณโอ้อวด ด้วยการแข่งกับอัน ซูฮยอนเรื่องดาบคุณไม่ควรทําเลยจริงๆ คุณควรพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีไม่ใช่ไปพูดโกหกและโอ้อวดเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นแบบนี้? คุณปล่อยให้ฉัน ……….
ตอนนี้เซี่ยเหลียเริ่มเข้าใจเฉินตูเทียนหยินมากขึ้นแล้ว เขามองไปที่เฉินตู เทียนหยินพร้อมพูดอย่างอึดอัดใจว่า “คุณหมายความว่าผมไม่ดีพอ จึงทําให้คุณเสียหน้างั้นเหรอ?”
เฉินตูเทียนหยินรีบพูดขึ้นทันทีว่า “ไม่ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันหมาย
ถึง………..”
เซี่ยเหลี่ยขัดจังหวะคําพูดของเฉินตูเทียนหยินแล้วพูดขึ้นเองว่า “ไม่เป็นไร คุณไม่ จําเป็นต้องอธิบายอะไรแล้วผมเชื่อว่าคุณไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นบางทีผมอาจจะเล่น มากเกินไป”
เรื่องนี้ไม่จําเป็นจะต้องอธิบายเพิ่มเติมใดๆ เพราะจะทําให้มีแต่อายมากขึ้น
เฉินตูเทียนหยินมองไปที่เซี่ยเหลีย เธอต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ไม่ สามารถพูดออกมาได้ทําให้ตอนนี้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
ก่อนหน้านี้เธอชอบเซี่ยเหลียมากแต่การเวลาเปลี่ยนใจคนเราก็เปลี่ยนได้เช่นกัน โดย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอกับทางเลือกที่แตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัดระหว่างอันซูฮยอนและเซี่ยเหลีย ก่อนหน้านี้เซี่ยเหลียเปรียบเสมือนอัศวินดําขี่ม้าขาวมาเพื่อช่วยเธอนั่นทําให้เธอรู้สึกว่าเซี่ยเหลียเป็นเหมือนกับวีรบุรุษและเป็นเจ้าชายที่ทรงเสน่ห์สําหรับเธอแต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นได้ค่อยๆมลายหายไปแล้วทีละเล็กทีละน้อย…..
เซี่ยเหล่ยคิดขึ้นในใจว่า “ก่อนหน้านี้ที่ฟูหมิงเหม่ยพูดนั้นถูกต้องจริงๆ ตอน นี้คะแนนของเราคงจะลดลงแล้วสินะ ฮ่าฮ่า….”
อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องของหลางซื้อเหยาที่ทรยศต่อความไว้ใจเขา ทําให้เชี่ย เหล่ยไม่ต้องการที่จะสานสัมพันธ์กับใครจนมากจนเกินไปอีกแล้ว…
“ก๊อก ก๊อก” จังหวะนี้ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับมีเสียงจากภายนอกห้อง เป็นเสียงของอันซูฮยอนพูดออกมาว่า “เทียนหยิน คุณโอเคหรือเปล่า? ผมสามารถเข้าไปได้หรือไม่?”
เซี่ยเหล่ยยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “คุณอันซูฮยอนเป็นคนที่มีมารยาทและสุภาพมากจ
ริงๆ”
เฉินตูเทียนหยินพูดขึ้นอย่างเรียบง่ายว่า “ช่วยเปิดประตูให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
“อืม” เซี่ยเหลี่ยพูดขึ้นพร้อมเดินไปเปิดประตูให้ฮันซูฮยอน
เฉินตูเทียนหยินขมวดคิ้วแล้วคิดในใจว่า “เขาตั้งใจจะไปเปิดจริงๆงั้นเหรอ?”
เซี่ยเหลยเดินไปที่ประตูจากนั้นหันหลังให้กับเฉินตูเทียนหยินทําให้ตอนนี้ เซี่ยเหลีย เห็นถึงโอกาสที่ดีในการทากาวพิเศษสีแดงเขาจึงใช้โอกาสนี้รีบทากาวสีแดงไปที่มือขวาของตัวเองก่อนที่จะเปิดประตูด้วยมือซ้าย
อันซูฮยอนที่ยืนใส่สูทอยู่หน้าประตูห้องของเฉินตูเทียนหยินเมื่อเห็นว่าคนที่มาเปิดป ระตูเป็นเซี่ยเหลียใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขาในตอนแรกก็หายไปในทันที
“คุณอัน เป็นอย่างไรบ้าง” เชี่ยเหล่ยพูดขึ้นพร้อมยื่นมือเพื่อที่จะออกไปจับมือกับอันซูฮยอน
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ?” อันซูฮยอนถามออกมาอย่างไม่สบายใจและเขาก็ไม่ ยื่นมือออกไปจับกับเซี่ยเหลีย
เซี่ยเหลียหดมือกลับอย่างเงอะงะแล้วพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าคืนนี้จะมีงานเลี้ยงด้ว ยงั้นเหรอ?”
อันซูฮยอนหัวเราะเยาะก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “แล้วยังไงหล่ะ คุณพูดแบบนี้แสดงว่าคุณ ยังไม่ได้ถูกเชิญงั้นเหรอ?
ติดตามตอนต่อไป………..