TxV – 323 ต่อต้านอย่างเยือกเย็น
ท่ามกลางของสะสมของอันกวนสมบัติที่ล้ําค่าที่สุดไม่ใช่พวกชุดเกราะแต่มันคือดาบอาทิสล่าของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ดาบอาทิส์ล่าคือสัญลักษณ์แห่งสิทธิและศักดิ์ศรีของอาทิสล่า และมันจะเป็นที่จับตาเมื่อถูกนําออกจัดแสดงเป็นแน่!
แต่ยังไงก็ตาม ตอนนี้ดาบได้หายไปแล้ว
แขกผู้เข้าร่วมงานไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น และยังคงชื่นชมของสะสมในห้องวิจัยที่พวกเขาตื่นตาตื่นใจต่อไป
เซี่ยเหล่ยได้คุยกับเฉินตูเทียนหยินเกี่ยวกับเรื่องราวของดาบอันล้ําค่านี้แต่เธอก็เป็นเพียงแค่คนนอกที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร เขาจึงได้ใช้สายตาสอดส่องการเปลี่ยนแปลงสภาพของอันกวน เพียงอย่างเดียวในระหว่างที่สนทนา
“เกิดอะไรขึ้น?” อันซูฮยอนเพิ่งจะพบว่าดาบอาทิสล่าหายไปและเริ่มที่จะตื่นตระหนกตกใจ
“ผมก็ยังอยากจะถามคุณว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” เสียงของอันกวนเต็มไปด้วยความโกรธ
“ผมไม่รู้ ผม…” อันซูฮยอนมองกลับไปยัง เซี่ยเหล่ย เฉินตูเทียนหยิน เขาจําได้ว่า เขาพาเซี่ยเหล่ย เฉินตูเทียนหยินมาชื่นชมกับบรรดาอาวุธและเกราะของบรรพบุรุษเท่านั้น เหตุการณ์ในตอนนี้มันยากที่จะอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า
ในที่สุดอันกวนก็โผล่ออกมา อารมณ์ของเขาดูคุ้มคลั่งไปแล้ว ….
“ทุกคนเงียบ! ทุกคนเงียบ!”
แขกในห้องจัดแสดงเงียบลงในทันที ทุกสายตาต่างย้ายไปรวมกันที่ร่างของอันกวน
อันกวนพูดด้วยน้ําเสียงลุ่มลึก “ผมขอโทษด้วย แต่ทุกคนกรุณาอย่าออกไปจากห้อง
บอดี้การ์ดที่มากับอันกวนเริ่มส่งสัญญาณติดต่อกับบอดี้การ์ดคนอื่นผ่านวิทยุสื่อสาร ทันใดนั้นการ์ดคนอื่นก็พากันวิ่งมาโอบล้อมและปิดกันเส้นทางเข้าออกห้องจัดแสดงเพื่อกันไม่ให้มีใครออกไปจากห้อง
“เกิดอะไรขึ้น?” มีบางคนเริ่มส่งเสียงถาม
“ทําไมพวกเราถูกกักไว้ที่นี่ล่ะ?”
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอ?”
ผู้คนเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระซาบ ฝูงชนที่พากันเงียบกริบในตอนแรกเริ่มตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
บอดี้การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูอันกวน” อันตง ผู้ชายคนที่มารับผิดชอบรักษาความปลอดภัยถูกพบว่าสลบไปครับ ที่อีกห้องหนึ่ง”
อันซูฮยอนพูดขึ้น “พ่อ นอกจากดาบอาทิส์ล่าแล้วมีของสําคัญบางอย่างหาย
ไปด้วย”
คิ้วของอันกวนขมวดมุ่น
“มีของหายไปเหรอ?” ใครบางคนพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ
“พวกเขาคิดเหรอว่าเราขโมยของของเขาไป?”
“ตลกดีนะ พวกเราอยู่ในร้านอาหารกันหรือไง”
“พวกคุณเป็นใครกันถึงบังคับฉันน่ะ”
แขกผู้เข้าชมหลายคนเริ่มส่งเสียงโต้แย้งมากขึ้น บางคนก็เริ่มมีอาการไม่พอใจขึ้นมาแล้ว แขกที่มางานนี้ล้วนคนที่มีหน้ามีตาในสังคมกันทั้งนั้น เด็กฝึกหัดอย่างอันกวนจะขังพวกเขาไว้ในห้องจัดแสดงแน่ล่ะว่าพวกเขาต้องรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
“เงียบหน่อยครับ! เงียบหน่อย!” อันกวนตะโกน “มีคนขโมยดาบอาทิส์ล่าไป คนคนนั้นอาจอยู่ในหมู่พวกคุณจะไม่มีใครออกไปไหนทั้งนั้นถ้ายังไม่ถูกค้นตัว!”
“นี่มันกําลังบอกว่าเราเป็นขโมยอยู่ไม่ใช่หรือไง!” บางคนออกอาการโมโหโทโส
“ล้อเล่นน่า เขาเสียสติไปแล้วหรือไง?”
“รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร? ต้องมาถูกผู้คนตั้งคําถามเนี่ยนะ มันจะมากเกินไปแล้ว!” ในห้องสะสมเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง
เซี่ยเหล่ยยืนอย่างเงียบสงบมาตลอดคอยสังเกตปฏิกิริยาของอันกวนกับอันซูฮยอน แม้ว่าใบหน้าของเขาจะผ่อนคลายราวกับไม่แยแสเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นแค่มองฝูงชนที่วุ่นวายเท่านั้น แต่หัวใจของเขายังคงเต้นเป็นระส่ํา ถ้าเขาแสดงท่าทางน่าสงสัยออกไปและถูกจับได้ละก็มันจะต้องเป็นเรื่องน่าสยดสยองแน่
แม้ว่ามันจะเป็นการโจรกรรมแต่อย่างไรมันก็ย่อมต้องมีความรู้สึกผิดออยากอดเสียไม่ได้
“มันจะเป็นไปได้ยังไง?” ใบหน้าของเฉินตูเทียนหยินฉายแววประหลาดใจ “ห้องสมุดนี้ไม่ใช่ห้องที่ใครจะเข้ามาได้ง่ายๆ ใครมันจะไปมีความสามารถถึงขนาดนั้น?”
เซี่ยเหล่ยพูด “ผมยังรู้สึกแปลกๆแต่รหัสคือลายนิ้วมือแล้วก็ยังมีการ์ดอีก คนที่ขโมยมันไปจากที่นี่ได้จะต้องเป็นโจรที่เก่งมากแน่ๆ ผมเกรงว่าเราจะรู้ตัวกันช้าไป”
“งั้นเหรอ? ในโลกนี้มันมีโจรที่เก่งขนาดนี้อยู่จริงน่ะเหรอ?” เฉินตูเทียนหยินยิ้ม” ฉันอยากจะรู้จังว่าโจรมันหน้าตาเป็นยังไง ฉันคิดว่านี่น่าจะเป็นโจรที่มีฝีมือแนบเนียนคนหนึ่งเลยล่ะ”
เซี่ยเหล่ยยิ้มแล้วคิดในใจ
ก็คนที่อยู่ตรงหน้านี่ไง!
อันซูฮยอนเดินเข้ามาใกล้มองสํารวจบนตัวของเซี่ยเหล่ย…
“คุณเซี่ย มันแปลกจริงๆ ผมพาคุณกับเทียนหยินมาที่นี่แล้วจากนั้นสมบัติชิ้นสําคัญ ที่สุดของตระกูลเราก็หายไป”
เซี่ยเหล่ยขมวดคิ้ว “คุณอัน หมายความว่ายังไง?”
อันซูฮยอนพูดอย่างเย็นเยียบ “ผมไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้นแค่พูดออกไปก็เท่านั้นเอง ทุกคนที่นี่ก็เป็นผู้ต้องสงสัยกันทั้งนั้น ทุกคนอยากจะได้คําอธิบายกันทั้งนั้นแหละ”
ความหมายของประโยคนี้มันก็คือคุณต้องหาคําอธิบายที่มีเหตุผลพอจะฟังขึ้นมาให้ได้
เซี่ยเหล่ยยักไหล่ “คุณอยากให้ผมอธิบายอะไรล่ะ? ผมต้องอธิบายอะไรกับคุณอีก? ลองคิดดูนะ ตอนแรกผมจะไม่มาที่นี่กับคุณด้วยซ้ําถ้าคุณไม่พาผมมาที่ห้องสมุดนี่ผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ําว่ามันมีของแบบนี้อยู่ที่บ้านคุณ ในสถานการณ์แบบนี้คุณยังจะให้ผมอธิบายอะไรอีก?”
ใบหน้าของอันซูฮยอนหม่นลงแต่เขาก็ปฏิเสธคําพูดของเซี่ยเหล่ยไม่ได้จิตใต้สํานึก ยังคงระแวดระวัง เขาอยากจะหาเรื่องเซี่ยเหล่ยแม้ว่ามันเป็นการวางแผนใส่ร้ายก็ตาม แต่บนตัวของเซี่ยเหล่ยก็ไม่พบพิรุธใดๆเลย
เฉินตูเทียนหยินดูค่อนข้างจะไม่พอใจ ” อันซูฮยอนคุณหมายความว่าพวกเราก็น่าสงสัยด้วยงั้นเหรอ? ฉันก็ต้องอธิบายเรื่องนี้กับคุณด้วยใช่ไหม?”
“ไม่ ไม่” อันซูฮยอนพูดต่อ ” ผมขอโทษ เทียนหยินผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่สับสนกับตัวเองเท่านั้น ผมไม่ได้สงสัยคุณ ถ้าคุณอยากจะออกไปละก็ผมจะไปส่งคุณเดี่ยวนี้แหละ”
“เหล่ย ไปกันเถอะ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะกลับโรงแรมกันได้แล้ว” เฉินตูเทียนหยินพูด “ที่นี่กําลังมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ฉันไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
เซี่ยเหล่ยพยักหน้า “ได้งั้นเรากลับโรงแรมกันเถอะ”
อันซูฮยอนเดินเข้ามาขวางเซี่ยเหล่ย “เขาไปไม่ได้ครับ คุณเซี่ยจะออกไปไม่ได้”
คิ้วของเฉินตูเทียนหยินยื่นเข้าในทันที “อันซูฮยอน เหล่ยเป็นเพื่อนของฉันนะ แน่ใจเหรอว่าจะทําอย่างนี้จริงๆน่ะ”
อันซูฮยอนตอบ “เทียนหยิน ได้โปรดเข้าใจด้วยครับ คุณเห็นมั้ยว่าแขกที่มางานคืนนี้ที่อยู่ด้านหลัง พวกเขาล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในประเทศเราทั้งนั้นถ้าแค่คุณเซี่ยก็ออกไปได้ พวกเขาก็ต้องออกไปได้ด้วยเช่นกัน และถ้าพวกเขาไป ก็หมายความว่าพวกเราอาจจะปล่อยคนร้ายลอยนวลไปเช่นกัน”
“งั้นก็ได้ ฉันก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน” เฉินตูเทียนหยินโกรธเคืองขึ้นมาเล็กน้อย
อันซูฮยอนอยากจะอธิบายแต่ทันใดนั้นเซี่ยเหล่ยก็พูดขึ้น “เทียนหยิน คุณไปก่อนก็ได้นะ ผมอาจจะถูกค้นตัวแล้วไม่เจออะไรก็ได้ เรื่องแค่นี้ผมไม่สนใจหรอกแต่คุณเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม คุณจะมาเสียภาพลักษณ์ไม่ได้”
“หา? ยังจะค้นอีกเหรอ?” เฉินตูเทียนหยินดูโมโหขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“เซี่ยหล่ย!” อันซูฮยอนร้อนรน “คุณกําลังพูดอะไรอยู่? ใครบอกว่าเราจะค้นตัว เทียนหยินอย่ามาพูดมั่วนะ!”
“เฮ้!”
เซี่ยเหล่ยหัวเราะในลําคอ เขาหยุดพูดด้วยภาษาจีนจากนั้นพูดด้วยภาษาอังกฤษแทนด้วยเสียงอันดังว่า “ผมหาเรื่องงั้นเหรอ? คุณนั่นแหละที่หาเรื่อง! ไม่ใช่ว่าคุณกําลังเหมาว่าพวกเราเป็นโจรอยู่เหรอ? ทุกคนที่นี่ก็มีแต่คนที่มีหน้ามีตาในสังคมกันทั้งนั้น คุณคิดว่าพวกเราเป็นใครกัน? คุณทําไม่ถูกนะที่จะเหมาว่าพวกเราเป็นผู้ต้องสงสัยไปเสียทั้งหมดน่ะ!”
ในที่นี้ไม่มีใครเข้าใจภาษาจีนซักคนแต่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางและเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างสากล พวกคนมีฐานะในเกาหลีจําต้องเข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่าจีนเป็นแน่ เซี่ยเหล่ยใช้หางตาดูก็รู้แล้วว่าต้องใช้ภาษาอะไรในการสื่อสาร และสร้างเสียงฮือฮาขึ้นเป็นวงกว้างในห้องสมุดในทันที ใช่ พวกเขาคือพวกคนมีหน้ามีตาในสังคม ทําไมพวกเขาถึงจะอยากอยู่ให้โดนสอบสวนด้วยล่ะ?
ตั้งแต่เซี่ยเหล่ยมาที่เกาหลีใต้ อันซูฮยอนพยายามหาเรื่องเซี่ยเหล่ยและไล่เขาจนมุม แต่ในตอนนี้มันเป็นเซี่ยเหล่ยที่จะไล่เขาให้จนมุมแทน
แม้ว่าอันกวนจะเป็นเพียงประธานของเครื่อเฉินนง แต่เขาก็มีอิทธิพลทางการเมือง และแน่นอนว่ามันจะไม่ดีแน่ที่จะละเมิดผู้คนที่มีหน้ามีตาสังคมมากขนาดนี้ อีกอย่าง เขายังต้องการการสนับสนุนจากคนพวกนี้ต่อไปในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้า
สีหน้าของอันกวนเริ่มมืดมนมากยิ่งขึ้นดูคล้ายหมาป่าแก่ๆที่ผ่านการล่ามาอย่างยาวนานจนเหนื่อยล้า
ในหัวของอันซูฮยอนไม่มีความสงบอยู่เลย เขาคว้าคอเซี่ยเหล่ยและพูดอย่างเยือกเย็น เซี่ยเหล่ย แกไม่ตายดีแน่!”
เซี่ยเหล่ยไม่ได้ขัดขืนอะไรแต่ตะโกนเป็นภาษาอังกฤษว่า “คุณขู่จะฆ่าผมเหรอ? ผมจะโทรเรียกตํารวจ!”
สายตาของแขกผู้มางานจับจ้องไปยังร่างของอันซูฮยอนและเซี่ยเหล่ย ซุบซิบกันแบบลับๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“อันซูฮยอนปล่อยเขาไป” อันกวนปริปากพูดออกมา “ผมขอโทษด้วยจริงๆ ผมด่วนตัดสินใจเกินไปถ้าเช่นนั้นทุกคนกรุณาไปที่ห้องรับรองแล้วพักผ่อนเถอะ ผมเชิญทุกๆคนไปดี มชาแล้วเรามาค่อยๆคุยกันเถอะ ผมขอโทษด้วยจริงๆ”
ได้ยินดังนั้นความขับข้องใจของแขกผู้เข้าร่วมงานก็ดูจะลดน้อยลง อันกวนและอันซู ฮยอนย้ายตัวเองมาที่ห้องรับรองกับบรรดาแขกในงาน เซี่ยเหล่ยและเฉินตูเทียนหยินก็มาด้วยเช่ นกัน
ภายในห้องรับรอง มันใช้เวลาสองสามนาทีก่อนตํารวจกลุ่มใหญ่จะมาถึง เจ้าหน้าที่บางคนเริ่มต่อสายตรวจดูกล้องวงจรปิด บางนายก็ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุและบางนายกสอบสวนแขกผู้มาร่วมงาน
เซี่ยเหล่ยเริ่มกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด นายตํารวจคนหนึ่งเขามาสอบสวนเขา ด้วยภาษาอังกฤษ เซี่ยเหล่ยตอบไปอย่างใจเย็นและให้ความร่วมมือกับการสอบสวนโดยตลอด ทุกๆคําถามของนายตํารวจถูกเขาคาดเดาและเตรียมคําตอบเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว
ขณะที่ตอบคําถาม ตาของเซี่ยเหล่ยย้ายไปจับที่ร่างของอันกวนในตอนนั้นเขาเข้าไป ยังห้องรับแขกและกําลังคุยโทรศัพท์อยู่ซึ่งดูเคร่งเครียดและยุ่งอยู่ตลอดเวลา
เซี่ยเหล่ยรู้สึกกังวลและเขาคิดอยู่ในใจว่า “ดาบโบราณอย่างดาบอาทิส์ล่าเป็น แค่ของสะสมอายุนับพันปี มูลค่าของมันคงประมาณสองร้อยล้านหรือพันล้าน แต่มันก็คงจะไม่มีค่าอะไรมากมายกับอันกวนนักแต่ทําไมเขาถึงดูวิตกกังวลได้ขนาดนั้น
ไม่เข้าใจเลย….
ทันใดนั้นเซี่ยเหล่ยก็นึกขึ้นได้ถึงน้ําหนักที่ผิดปกติของดาบอาทิสล่า
มันมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในดาบอาทิสล่ากันนะ?
“เหล่ย” เฉินตูเรียกเซี่ยเหล่ยเข้าไปใกล้ “ฉันขอโทษที่ทําให้คุณต้องตามฉันมา ที่เกาหลีใต้ คุณไม่ควรจะมาติดอยู่ในปัญหาแบบนี้เลย”
ความคิดของเซี่ยเหล่ยถูกขัด เขายิ้มออกมาพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร แค่นี้ เรื่องเล็กน้อยถ้าเทียบกับปัญหาอะไรที่พวกเราเคยเจอมาก่อนน่ะนะ”
“คุณไม่ต้องไปเป็นเพื่อนฉันในพิธีวางศิลาฤกษ์พรุ่งนี้แล้ว ฉันจะกลับไปจีนเองเมื่อเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว”
“อั้ม” เซี่ยเหล่ยตอบ
มันไม่ใช่ความโชคดีแต่ความสามารถและจุดแข็งของอันกวนยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ในวันนี้ได้ เขาเอ่ยขอโทษขอโพยบรรดาแขกในงานและส่งบรรดาแขกที่ไม่ค่อยพอใจนักกลับไป
“ทุกคนจะได้กลับบ้าน ไว้ผมจะส่งจดหมายไปขอโทษอีกที” ในที่สุดอันกวนก็ปรากฏตัวออกมา
เซี่ยเหล่ยและเฉินตูก็ได้กลับไปเช่นกัน
อันซูฮยอนไม่ได้เดินออกมาส่งเฉินตูเทียนหยิน เขาจ้องมองแผ่นหลังของเซี่ยเหล่ยอยู่ตลอดเวลา ภายในดวงตาเต็มไปด้วยหมอกควันอันมืดมัว…