ตอนที่ 87 ไข่มุกโลหิตมาร
หลังจากมาถึงถ้ำหมาป่าสีเทา หยางเย่รีบเรียกมิงค์ม่วงและไข่มุกโลหิตมารออกมา มิงค์ม่วงถือไข่มุกไว้ในกรงเล็บขณะส่งให้หยางเย่พร้อมดวงตาหรี่ลง
ขณะมองไข่มุกที่อยู่ตรงหน้า หยางเย่กล่าวด้วยอาการตกตะลึง “เจ้าให้ไข่มุกนี้กับข้างั้นหรือ?”
มิงค์ม่วงพยักหน้า
หยางเย่ไม่ได้หยิบไข่มุก แต่ยื่นมือไปลูบหัวขนฟูของมิงค์ม่วงแทนพร้อมกล่าว “หากเจ้าพบของวิเศษเช่นนี้อีกในอนาคต เจ้าต้องไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงเช่นนี้นะ สําหรับข้า ความปลอดภัยของเจ้าคือสิ่งสําคัญที่สุด เข้าใจหรือไม่?”
ความรู้สึกแปลกประหลาดปรากฏผ่านดวงตามิงค์ม่วง จากนั้นมันพยักหน้าก่อนจะพุ่งไปคลอเคลียที่ใบหน้าของหยางเย่
หยางเย่ยิ้มพลางมองไปยังไข่มุกโลหิตที่ลอยอยู่ตรงหน้า ขณะที่กําลังจะยื่นมือไปจับไข่มุก สายลมเย็นยะเยือกได้พัดผ่านหลังของหยางเย่ จากนั้นประกายแสงสีขาวของซูชิงฉือปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มือของหยางเย่ที่กําลังจะคว้าไข่มุกถูกหยุดไว้โดยนาง
เมื่อเห็นซูชิงฉือปรากฏตัวอย่างกะทันหัน หยางเย่ชะงักพร้อมเอ่ย “ชิงฉือ ท่าน…”
ซูชิงฉือถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นหยางเย่ยังไม่ได้แตะไข่มุก จากนั้นได้ปล่อยมือหยางเย่ก่อนจะหันไปมองไข่มุกพร้อมกล่าวด้วยท่าที่จริงจัง “เจ้าจะสัมผัสไข่มุกนี้ไม่ได้!”
หลังจากปะทะกับสมาชิกสํานักภูตผี นางรีบตามหาหยางเย่เพราะกลัวว่าหยางเย่สัมผัสไข่มุก โชคดีที่หยางเย่ยังไม่ได้สัมผัสมัน
” ทําไมงั้นหรือ?” หยางเย่ถามตามสัญชาตญาณ
ซูชิงถือกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไข่มุกนี้เรียกว่าไข่มุกโลหิตมาร มันคือวัตถุเคําจําแลงที่กลั่นจากความแค้นและโลหิตของมนุษย์นับแสนคน พลังมหาศาลที่น่าสะพรึงถูกกักเก็บอยู่ในไข่มุกนี้ มันไม่สามารถหนีออกจากไข่มุกได้เพราะถูกผนึกไว้โดยยอดฝีมือของสํานักภูตผี ถ้าเจ้าสัมผัสไข่มุกนี้ เช่นนั้นจิตใจอาจจะถูกครอบงําโดยพลังงานภายใน
“วัตถุเต้าจําแลง?” หยางเย่ตกตะลึง วัตถุเต๋าจําแลงคือสิ่งที่อยู่เหนือกว่าของวัตถุทมินขั้นสวรรค์! หยางเย่ไม่คาดคิดว่าไข่มุกตรงหน้าจะเป็นวัตถุเตาในตํานาน
ซูชิงฉือพยักหน้าพร้อมกล่าว “ไข่มุกโลหิตมารนี้กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของสํานักภูตผี หากศิษย์สํานักภูตผีบ่มเพาะพลังด้วยวิชาของสํานักนั้นขณะครอบครองไข่มุกขั้นพลังพวกมันจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นหากพลังมหาศาลภายในไข่มุกนั้นถูกปลดปล่อยออกมา แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณจุติยังพินาศได้หากประมาท”
หยางเย่ตกตะลึงยิ่งขึ้นเมื่อได้ยิน เขาไม่คาดคิดว่าไข่มุกที่สหายตัวจ้อยขโมยมาให้จะเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง แม้กระทั่งขั้นปราณจุติเลยงั้นหรือ? มันเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการจะไปถึง แต่พลังมหาศาลในไข่มุกกลับสามารถฆ่ายอดฝีมือขั้นปราณจุติได้”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาหยางเย่ถึงกับลุกเป็นไฟ “มันคือสมบัติล้ำค่า! หากเราปะทะกับยอดฝีมือและไม่สามารถเอาชนะได้ เราก็แค่ปลดปล่อยพลังมหาศาลในไข่มุกก็สามารถชนะได้งั้นสิ?”
ซูชิงฉือมองไปที่หยางเย่เหมือนจะตระหนักได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางรีบกล่าว “เจ้าไม่สามารถใช้ไข่มุกนี้ได้”
หยางเย่ชะงักพร้อมถาม “ทําไมกัน?”
“พลังมหาศาลภายในไข่มุกนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะต้านทานได้ แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณสี่คนยังปล่อยอานุภาพของมันออกมาได้อย่างเชื่องช้า เพื่อทําลายชีพจรวิญญาณธรรมชาติของสํานักดาบราชัน อย่าว่าแต่ปลดปล่อยพลังข้างในนั้นเลย แม้กระทั่งแตะต้องมันก็อาจทําให้เจ้าหมดสติได้แล้ว!” ซูชิงฉือกล่าวด้วยเสียงต่ำ
“พวกมันกําลังทําลายชีพจรวิญญาณธรรมชาติของสํานักดาบราชัน?” หยางเย่สับสน
ซูชิงฉือกล่าว “ด้านใต้ของสํานักดาบราชันมีชีพจรวิญญาณธรรมชาติหลับใหลอยู่ หลายปีก่อน เมื่อบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งผ่านมาที่นี่ เขาสังเกตว่ามีชีพจรวิญญาณธรรมชาติ จากนั้นไม่นานจึงได้ก่อตั้งสํานักดาบราชันขึ้น ชีพจรวิญญาณธรรมชาตินี้คือเหตุผลที่ทําให้สํานักดาบราชันกลายเป็นหนึ่งในหกมหาอํานาจ นอกจากวิชาบ่มเพาะพลังหรือวิชาแห่งความมืดแล้ว เหตุผลที่คนเข้าร่วมสํานักคือ ทุกสํานักจะมีชีพจรวิญญาณธรรมชาติ การบ่มเพาะพลังในที่ที่มีเส้นพลังจิตวิญญาณธรรมชาติ จะทําให้ผู้ที่บ่มเพาะพลังสามารถบ่มเพาะได้เร็วขึ้นมากกว่าปกติ!”
หยางเย่กล่าวด้วยความปละหลาดใจ “เช่นนั้นที่พวกสํานักภูตผีทําลาย ก็เพื่อทําลายเสาหลักของสํานักดาบราชันเลยงั้นหรือ?”
ประกายเย็นเยือกปรากฏผ่านดวงตาซูชิงฉือ “จุดประสงค์หลักของพวกมันคือทําลายเสาหลักของสํานักเราแน่นอน แต่พวกเราไม่คาดคิดว่าพวกมันจะขุดหลุมที่ใต้ดินถึงห้าร้อยกิโลเมตรจากหุบเขาหมาป่าให้ไปจนถึงที่นั่น ยิ่งกว่านั้นยังไม่คาดคิดว่าพวกมันจะใช้ไข่มุกโลหิตมารเพื่อทําลายชีพจรวิญญาณธรรมชาติของสํานักด้วย โชคดีที่พวกเราพบพวกมันทันเวลา! มิเช่นนั้นผลที่ตามมาคงเกินกว่าที่จะจินตนาการ”
หยางเย่เอ่ยถามคําถามที่กวนใจเขา เนื่องจากไข่มุกโลหิตมารสามารถทําลายชีพจรวิญญาณธรรมชาติของสํานักเราได้ เหตุใดพวกมันจึงไม่ส่งยอดฝีมือที่เก่งกาจกว่าพวกนั้นมา?”
ซูชิงฉือส่ายหัวพร้อมกล่าว “มีอยู่สองเหตุผล เหตุผลแรกคือ พวกมันไม่สามารถส่งยอดฝีมือที่มีพลังเหนือกว่าขั้นปราณจิตวิญญาณมาได้ เนื่องจากพวกนั้นถูกสํานักเราจับตามองอยู่ หากยอดฝีมือพวกนั้นหายไป สํานักดาบราชันจะทราบก่อนใครในทันที พวกเราเองก็ต้องระมัดระวังตัวเช่นกัน เหตุผลที่สองคือ มันไม่จําเป็นต้องใช้ถึงขั้นที่สูงกว่าปราณจิตวิญญาณ เพราะถ้าพวกมันเริ่มให้ไข่มุกโลหิตมารอย่างเต็มพลัง เช่นนั้นพลังมหาศาลของไข่มุกจะถูกปล่อยออกมา และยอดฝีมือของสํานักดาบราชันจะทราบอย่างรวดเร็ว หากเป็นเช่นนั้นแผนพวกมันจะล้มเหลวได้!”
“เป็นเช่นนี้เอง!” หยางเย่พยักหน้า ดูเหมือนเขาจะนึกบางอย่างได้พร้อมถามอีกครั้ง “มีวิธีอื่นที่พอจะรับมือกับพลังงานภายในไข่มุกหรือไม่?
หยางเย่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่สามารถใช้มันได้ เพราะพลังของมันน่าสะพรึงเกินไป
ซูชิงถือครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง “มีคนเพียงสองประเภทเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ ประเภทแรกคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากพออย่างขั้นปราณจักรพรรดิที่เหนือกว่าขั้นปราณจุติ อีกประเภทที่สามารถใช้ได้คือ คนที่มีเจตจํานงหนักแน่น อย่าว่าแต่ไข่มุกโลหิตมาร คนที่มีเจตจํานงหนักแน่นนั้น จะสามารถต้านทานวัตถุมารต่าง ๆ ได้หมด”
“เราจะมีเจตจํานงที่หนักแน่นได้อย่างไร?” หยางเย่ถามต่อ
เมื่อนางเห็นว่าหยางเย่ยังไม่ยอมแพ้ ซูชิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกล่าว ” คนที่เข้าใจเจตจํานงแห่งตํานานเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงได้ หรือเรียกได้ว่า เจตจํานงแห่งเทพ” บางทีอาจมีบุคคลนั้นในโรงเรียนปราชญ์หรือในจักรวรรดิต้านั้น แต่ไม่มีคนเช่นนั้นในสํานักดาบราชันของข้า กล่าวอย่างชัดเจนคือ มันนานนับพันปีแล้วที่มีคนเช่นนั้นในสํานักดาบราชันที่มี “เจตจํานงแห่งเทพ” ” เมื่อกล่าวจบ ซูชิงฉือแสดงสีหน้าหดหู่เล็กน้อย
หยางเย่ละทิ้งความตั้งใจที่จะใช้มันทันทีที่ได้ยิน ถึงแม้มันยากที่จะยอมแพ้ แต่เขาก็ทําสิ่งใดไม่ได้ ไข่มุกนี้จะเป็นสิ่งที่นําพาเขาไปพบกับหายนะ และเขายังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้
ซูชิงฉือลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ข้าต้องนําไข่มุกนี้กลับไปที่สํานักดาบราชัน และให้สํานักผนึกมันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้มันตกไปอยู่ในมือของพวกสํานักภูตผี”
หยางเย่ซะงัก เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดขณะที่มิงค์ม่วงตรงไหล่ขยับตัวอย่างฉับพลัน มันขยับกรงเล็บเพื่อนําไข่มุกโลหิตมารมาไว้ในมือ จากนั้นมันมองไปยังซูชิงฉืออย่างดุดันราวกับว่าแสดงความเป็นเจ้าของ
หยางเย่กล่าว “ชิงฉือ สิ่งนี้สหายตัวจ้อยเป็นคนขโมยมา ข้าไม่มีสิทธิ์บอกให้มันยกให้เจ้า ข้าหาได้ขัดข้องไม่ถ้าท่านสามารถเจรจากับมันได้ ข้าไม่ได้แสดงเจตนาที่จะไร้ยางอาย เจ้าน่าจะทราบว่าข้ากับสหายตัวจ้อยเป็นสหายกัน ไม่ได้อยู่กันแบบเจ้านายสัตว์เลี้ยง!”
ซูชิงฉือมองไปที่หยางเย่ อันที่จริงนางหาได้เชื่อหยางเย่ไม่ เพราะมิงค์ม่วงลึกลับตัวนี้เชื่อฟังหยางเย่ทุกคํา ถ้าหยางเย่ขอให้มันส่งให้ เช่นนั้นมันก็ไม่กล้าปฏิเสธ แต่เมื่อหยางเย่กล่าวเช่นนั้น มันแสดงออกว่าหยางเย่ไม่ต้องการส่งให้
ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะหยางเย่และมิงค์ม่วง นางคงไม่สามารถทราบได้ว่าสํานักภูตผีซ่อนอยู่ตรงไหน หากสํานักภูตผีดําเนินการต่อ ถึงชีพจรวิญญาณจะไม่ถูกทําลายจนหมด มันก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ในเวลานั้นสํานักดาบราชันจะสูญเสียอีกมาก
ดังนั้น จะให้นางเอาความกล้าไหนไปขอไข่มุกจากหยางเย่?
เป็นอย่างที่นางคิด หยางเย่ไม่ต้องการส่งให้นาง ถึงแม้ไข่มุกนี้จะเป็นวัตถุเตาจําแลง มันก็ยังคงเป็นสมบัติล้ำค่า เขาอาจจะใช้ประโยชน์มันไม่ได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ไม่ได้ในอนาคต ไม่ว่ายังไงมันก็ดีกว่าที่จะเก็บไว้เป็นสมบัติของตนเอง แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งซูชิงฉือยอมรับได้
นางเงียบไปชั่วครู่ขณะที่หยางเย่เองก็เงียบไปเช่นกัน ทั้งสองได้ครุ่นคิดอยู่นาน และการตัดสนใจทั้งหมดอยู่ในกํามือของนาง
หลังจากเวลาไป ซูชิงฉือหันไปมองหยางเย่อีกครั้ง “มีเพียงข้าเท่านั้นที่ทราบว่าไข่มุกนี้อยู่ที่ไหน อย่าเผยไข่มุกนี้ให้ใครเห็น มิเช่นนั้นแม้แต่สํานักดาบราชันก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้!”
“ ขอบคุณ!” หยางเย่กล่าวอย่างจริงจัง
ซูชิงฉือบิดข้อมือ ทําให้แผ่นจารึกไม้ปรากฏขึ้นในบน นางส่งมันให้หยางเย่พร้อมกล่าว “นี่คือคะแนนสนับสนุนของสํานักหนึ่งหมื่นแต้ม มันคือรางวัลที่เจ้ามีส่วนร่วมในครั้งนี้ เจ้าสามารถนํามันไปแลกกับเคล็ดวิชาหรือของวิเศษได้เมื่อกลับไปยังสํานัก แต่ข้าแนะนําให้เก็บมันไว้ก่อน และสะสมคะแนนให้มากยิ่งขึ้น!” ทันทีที่กล่าวจบ ซูชิงฉือไม่คิดจะอยู่ต่อ นางหันหลังเดินออกจากถ้ำไป
หลังจากนางเดินออกไป หยางเย่มองไปที่แผ่นจารึกไม้ในมือ ขนาดมันเท่ากับฝ่ามือของเขาทั้งยังมีตัวเลขหนึ่งหมื่นปรากฏอยู่ตรงกลาง
ขณะที่มองเขารู้สึกดีใจอย่างมาก คะแนนสนับสนุนหนึ่งหมื่นคะแนนไม่ใช่มูลค่าที่น้อยนิด เพราะผู้อาวุโสนอกจะได้รับประมาณหนึ่งพันคะแนนต่อเดือน ส่วนหนึ่งพันคะแนนสามารถแลกเปลี่ยนกับของวิเศษหรือเคล็ดวิชาขั้นสีเหลืองระดับต่ำได้
ส่วนหนึ่งหมื่นแต้มสามารถแลกเปลี่ยนของขั้นสีดําระดับต่ำได้
เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หยางเย่ได้รับของดีนับมากมายในการไปหุบเขาหมาป่าใต้ หรือกล่าวได้ว่าเขามีโชค ยิ่งกว่านั้นยังมีอาวุธขั้นสีดําอยู่สองชิ้น และขั้นสีดําระดับต่ำกับกลางอีกนับสิบชิ้นในแหวนมิติ
หลังจากเก็บแผ่นจารึกไม้เรียบร้อย หยางเย่ไม่รอช้ารีบเดินออกจากถ้ำ เขาเดินทางกลับสํานักดาบราชันในทันที