ตอนที่ 103: ฉันมั่นใจ
เสี่ยวเฉิงปล่อยให้พวกเขาหัวเราะอยู่แบบนั้น ไม่นานนัก เสี่ยวเฉิงก็หยิบจานข้าวขึ้นมาและเดินไปนั่งกับสมาชิกทีมสอง หลี่เชาว์พลันมองมายังเสี่ยวเฉิงและกล่าวคําพูด “หัวหน้าครับ ผมล่ะอยากเดินไปตบกระบาลพวกชอบนินทาจริง ๆ เลย”
เสี่ยวเฉิงพลันเผยยิ้ม “ไม่ต้องคิดมาก เรายังมีโอกาสอีกตั้งเยอะ”
หวู่กังเองก็มองไปยังเสี่ยวเฉิงเช่นกัน “แต่แผนการของหัวหน้าดูจะทําร้ายลูกน้องทางอ้อมนิดหน่อยนะครับ”
เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับอย่างมั่นใจ “การหลบกระสุนจากที่โล่งน่ะ มันง่ายมากเลยนะ เทียบไม่ได้เลยกับลูกธนูที่พุ่งออกมาจากความมืด… แผนของฉันไม่ธรรมดาหรอกน่า เดี๋ยวพวกนายก็จะได้เห็นเอง”
หวู่กังพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง แต่ท้ายที่สุด เขาก็ทนไม่ไหวจนต้องกล่าวคําพูดออกมา “หัวหน้าครับ นี่คุณกําลังสั่งให้เราคอยเฝ้าจับตาดูอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยอยู่นะครับ! แถมคุณยังสั่งให้หลี่เชาว์กับทีมคอยตรวจสอบรายการบัญชีของแก๊งพยัคฆ์ขาวด้วย ตอนนี้ทุกคนรู้หมดแล้วนะครับว่าหน่วยสองของเรากําลังพยายามทําอะไรอยู่… ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่เราต้องมาทําภารกิจอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้…”
“กินข้าวไปเถอะน่า” เสี่ยวเฉิงพลันมองไปยังสมาชิกในทีม “ฉันให้สัญญา ฉันขอเวลาแค่สองสามวัน แล้วถ้าแผนการของฉันทําให้พวกนายล่าบากใจกันจริง ๆ ฉันก็พร้อมจะลาออกจากงานนี้เอง… ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เคยล้อเล่นกับคำพูดของตัวเองอยู่แล้ว”
“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะร่วมมือกับคุณอย่างเต็มที่เลย!” หลังจากเสี่ยวเฉิงกล่าวคําพูดเช่นนั้นของมา ทั้งหลี่เชาว์และหวู่กังพร้อมกับสมาชิกคนอื่นในทีมก็พลันประกาศกร้าวความมุ่งมั่นของตัวเอง
ทว่า ในทางกลับกัน ณ ห้องทํางานของรองผู้บัญชาการ หรานจิงพลันกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะด้วยโทสะ “ท่านรองคะ ท่านอนุมัติให้แผนการแบบนี้ผ่านได้ยังไงกัน?! ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่?!”
อันที่จริง หรานจิงกําลังสงสัยอยู่ว่ารองผู้บัญชาการหัวหมอคนนี้ต้องกําลังร่วมมือกับคนอื่นเพื่อกลั่นแกล้งเสี่ยวเฉิงอยู่แน่
หรานจิงพลันรู้สึกราวกับว่าหลี่ตาจวงอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด นั่นเป็นเพราะหลี่ตาจวงเป็นคนเดียวที่สนิทกับรองผู้บัญชาการ อีกทั้ง หลี่ตาจวงยังเป็นที่รักของทีมเจ็ดอีกด้วย หรานจิงพลันรู้สึกว่าหลี่ตาจวงกําลังพยายามท่าทุกอย่างเพื่อให้เสียวเฉิงต้องอับอายขายขี้หน้าอยู่
“ตั้งแต่เขาได้รับคดีไป คุณคิดว่าผมต้องไปกีดกันกัปตันเสี่ยวเฉิงจากความสามารถที่เขามีงั้นเหรอ? คุณมาบ่นกับผมแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ขนาดเบื้องบนยังอนุมัติแผนนี้เลย” รองผู้บัญชาการกล่าว
“ว่าไงนะคะ?” หรานจิงพลันคิดว่าตัวเองหูฝาดไป เธอแทบอยากจะตะโกนออกมาว่าเบื้องบนมีสมองกันหรือเปล่า?! พวกเขายอมอนุมัติแผนการสิ้นคิดแบบนี้ได้ยังไงกัน? ห่วยแตกสิ้นดี!
– สองชั่วโมงที่แล้ว –
ก่อนหน้าที่หรานจิงจะเข้ามาคุยกับรองผู้บัญชาการ ผู้บัญชาการสูงสุดพลันรู้สึกว่างและไม่มีอะไรทํา ด้วยเหตุนั้น เขาจึงตัดสินใจมาหาเสียวเฉิงเพื่อตรวจดูว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ผู้บัญชาการสูงสุดพลันเดินทางเข้ามาถึง สำนักงานอธิบดีกรมสอบสวนคดีอาญาและนั่งดื่มชากับรองผู้บัญชาการ
ทว่า ระหว่างที่รองผู้บัญชาการกําลังตรวจสอบเอกสารและไล่อ่านรายงานของทีมสอง เขาก็พลันกระแทกเอกสารลงบนโต๊ะ “นี่มันอะไร?! ใครเป็นคนคิดแผนการอะไรแบบนี้ขึ้นมากัน?!”
ผู้บัญชาการสูงสุดพลันรู้สึกสงสัย “เป็นอะไรไป? ทำไมนายต้องหัวร้อนขนาดนั้นด้วย?”
รองผู้บัญชาการพลันเผยยิ้มออกมาอย่างขมขึ้นและยื่นรายงานของทีมสองให้กับผู้บัญชาการสูงสุด “นายดูเองก็แล้วกัน
เมื่อพูดถึงเสี่ยวเฉิง เขาได้รับการเลื่อนตําแหน่งก็เพราะคําสั่งของผู้บัญชาการสูงสุด ด้วยเหตุนั้น ผู้บัญชาการสูงสุดก็ควรจะรู้เอาไว้ว่าตอนนี้เสียวเฉิงเป็นยังไงบ้างหรือกําลังคิดทําอะไรอยู่ ระหว่างนั้น ผู้บัญชาการสูงสุดก็พลันจิบชาและไล่อ่านเอกสาร ทว่า เพียงเสี้ยววินาที ผู้บัญชาการสูงสุดก็แทบจะพ่นน้ําชาออกมาจากปาก
มันเป็นเหมือนแผนการที่ปราศจากการวิเคราะห์… หน่วยสองเขียนเอาไว้ว่าพวกเขากําลังสืบสวนคดีนี้โดยเปิดเผยตัวตนของตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง ทว่า หากคดีฟอกเงินสามารถคลี่คลายได้ง่ายขนาดนั้น ทําไมมันถึงยังไม่ถูกปิดไปนานแล้วล่ะ? อันที่จริง เหล่าอาชญากรคงจะชอบไม่น้อยเลยด้วยซ้ํากับการที่มีตํารวจเข้ามาสืบสวนคดีอย่างเปิดเผยเช่นนี้ มันเป็นแผนการที่ห่วยแตกสิ้นดี
“นายคิดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ?” รองผู้บัญชาการพลันถามขึ้น ทว่า ความหมายโดยนัยของเขาค่อนข้างชัดเจน นายแต่งตั้งให้เสี่ยวเฉิงมาเป็นกัปตันทีม นายก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่าเขากําลังพยายามทําบ้าอะไรอยู่?”