ตอนที่ 49
“เป็นคนที่หัวสมองไวจริงๆ”
คิมดูอุยสัมผัสได้ว่าซูฮยอนปกปิดความสามารถของตัวเองเอาไว้ ทำให้เขาตัดสินใจโทรเรียกกำลังเสริมโดยไม่รีรอ
ด้วยเหตุนี้ทำให้ซูฮยอนอดเชิดชูเขาไม่ได้ เพราะคิมดูอุยเป็นคนที่มีไหวพริบดีจริงๆ
โชคดีที่การพูดคุยช่วยสุดท้ายของซูฮยอนและคิมดูอุย นอกจากพวกเขาก็ไม่มีคนอื่นได้ยิน
เพราะถ้า ‘ผู้ตื่นขึ้น’ คนอื่นได้ยินแผนการของซูฮยอน พวกเขาจะเสียแรงจูงใจในการต่อสู้กับซูฮยอนไป
ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เพราะมันคือจิ๊กซอว์ตัวสำคัญในการรับบทเป็นผู้ก่อการร้ายต่อไป….
“ถ้างั้น…สิ่งที่ฉันควรทำต่อไปคือ..”
ซูฮยอนเรียกเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้อยู่รอบๆกลับมา
เขาในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำร้ายบ้านเรือนอีกต่อไป…สิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนี้คือ…
“ค่อยตั้งรับการโจมตีจากพวกเขาสินะ”
คิมดูอุยในฐานะที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ถ้าเขายังยืนอยู่เฉยไม่สั่งการอะไร มันคงเป็นจุดน่าสงสัยเกินไป
ในเมื่อเรื่องราวต่างๆมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาคงต้องแสดงบทบาทหัวหน้ากลุ่มซะหน่อย
“ไปจับตัวเขามาซะ”
เมื่อได้รับคำสั่งจากคิมดูอุย ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่มาด้วยกันจึงเริ่มเคลื่อนไหว
ฟิ้ว ฟิ้ว
ฉัวะ
ซูฮยอนกระโดดขึ้นไปบนอากาศเพื่อหลบการโจมตีที่มาจากทั่วทุกสารทิศ
แต่บางครั้งซูฮยอนก็เกือบเสียท่าไปเหมือนกัน เพราะการโจมตีมันเยอะเกินไป แถมยังมีมาเรื่อยๆอีกต่างหาก
เมื่อเห็นดังนั่นซูฮยอนจึงตัดสินใจยกดาบที่เตรียมเอาไว้ขึ้นมา และปัดการโจมตีกลับไป….
วุป
ทันใดนั้นเอง ร่างกายของซูฮยอนก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
เปลวเพลิงของเขาทำหน้าที่เป็นม่านป้องกันอีกหนึ่งชั้น ด้วยความหนาแน่นของเวทมนตร์ที่ปล่อยออกมา ทำให้ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ คนอื่นๆไม่กล้าเข้าใกล้ซูฮยอนเลยสักคน
“อืม… ‘ผู้ตื่นขึ้น’ แรงค์ A งั้นเหรอ?”
คิมดูอุยผู้ยืนชมการต่อสู้ของซูฮยอนอยู่บริเวณรอบนอก วิเคราะห์ความสามารถของซูฮยอนออกมาอย่างใจเย็น
‘สกิลที่เขาครอบครองอยู่ พัฒนาไปไกลมาก…แถมทักษะการต่อสู้ของเขายังดูเชี่ยวชาญอีกต่างหาก’
สกิล พลังเวทย์ สเตตัส ความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ ทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนอยู่บนตัวของซูฮยอนทั้งสิ้น
ในสายตาของคิมดูอุยทักษะการต่อสู้ของซูฮยอนมันน่าทึ่งยิ่งกว่า แรงค์ A บางคนซะอีก
ถ้าบอกซูฮยอนคือปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ คิมดูอุยก็เชื่อสนิทใจ เพราะสิ่งที่เขาเห็น แม้แต่คนที่ปีกหอคอยมานานยังมีศักยภาพไม่เท่าซูฮยอน..
“ฉันละไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ เขาได้รับการฝึกฝนมาจากปรมาจารย์คนไหนกันแน่?”
ไม่ว่า ‘ผู้ตื่นขึ้น’ จะสาดการโจมตีไปมากแค่ไหน แต่ซูฮยอนก็หลบได้หมดร่างกายของเขาพลิ้วไหวดุจสายน้ำ…
“ถ้าลองประมือกับเขา ฉันคงแพ้หมดรูปแน่ๆ”
คิมดูอุยลองจิตนาการถึงฉากการต่อสู้ระหว่างเขากับซูฮยอน ทำให้กระดูกสันหลังของเขาหนาวสั่นไปถึงตาตุ่ม
แม้พวกเขาจะมีปัจจัยเวทย์ที่เท่ากัน แต่ทักษะการต่อสู้ของเขา 2 คน แตกต่างกันเกินไป
ถ้าเปรียบเทียบกับซูฮยอน คิมดูอุยก็เป็นดั่งเด็กอมมือที่หาเรื่องกับผู้ใหญ่มากกว่า
“คิมดูอุย นายจะยืนบื้ออยู่ทำไม? มาช่วยพวกเราจัดการมันสิ”
‘ผู้ตื่นขึ้น’ คนหนึ่งสังเกตเห็นว่าคิมดูอุยไม่ทำอะไรเลย เขาจึงตะโกนถามด้วยความโมโห
คิมดูอุยผู้ซึ่งไม่ได้อยากต่อสิ้อยู่แล้ว ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนตอบกลับไป
“อ่อ ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่”
“นายคิดอะไรอยู่?”
“ผมไม่รู้ว่าเขาใช้ศัตรูที่เราควรสู้ด้วยจริงๆหรือป่าว”
“นายกำลังจะสื่ออะไรกันแน่?”
“เฮ้อ….คุณนี้หัวสมองช้าจริงๆ คุณไม่เข้าใจจริงๆเหรอ”
ด้วยคำพูดที่กํากวมทำให้ชายที่ทักคิมดูอุยเกิดความแคลงใจ
คิมดูอุยเลียลิ้มฝีปากไปมา ก่อนพูดออกเปิดปากพูดอีกครั้ง
“คุณลองสังเกตเพื่อนๆดูสิว่ามีใครบาดเจ็บไหม”
“หืม?”
“ถ้ายังเห็นไม่เห็นชัด คุณก็ลองมอง ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่กำลังโจมตีเขาดูสิ ว่ามีใครเคยแตะตัวเขาได้มั่ง?”
หลังจากได้ยินคำพูดของคิมดูอุย ทำให้เขาจมเข้าสู่ห้วงความคิด สิ่งที่คิมดูอุยพูดมาถูกต้องทั้งหมด
ในฐานะที่เขาต้องสู้กับซูฮยอนมาได้สักพัก ทำให้เขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างดี
แค่สกิลเปลวเพลิงที่ปล่อยออกมา ขนาดพวกเขาร่วมมือกัน ยังต่อกรกับซูฮยอนไม่ได้
ถ้าซูฮยอนคือผู้ก่อการร้ายจริงๆคงฆ่าพวกเขาทิ้งไปนาน
“นายอยากจะสื่ออะไรให้ฉันทราบกันแน่?”
“คุณไม่เห็นหรือว่าเขากำลังหลีกเลี่ยงพวกเราอยู่..”คิมดูอุยตอบ
มันเป็นคำตอบที่ทำลายเกียรติยศของเขาจริงๆ แต่สิ่งที่พูดมามันก็จริง
ไม่ว่าพวกเขาจะโจมตีซูฮยอนไปมากแค่ไหน แค่ซูฮยอนก็หลบมันได้หมด
เหมือนเห็นพวกเขาเป็นแค่อากาศ
“นายกำลังจะบอกว่า เขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายงั้นเหรอ”
“แล้วคุณคิดว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ไหม?”
“อืม…”
เมื่อได้ยินคำถามจากคิมดูอุย ทำให้เขามองไปทางซูฮยอนอีกครั้ง…..ไม่ว่าจะคิดสักอีกกี่ครั้ง
แต่เหมือนข้อสงสัยของคิมดูอุยจะเป็นจริง เพราะซูฮยอนไม่เคยโจมตีสวนกลับเลย
ที่สำคัญสภาพของสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทำลายก็ไม่ได้มาจากฝืมือของซูฮยอน แต่มาจากการโจมจีของพวกเขาต่างหาก
“งั้น…..ทำไมนายถึงเรียกกำลังเสริมมา? ถ้าข้อสันนิษฐานของนายเป็นจริง ทำไมเราไม่ยกเลิกคำสั่งล่ะ? ทำไมพวกเราต้องเสียกำลังพลโดยใช้เหตุด้วย?”
ถ้าคิมซูฮยอนไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายจริงๆ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียกกำลังเสริมมาเลยสักนิด ถึงมีพวกเขามาเสริมกำลัง…มันก็ไร้ความหมายอยู่ดี
ในฐานะที่คิมดูอุยคือหัวหน้าปฏิบัติการในครั้งนี้ ทำไมเขาจะทราบเรื่องนี้ แต่เขาปิดตาข้างหนึ่งแล้วยืนกรานเรียกกำลังเสริมมาอีก?
“เอ่อ…”
หลังจากโดยยิงคำถามมาอย่างกะทันหัน….ทำให้คิมดูอุยค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วตอบกลับ
“ที่ผมเรียกกำลังเสริมไป ไม่ได้ให้พวกเขามาหยุดศัตรูสักหน่อย”
“ห๊า?”
ชายหนุ่มที่ฟังคำพูดของคิมดูอุยยังคงสับสนเหมือนเดิม…
แต่ให้เมื่อคิมดูอุยตัดสินใจไปแล้ว เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้..
“นายไม่ต้องคิดอะไรให้มากความหรอก เดียวพวกเราก็รู้เอง”
ในขณะที่คิมดูอุยกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย อยู่ๆประสาทสัมผัสของเขาก็รู้สึกได้ถึงสิ่งมีชีวิตจากด้านหลัง ซึ่งมีจำนวนหลายคน
“กำลังเสริมมาถึงแล้ว” กำลังเสริมที่คิมดูอุยต่อสายไปหา ได้มาถึงจุดเกิดเหตุเป็นที่เรียบร้อย…
เขาหันกลับไปมอง ‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่มาใหม่ ซึ่งคิมดูอุยไม่เคยเห็นหน้าพวกเขามาก่อน
“อืม..ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของพวกเขาสินะ”
ไม่แปลกใจที่คิมดูอุยจะไม่รู้จัก เพราะสำนักงานรับรองเหล่าสหายผู้ตื่นขึ้นมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ…
แถมยังมีผู้ตื่นขึ้นมากหน้าหลายตาประจำการอยู่ ที่คิมดูอุยคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นมือใหม่
เพราะสีหน้าที่พวกเขาแสดงออกมามันดูลนลานและมีความกลัวปะปนมาด้วย
“ขอเดาว่าตอนนี้ ผู้อำนวยการ คงกำลังโกรธอยู่แน่ๆ.”
*****************************
ฉัวะ
ใบมีดเปลวเพลิงเฉียดจมูกของซูฮยอนไปอย่างหวุดหวิด ซูฮยอนกระโดดถอยหลังไปตั้งหลักแล้วใช้ห่างตามองผู้มาใหม่…
“กำลังเสริมมาเร็วกว่าที่คิดอีกแฮะ”
เขาก็สงสัยตั้งนานว่ากำลังเสริมที่คิมดูอุยเรียกมา จะมาถึงตอนไหน…แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะมาเร็วขนาดนี้
ดูท่าทางแผนการของเขา จะเริ่มได้เร็วขึ้นอีกนิด…
‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่มาใหม่มีจำนวน 50 คนขึ้นไป สายตาของพวกเขาจ้องมองซูฮยอนอย่างจริงจัง
กิริยาท่าทางของพวกเขาเหมือนจะถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพราะออร่าที่ปล่อยออกมา มันเข้มข้นกว่า ‘ผู้ตื่นขึ้น’ บางคนซะอีก
แค่ดูจากสรีระภายนอก ซูฮยอนก็รู้ได้ทันทีว่าทักษะและสกิลที่พวกเขาครอบครองน่าจะไม่ธรรมดา
“เฮ้อ..มองไปทางพวกเขา ทำให้ฉันนึกถึงคืนวันเก่าๆจัง”
ในอดีตซูฮยอนก็เคยเป็นสมาชิกของกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
“ฉันควรเพิ่มความระมัดระวังอีกนิด”
ซูฮยอนหยิบดาบขึ้นมาเตรียมตั้งท่าป้องกัน
วุป
เมื่อดาบของซูฮยอนถูกเอามาใช้ เปลวเพลิงที่อยู่รอบๆตัวก็ค่อยๆมอดดับลง
ทว่า..ดาบที่ดูธรรมดาทั่วไปของเขากลับเริ่มส่องแสงสีแดงแห่งความร้อนออกมา…
“หืม..ดาบงั้นเหรอ”
“เขาไม่เป็นผู้ใช้เวทมนต์งั้นเหรอ?”
‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่พึ่งต่อสู้กับซูฮยอนไปหมาดๆเริ่มกระซิบกันเบาๆ
ตอนแรกพวกเขาเห็นซูฮยอนใช้พลังเวทย์ออกมาได้อย่างเชียวชาญ พวกเขานึกว่าซูฮยอนถนัดด้านเวทมนตร์ซะอีก
แต่ตอนนี้เขากับหยิบดาบออกมาเพื่อเตรียมโจมตี…..เลยทำให้พวกเขาอดแปลกใจไม่ได้
“หรือว่าเขาจะเป็นนักดาบจริงๆ แล้วสกิลเปลวเพลิงสุดอลังการเมื่อกี้ล่ะ จะอธิบายยังไงดี?”
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่สงสัย แม้แต่คิมดูอุยก็สงสัยด้วยเหมือนกัน เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าซูฮยอนจะถนัดด้านการใช้ดาบด้วย เขานึกว่าซูฮยอนเก่งแต่ด้านเวทมนตร์ซะอีก
‘ผู้ตื่นขึ้น’ ที่ต่อสู้กับซูฮยอนก่อนหน้า..ใช้สายตามองไปทางเขาด้วยความแคลงใจ
ส่วนกำลังเสริมที่พึ่งมาถึงก็มองไปทางซูฮยอนและมองไปทางสมาชิกของพวกเขาด้วยความมึนงง? พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคนอื่นๆถึงแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา…..
“ฟู่”
ซูฮยอนหลับตาลงแล้วปล่อยลมหายใจออกมา..
ฟิ้ว
ทำใดนั้น เส้นใยสีเงินคล้ายๆโซ่เส้นใหญ่ก็พุ่งออกมาตามพื้นดินแล้วมุ่งหน้าไปหาซูฮยอน
เมื่อ ‘ผู้ตื่นขึ้น’ เห็นดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหว
ฉัวะ
ตูม ตูม
ใบมีดและโซ่ต่างโจมตีซูฮยอนไปทั่วทิศทาง….ที่สำคัญการควบคุมการเคลื่อนไหวของโซ่ มันดูซับซ้อนจนคาดเดาได้อยาก…
ดูทางท่าพวกเขาจะมีความเชียวชาญค่อนข้างสูงในการโจมตีแบบนี้..
“เห้..กลยุทธ์ทอใย เพื่อล่าเหยื่อแบบแมงมุมนี้เอง”
ซูฮยอนรู้จักเทคนิคนี้พอสมควร มันถูกพัฒนามาเพื่อการต่อสู้แบบกลุ่ม ซึ่งต้องอาศัย ‘ผู้ตื่นขึ้น’ หลายคน เพื่อใช้เทคนิคนี้ออกมาได้..
ฉัวะ
ดาบที่ซูฮยอนถืออยู่ตัดเส้นใยที่สร้างด้วยโซ่ขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย
เมื่อโซ่ที่พุ่งมาขาดขาดรุ่งริ่งไปบางส่วน ทำให้เขาหาช่องว่างและกระโดดหลบออกมาจากวงล้อมของโซ่ได้อย่างทันท่วงที
หลังจากซูฮยอนหลบออกมาจากวงล้อมของโซ่ เขาก็มาเจอเข้ากับดาบใหญ่ที่กำลังเหวี่ยงมาถึงตัว เพื่อหวังเผด็จศึก
ซึ่งซูฮยอนก็คิดอยู่แล้วว่าจะเจอแบบนี้ ทำให้เขายกดาบแกรมขึ้นมาแล้วไปปะทะกับดาบใหญ่กลับไป…
เคร่ง เคร่ง
ดาบแกรมของซูฮยอน มันไม่ใช่ดาบตามตลาดโรงเกลือ แต่มันคือดาบที่สร้างมาจากหินอีเธอร์เกรดสูงสุด
ทำให้ความคมของดาบแกรมมีมากกว่าดาบตามตลาดโรงเกลือซะอีก
หลังจากดาบแกรมแล้วดาบใหญ่ปะทะกันไปหนึ่งกระบวนท่า ดาบใหญ่ที่ดูองอาจก็เริ่มเกิดรอยปริแตก
‘ผู้ตื่นขึ้น’ ผู้ยกดาบใหญ่โดนแรงสะท้อนกลับไปจนแขนของเขาสั่นเทิ้มไปหมด
“เฮ้อ..นิสัยทะนงตัวของเขายังมีอยู่เหมือนเดิมเลย”
ซูฮยอนบ่นพึมพำออกมาหลังจากยืนตั้งหลักได้อย่างมั่นคง….
ชายผู้โดนการโจมตีของดาบแกรมไปครู่มองซูฮยอนด้วยความประหลาดใจ..แต่ทันใดนั้น
ฉัวะ
ดาบของซูฮยอนก็ฟันเข้ากลางหน้าอกของชายคนนั้นอย่างจัง…แต่แปลกที่หน้าอกของเขากลับไม่มีเลือดเลยสักหยด
“…?”
ชายคนนั้นมองไปทางซูฮยอนด้วยความสงน เขาอยากได้คำตอบจากซูฮยอนจริงๆว่าเป็นเพราะอะไรทำไมเขาถึงไม่บาดเจ็บ?
แต่แทนที่ซูฮยอนจะตอบ เขากลับไม่ตอบ เขาใช้สกิลกระโดดออกมาเพื่อหาจุดยืนที่ใหม่
เมื่อเห็นดังนั้น ‘ผู้ตื่นขึ้น’ คนอื่นๆจึงเกิดอาการลังเลว่าควรตามไปหรือไม่
ฟรึ่บ
ซูฮยอนไปยืนอยู่บนตึกเก่าๆหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก เขากวาดสายตามองไปทางด้านล่างซึ่งมี‘ผู้ตื่นขึ้น’ ยืนเกาะกลุ่มกับอยู่
หลังจากมองไปได้สักพัก ซูฮยอนก็คุ้นหน้ากับใครบางคนซึ่งซูฮยอนเคยอยู่กลุ่มเดียวกันกับพวกเขามาก่อน
“ตัวฉันเองก็เคยอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย”
ในอดีตซูฮยอนเคยอยู่กับพวกเขาในนามของซองอิน แต่อดีตก็คืออดีต..
“เอ่อคือ..”ชายผู้ถือดาบใหญ่พยายามเปิดปากพูดกับซูฮยอน
“นายเป็นใครกันแน่? นายรู้จักกับพวกเราหรือป่าว ทำไมถึงรู้กลยุทธ์ของพวกเราด้วย?”
ซูฮยอนไม่แปลกใจว่าทำไม เขาถึงถามคำนั้นออกมา เพราะกลยุทธ์ที่พวกเขาพึ่งใช้ไปเมื่อครู่
มันคือกลยุทธ์ที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี…ถ้าคนอื่นมากเจอกลยุทธ์ที่แสนซับซ่อนเช่นนี้ พวกเขาคงโดนกลุ่มนี้จัดการไปนานแล้ว…แต่โชคร้ายที่พวกเขาโจมตีใส่ผิดคน มีหรือซูฮยอนจะเสียท่าให้กับกลยุทธ์ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีในอดีต….
“กลยุทธ์ที่พวกเขาใช้กัน มันเหมาะแกการล้อมจับบอสของดันเจี้ยนมากกว่า”ซูฮยอนคิด
ที่ซูฮยอนคิดออกมามันไม่ผิดเลยสักนิด เพราะกลยุทธ์ที่พวกใช้มันถูกจัดอันดับโดย ‘ผู้ตื่นขึ้น’ จำนวนมาว่าเป็นกลยุทธ์ที่หวังผลได้มากที่สุด… แต่การที่จะใช้กลยุทธ์นี้ออกมาได้ ต้องอาศัยการเชื่อใจกันของสมาชิกในกลุ่ม
แต่เมื่อพวกเขามาเจอซูฮยอน กลยุทธ์ที่ภูมิใจนักภูมิหนากลับถูกลำลายลงไปอย่างง่ายดาย..
การเคลื่อนของซูฮยอนเต็มไปด้วยความลื่นไหล ราวกับเขาหาข้อบกพร่องของกลยุทธ์เจอ….
ฉะนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมชายผู้ถือดาบใหญ่ถึงถามออกมา..เพราะเขากลัวว่ากลยุทธ์ที่พวกเขาช่วยกันคิดค้นอาจรั่วไหลไปสู่ภายนอกแล้วก็ได้…
“ไม่นะ ผมไม่รู้จักพวกคุณสักคน”ซูฮยอนตอบ
หลังจากชายคนนั้นได้ยินเสียงคำตอบของซูฮยอน เขาก็เอาดาบใหญ่ปักลงพื้นและพูด “จริงเหรอ? แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่านายรู้จักพวกเราเป็นอย่างดีเลยล่ะ”
“เห้…นายกำลังจะสื่อว่า ทำไมฉันถึงหลบออกจากกลยุทธ์ของนายได้สินะ”
“ใช่…”
“หึ…นายประเมินตัวเองสูงเกินไป คิดจริงๆหรือว่ากลยุทธ์ง่อยๆแบบนั้นจะหยุดวายร้ายอย่างฉันได้?”
‘ผู้ตื่นขึ้น’ นับสิบคน หลังจากได้ยินคำพูดถากถางของซูฮยอน สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความอาฆาต
กลยุทธ์ที่ภาคภูมิใจ กลับโดนไอ้โง่หน้าไหนก็ไม่รู้มาตำหนิซะได้…
“หน็อยแน่…แล้วแกจะเสียใจกับสิ่งที่แกพูด”
“หึ…ทำไมฉันต้องเสียใจด้วย?”ซูฮยอนกล่าว
มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ซูฮยอนเสียใจ….เพราะซูฮยอนรู้อยู่แล้วว่ากลยุทธ์ที่พวกเขาใช้มันมีจุดบกพร่องเต็มไปหมด
“คิดว่าฉันคือพวกปลาซิวปลาสร้อยหรือไง ถึงกล้าใช้กลยุทธ์ที่ไม่สมบูรณ์ เพื่อหวังจับมหาวายร้ายอย่างฉัน?”