ตอนที่ 67
“กระดูกทั้งหมดเป็นของจริงแน่เหรอ?”ไอลีถามด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
ไอลีที่มักเย็นชาเสมอ กลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา ไม่ต้องพูดถึงเคซฮุนไรน์ เขาเป็นคนแรกๆที่เห็นโครงกระดูก ถ้าไม่ได้ซูฮยอน เขาคงเป็นลมล้มพับไปแล้ว
ฮาวลาที่เดินเข้ามาให้ดันเจี้ยนเป็นคนสุดท้าย ก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน สีหน้าของเขาเหมือนกำลังพูดคำว่า “แม่งเอ๋ย ว่าแล้วไงว่าต้องเจอเหตุการณ์แปลกๆ ถ้าเชื่อลางสังหรณ์แต่แรก ฉันไม่น่าเข้ามาเลย”
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะบรรยากาศหรือโครงกระดูกกันแน่ เพราะฮาวลารีบหันร่ายวิ่งหนีออกไปทางเดิมทันที..
แต่ทว่า..
“อะไรกัน ทำไมออกไปไม่ได้?”
เสียงของฮาวลาดังลั่นไปทั่วปากทางเข้าดันเจี้ยน สาเหตุที่เขาตกใจ เป็นเพราะปากทางดันเจี้ยนมีม่านพลังปริศนาปิดกั้นเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถผ่านมันไปได้
“นายออกไปไม่ได้?”
“ถูกต้อง ออกไปไม่ได้ เป็นเพราะอะไรกันแน่?”
สมาชิกภายในกลุ่มตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะมืดมน ไอลีก็อยู่ในอาการลุกลี้ลุกล้น ฮาวลาก็เหมือนกับคนสติไม่ได้ที่พยายามทำลายม่านพลัง เคซฮุนไรน์ก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนช็อกกับสิ่งที่เห็น…
<<เฮ้อ วุ่ยวายเป็นบ้า>>
เคซฮุนไรน์ผู้ที่ทุกคนเรียกว่าผู้นำกลับช่วยอะไรไม่ได้เหมือนตัวของเขาโดนแช่แข็ง ส่วนทางด้านฮาวลาก็อย่าได้หวัง เพราะตอนนี้เขาเหมือนคนสติไม่ดี คนที่พอพึงพาได้คงมีเพียงไอลี เพราะเธอควบคุมสติได้ดีที่สุด แถมจากท่าทางเหมือนเธอกำลังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น
ยิ่งไปกว่านั้นความแข็งแกร่งของเธอยังมีมากกว่าทุกคนในกลุ่มอีกด้วย จากท่าทีของเธอดูเหมือนเธอจะมีประสบการณ์การโจมตีดันเจี้ยนมากกว่าทุกคน แม้สถานการณ์เช่นนี้จะทำให้เธอคิดช้าลงบ้าง แต่ก็ยังรอบคอบกว่าทุกคนอยู่ดี ซูฮยอนเชื่อว่านิสัยรอบคอบของเธอคงเป็นพรสวรรค์ที่ทำให้เธอมาถึงจุดนี้ได้
<<ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่ากลุ่มคนพวกนี้ รอดชีวิตมานานขนาดนี่ได้ยังไง>>
<<แต่ก็ช่างมันเถอะ…จะว่าไป ดันเจี้ยนที่ทางเข้าและทางออกไม่ได้ใช่ร่วมกัน ฉันก็พึงเคยเจอในหอคอยแห่งการทดสอบเนี่ยแหละ>>
ตามความเข้าใจของซูฮยอน ดันเจี้ยนประเภทนี้ ในโลกแห่งความจริงยังไม่มีโผล่ขึ้นมา
หากมันโผล่ขึ้นมาบนโลกจริงๆ อัตราการตายของผู้ตื่นขึ้นในดันเจี้ยนคงเพิ่มมากขึ้น เพราะพวกเขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้
โดยปกติทางเข้าออกดันเจี้ยนมักใช้ร่วมกันเสมอ แต่เมื่อทางออกต้องควานหาเอง ทำให้พวกเขาตกอยู่ในอาการหวาดวิตก….จนสุดท้ายความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่ ยิ่งพวกมือใหม่ อัตราการตายของพวกเขาเกือบร้อยเปอร์เซ็น
เมื่อลองพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าต่อไป…
ซูฮยอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ก่อนเตะหัวกระโหลกไปไกลๆ “ทุกคนในเมื่อพวกเราหันหลังกลับไปไม่ได้ พวกเราเดินหน้ากันต่อเถอะ ฉันหมายความว่า พวกนายคงไม่อยากอยู่ตรงนี้ เพื่อรอความตายหรอกนะ”
ไม่มีอะไรดีไปกว่าข้อเสนอของซูฮยอนอีกแล้ว อีกอย่างซูฮยอนก็อยากผ่านการทดสอบให้ได้เร็วๆ…
“แต่ว่า…มันจะปลอดภัยแน่เหรอ ยิ่งเดินเข้าไปลึกๆอาจมีอันตรายซ่อนอยู่ก็ได้ ที่สำคัญความยากของดันเจี้ยนยัง…”เคซฮุนไรน์ผู้ร่างเริงพูดติดๆขัดๆ
“ไม่ต้องคิดมาก ทางข้างหน้าไม่น่ามีอันตราย อยู่ที่นี่ต้องไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี จริงไหม?”
ซูฮยอนตัดบทพูดของเคซฮุนไรน์ สาเหตุที่ทำให้เคซฮุนไรน์กลายเป็นคนขี้ขาด เพราะผลกระทบจากความกลัว…
“ทำไมนายถึงคิดอย่างงั้นล่ะ?”ไอลีถามออกมาด้วยความสงสัย
“ก็ลองสังเกตรอบๆดูสิ ว่าพวกเราคุยกันเสียงดังขนาดไหน แต่ถึงอย่างนั้นมอนสเตอร์กลับไม่โผล่ออกมาสักตัว ฉันจึงคิดว่าเส้นทางข้างหน้าไม่น่าจะมีมอนสเตอร์อาศัยอยู่” เมื่อสมาชิกในกลุ่มได้ยินคำพูดของซูฮยอน พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย..
หากมีมอนสเตอร์อยู่แถวนี้จริงๆ พวกมันคงเดินมาหากลุ่มของพวกเขาไปแล้ว เพราะเสียงการพูดคุยของกลุ่มมันดังก้องไปทั่วบริเวณปากทางเข้า…
“แต่พวกเราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเศษกระดูกที่กองกันอยู่ มีที่ไปที่มาอย่างไร ตามความคิดของฉัน พวกเราอาจมาอยู่ในกองขยะของมอนสเตอร์ ก็ได้”ซูฮยอนพูด
“กองขยะ?”
“ถูกต้อง พวกมันเป็นมอนสเตอร์ที่ชอบกินเนื้อมนุษย์ก็จริง แต่ตามข้อการสันนิษฐานของฉันขากรรไกรของพวกมันคงพัฒนาได้ดีไม่พอ ทำให้ไม่สามารถบอกขยี้เศษกระดูกของมนุษย์ได้ มอนสเตอร์ที่มีขากรรไกรไม่แข็งแรงมี เมอร์เมนซิลค์ หรือไม่ก็ อสุรกายกินคน”
มอนสเตอร์ 2 ประเภทที่ซูฮยอนกล่าวไป เป็นมอนสเตอร์ที่มักอาศัยอยู่ในถ้ำ อาหารที่พวกมันชอบออกล่าคือเนื้อมนุษย์ ในเมื่อพวกมันบดขยี้กระดูกไม่ได้ ทางเลือกสุดท้ายของพวกมันคือการนำมาทิ้ง หากไม่นำมาทิ้ง ปล่อยทิ้งเอาไว้ก็รกถิ่นที่อาศัยของมันเปล่าๆ
“นอกจากนี้..”ซูฮยอนหันไปมองเศษกระดูกที่อยู่ตามพื้นก่อนพูด “กระดูกที่กระจัดกระจายอยู่ ไม่ใช่กระดูกของผู้ตื่นขึ้น”
“นายพูดว่าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้ตื่นขึ้นงั้นเหรอ?”ไอลีถาม
“ถูกต้อง ตามปกติส่วนที่ควรย่อยสลายเป็นอย่างแรก คือเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้น เพราะกระดูกของพวกเขาถูกกัดกร่อนจากภายในก่อนเป็นอันดับแรก ตามความคิดของฉัน ถ้าเดาไม่ผิด เหตุที่กระดูกถูกกัดกร่อนเป็นอย่างแรกน่าจะมาจากพิษ หากเป็นผู้ตื่นขึ้นจริงๆพิษไม่มีทางทำลายอะไรพวกเขาได้แน่”
หลังจากได้ยินคำอธิบายของซูฮยอน เพื่อนร่วมกลุ่มก็หันไปพิจารณาเศษกระดูกตามพื้น เมื่อสังเกตดูดีๆกลับเป็นอย่างที่ซูฮยอนพูดจริงๆ
เมื่อคนธรรมดากลายเป็นผู้ตื่นขึ้น ร่างกายของพวกเขาก็ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ฉะนั้นการย่อสลายของศพจึงช้ากว่าคนธรรมดา ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ศพของพวกเขาก็ใช้เวลาการย่อสลายนานขึ้นตามไปด้วย..
“เหมือนคำพูดของนายถูกต้องนะ”เคซฮุนไรน์เห็นด้วยกับคำพูดของซูฮยอน
“ว่าแต่นายรู้ได้ยังไง?”ไอลีถาม
“รู้แล้วจะไปได้อะไร ยังไงพวกเราก็ตายอยู่วันยังค่ำ”ฮาวลากรีดร้องออกมา
ปฏิกิริยาของทั้งสามคนแตกต่างออกไป แต่คนที่ซูฮยอนคิดว่าปวดหัวมากที่สุด คงเป็นฮาวลา เพราะเขาขี้กลัวจนขึ้นสมอง
<<เฮ้อ…ทำไมฮาวลาถึงขี้ขาดตาขาวขนาดนี้?>>
โชคดีที่ในกลุ่มมีคนที่มีสติถึง 2 คน นั้นก็คือ เคซฮุนไรน์ และ ไอลี
สำหรับเคซฮุนไรน์ เขาฟื้นขึ้นสติได้เร็วกว่าทุกคน ขนาดซูฮยอนยังตกใจ ส่วนไอลีก็ไม่น้อยหน้า เพราะเธอเป็นคนที่ 2 แต่เธอพิเศษกว่าเคซฮุนไรน์ ตรงที่เธอสามารถรวบรวมข้อมูลของซูฮยอนได้เร็วกว่าคนอื่นถึง 2 เท่า
<<ดีนะที่ในกลุ่มยังมีคนสติดีอยู่ 2 คน ไม่งั้นละก็ฉันปวดหัวตายก่อนพอดี>>
“เอาล่ะทุกคน ให้เมื่อฟื้นคืนสติกันมาได้แล้ว พวกเราไปต่อกันเถอะ เป้าหมายของพวกเราคือหาทางออก”
เมื่อซูฮยอนพูดจบ ไอลีก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนกล่าวเสริม
“ไปเถอะพวกเรา แต่ผู้นำต่อจากนี้ ฉันขอเป็นคนทำเอง”ไอลีพูด
เมื่อเพื่อนร่วมกลุ่มไม่มีใครปฏิเสธ ไอลีจึงกลายเป็นหัวหน้าไปโดยปริยาย
ทั้งซูฮยอนและไอลีเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด บรรยากาศที่ 2 คนปล่อยออกมา เต็มไปด้วยความกระตือรือล้น ซึ่งส่วนทางกับอีก 2 คนที่เหลือโดยสิ้นเชิง…
<<เขาเป็นคนที่ฉันรู้จักจริงๆเหรอ>>เคซฮุนไรน์คิด
“ซูฮยอน” ไม่สิต้องบอกว่าวาร์ริคต่างหาก…
วาร์ริคที่เคซฮุนไรน์รู้จักไม่ได้เป็นคนมีไหวพริบและกล้าหาญมากขนาดนี้ แต่หลังจากเข้ามาให้ดันเจี้ยนนิสัยของวาร์ริคกลับเปลี่ยนไป
แม้แต่ตัวของไอลีเองก็ไม่ถูกกลับวาร์ริคมากนัก ที่ผ่านมากกลุ่มของพวกเขาสร้างขึ้นเพราะมีเป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่เพราะความสนุกหรือมิตรสหาย….
อย่างไรก็ตามดูเหมือนครั้งนี้ ไอลี จะเชื่อใจของวาร์ริคมากเป็นพิเศษ ซึ่งเคซฮุนไรน์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ทั้งที่เธอมักเย็นชากับ วาร์ริค แท้ๆ…
“นายยืนทำอะไรอยู่ รีบเดินตามพวกเขาไปสิ”
น้ำเสียงที่มืดมนของฮาวลาดังออกมาจากด้านหลังเคซฮุนไรน์ ซึ่งอาการหวาดกลัวของเขาก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ร่างกายเล็กๆของฮาวลาถูกร่างกายของเคซฮุนไรน์บังจนมิด แต่เมื่อเคซฮุนไรน์ได้ยินเสียงของฮาวลา จิตใจของเขาต้องดำดึ่งทุกที…ไม่รู้เป็นเพราะน้ำเสียงหรือเป็นเพราะความมืดมนของฮาวลากันแน่
<<ให้ตายสิ ฉันละเกรียดความมืดมนของมันจริงๆ>>
ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม การตัดสินใจรับฮาวลาเข้าร่วมกลุ่ม เป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ หากเคซฮุนไรน์ไม่เคยเห็นความสามารถของฮาวลามาก่อน เขาคงแตะฮาวลาออกไปกลุ่มไปนานแล้ว
แต่ในเมื่อรับมาแล้วคิดมากไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร….เคซฮุนไรน์ จึงหยุดโทษตัวเอง ก่อนเริ่มเดินตามหลังของซูฮยอนและไอลี
********************
ตามโถงทางเดินของดันเจี้ยนเต็มไปด้วยความชุ่มชื้นจากแอ่งน้ำ
เพราะเหนือศรีษะขึ้นไป มีหยดน้ำค้างไหลลงมากจากเพดานถ้ำ จนทำให้อุณหภูมิภายในถ้ำลดต่ำลง..
ภายในถ้ำของดันเจี้ยนเต็มไปด้วยความเงียบ จนทำให้บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยความวังเวง ยิ่งมีเสียงประกอบอย่างหยดน้ำแถมมาอีก ถ้าไม่เรียกว่าวังเวงก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรแล้ว
“โอ๊ย….”
เสียงตะโกนของฮาวลาดังออกมาจากด้านหลัง เนื่องจากในถ้ำมีแต่แสงสลัว ทำให้ฮาวลามองกองหินที่วางอยู่ตามพื้นไม่ชัด ขาที่อ่อนแรงของเขาจึงไปสะดุดกับมัน..
“นายเป็นอะไรหรือป่าว”ซูฮยอนถาม
“ฉันขอโทษ”
ฮาวลาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเทา นับว่าหายากจริงๆที่ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ B จะมาสะดุดก้อนหินเล็กๆได้ ถึงแม้จะอยู่ในถ้ำที่มืดมากกว่านี้ เหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้น สาเหตุหลักๆที่ฮาวลาสะดุดล้ม เป็นเพราะความกลัวและความเครียดที่กำลังกันกินจิตสำนึกของเขา..
“ไม่ต้องขอโทษหรอก อย่าวิตกมากเกินไป ทำตัวทำใจให้ผ่อนคลายเถอะ”ซูฮยอนพูด
“กี้!!!!!!!”
เมื่อซูฮยอนพูดจบเสียงคำรามของมอนสเตอร์ก็ดังออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ
เสียงคำรามที่วิ่งผ่านสายลมออกมา มันแหลมเกินไป จนทำให้ซูฮยอนแสบแก้วหู ถ้าลองตั้งใจฟังดีๆมันเหมือนกับเสียงร้องของอสุรกายไม่มีผิด
ฮาวลาผู้กลัวความตาย ขวัญของเขากระเจิงไปก่อนเพื่อน เคซฮุนไรน์ก็ไม่ต่างกัน เขากลืนน้ำลายลงไปในคอหลายอึกด้วยความกลัว
“อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ ว่าอย่าวิตกเกินไป”ซูฮยอนพูดออกไปพร้อมกับมองไปยังเพื่อนๆทุกคน แต่สายตาของเขากลับจ้องมองไปที่ฮาวลามากเป็นพิเศษ “ถ้าพวกมอนสเตอร์กล้าโผล่หน้าออกมา ฉันจะจัดการมันด้วยตัวเอง”
“อะไรนะ”
“แล้วที่สำคัญ อย่าได้แม้แต่จะคิดช่วยเหลือฉัน นายอยู่เฉยๆก็พอ เพราะนายจะไม่ได้เกกะขว้างทางฉัน”
“นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง”
อารมณ์ของฮาวลาพุ่งพล่านไปด้วยความโกรธจากคำพูดของซูฮยอน เพราะน้ำเสียงที่เขาฟังมันเหมือนเป็นคำดูถูก ในขณะที่ฮาวลากำลังเปิดปากพูด เขากลับปิดปากลงอย่างกะทันหัน เพราะรอบๆตัวของพวกเขามีเปลวเพลิงปริศนาโผล่ออกมาจากไหนก็ไม่ทราบ
ฮาวลาไม่ใช่คนเดียวที่ตกใจ แม้แต่สมาชิกภายในกลุ่มทุกคนก็ตกใจด้วยเช่นกัน
กี้ กี้
เสียงคำรามที่แสบหู เริ่มเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ซูฮยอนเป็นเพียงคนเดียวที่กล้าเดินไปตามเสียงคำราม เพื่อนร่วมกลุ่มที่เหลือทำได้แค่ยีนดูจากด้านหลังเท่านั้น
เหตุผลที่พวกเขาไม่ขยับตามไป เป็นเพราะเปลวเพลิงปริศนาที่ลอยอยู่รอบๆหลายสิบดวง ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังเวทย์ที่ทรงพลัง ที่สำคัญความหนาแน่นของพลังเวทย์ยังมีมากกว่าพวกเขาไปหลายระดับ..
ซูฮยอนเดินหน้าต่อไป โดยไม่สนใจว่าเพื่อนๆในทีมจะตามมาหรือไม่
ตามคำอธิบายของระบบ สิ่งที่มันต้องการให้ซูฮยอนทำคือการโจมตีดันเจี้ยนร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม แต่ก็ไม่มีกฏข้อไหนระบุว่าต้องร่วมมือกันซะหน่อย แค่เขาคนเดียวก็เกินพอ
<<ลองประเมินจากสายตาคราวๆเหมือนพวกมันจะมีมากว่า 10 ตัวขึ้นไป แต่ก็ช่างเถอะต่อให้มาเยอะกว่านี้ ฉันก็จัดการได้อยู่ดี>>
เมื่อซูฮยอนเดินมาได้ไม่นาน ด้านหน้าของเขากลับมีมอนสเตอร์หลายตัวยืนรออยู่เต็มไปหมด
พวกมันเป็นมอนสเตอร์สปีชีส์เดียวกันกับปลา แต่ที่พวกมันพิเศษกว่าคือ มันสามารถยืน 2 ขาได้
เนื้อตัวของพวกมันถูกเกล็ดใสๆห่อหุ่มเอาไว้ มอนสเตอร์ที่ซูฮยอนเห็นมีชื่อว่า เมอร์เมนซิลค์ ถิ่นอาศัยที่พวกมันชอบมากที่สุดคือถ้ำลึกที่มีความอับชื่น
พวกมันไม่ใช่มอนสเตอร์ธรรมดาทั่วไป หากไม่ใช่ดันเจี้ยนระดับสีเหลืองและสีเขียว พวกมันไม่มีทางปรากฏตัวออกมาแน่ๆ
<<แค่ดูจากการปรากฏตัวของ เมอร์เมนซิลค์ เหมือนดันเจี้ยนระดับสีเหลืองจะยากกว่าปกติมาก>>
หากลองไปเปรียบเทียบกับดันเจี้ยนระดับสีเหลืองที่ซูฮยอนเคลียร์ไปเมื่อปีที่แล้ว ความยากของดันเจี้ยนแห่งนี้สูงกว่ามาก เพราะในดันเจี้ยนที่ซูฮยอนเคลียร์ไปมีแค่มอนสเตอร์กระจอกๆอย่าง ลิซาร์ดคอพส์ เท่านั้น…
“โชคดีจริงๆที่ดันเจี้ยนแห่งนี้มีความยากมากว่าที่คิด ฉันจะได้ไม่ต้องใช้ความคิดให้ปวดสมอง”ซูฮยอนพูดไปพร้อมกับแสยะยิ้ม
นับเป็นข่าวดีสำหรับซูฮยอนจริงๆ ที่ดันเจี้ยนแห่งนี้มีความยากมากกว่าปกติ
หากความยากของดันเจี้ยนน้อยกว่านี้ มันก็หมายความว่า นอกจากการโจมตีดันเจี้ยน ซูฮยอนยังต้องค่อยหาปริศนาอะไรบางอย่าง เพื่อแก้ไขความลับ ซึ่งมันน่าปวดหัวมากเกินไปสำหรับเขา
คำอธิบายของระบบที่ว่าบอกดันเจี้ยนแห่งนี้มีอันตรายซ่อนอยู่น่าจะเป็นความจริง..หากไม่มีเหตุการณ์อะไรพลิกผัน การทดสอบของซูฮยอนคงผ่านไปได้ง่ายๆ แบบไม่ยากเย็นอะไร..
<<ถ้าฉันต่อสู้กับพวกมันโดยใช้สกิลเพลิงพิโรธ พลังจากเปลวเพลิงไม่น่าจะทำอะไรมันได้ แถมยังเสียงพลังเวทย์โดยไม่จำเป็นอีก>>
เกล็ดที่ห่อหุ่มร่างกายของเมอร์เมนซิลค์มีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ แต่เกล็ดของมันมีความพิเศษมากกว่านั้น เพราะเกล็ดของพวกมันทนไม้ทนมือต่อพลังเวทย์ได้ดีที่สุด…
<<ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คงเป็นการเลาะเกล็ดของพวกมันออกมา>>
ในขณะที่ซูฮยอนวิ่งเข้าใส่เมอร์เมนซิลค์ ดาบที่เตรียมไปข้างเอวก็ถูกนำมากใช้…
เมอร์เมนซิลค์เมื่อเห็นว่าศัตรูตรงหน้ากล้าวิ่งเข้าหาพวกมันพร้อมกับดาบที่ดูอันตราย
พวกมันทั้งกลุ่มจึงกรูไปหาซูฮยอนด้วยเช่นกัน ขาที่ผิดปกติของเมอร์เมนซิลค์วิ่งไปแบบสะเปะสะปะเหมือนไม่คุ้นชิน แต่ไม่นานพวกมันก็ปรับตัวได้ ก่อนที่ความเร็วจะเพิ่มขึ้น..
แม้พวกมันจะเร็วกว่าคนทั่วไป แต่พวกมันก็ไม่มีทางเร็วไปกว่าซูฮยอนได้ หลังจากพวกมันจวนจะถึงตัวของซูฮยอน ร่างกายของพวกมันกลับโดนเชือดจนขาดเป็น 2 ท่อน
เหตุผลที่ซูฮยอนตัดสินใจกลับมาใช้ดาบ เพราะเขาต้องการถนอมพลังเวทย์เอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นดาบแกรมในมือของเขาก็ไม่ใช่ดาบตามตลาดนัด เพราะมันถูกสร้างมาจากช่างฝีมือที่เก่งกาจอย่างคิมแดโฮ ต้องขอขอบคุณกลไกที่คิมแดโฮใส่ไว้ ทำให้ดาบแกรมพิเศษกว่าดาบอื่นๆ….
ไม่นานรอบๆตัวของซูฮยอนก็เต็มไปด้วยซากศพของเมอร์เมนซิลค์
เมอร์เมนซิลค์เมื่อเห็นว่าเพื่อนของมันตายไปทีละตัวสองตัว พวกมันก็ไม่ยอมถอย แต่พวกมันกลับเลือกวิธีพุ่งหน้าเข้าชนแทน….ซูฮยอนไม่เข้าใจจริงๆว่าพวกมันไม่กลัวตายเลยหรือไง
พรึ่บ
ซูฮยอนเหยียบกองซากศพของเมอร์เมนซิลค์ ก่อนที่ตัวเขาจะลอยไปบนอากาศ
เมื่อซูฮยอนลอยอยู่เหนือเมอร์เมนซิลค์ เขาก็มองลงไปด้านล่างเพื่อนับจำนวนเมอร์เมนซิลค์ที่รอดชีวิต
<<หนึ่ง สอง สาม..>>
เขานับจำนวนของพวกมัน พร้อมกับกำหนดเป้าหมายต่อไป..
ร่างกายของซูฮยอนพุ่งตรงจากบนอากาศและง้างดาบฟันเข้ากลางลำตัวของเมอร์เมนซิลค์อย่างจัง
เมื่อตัวที่ 1 ล้มลง เขาก็กระโดดกลับขึ้นไปเหมือนเก่า ซูฮยอนใช้กลยุทธ์แบบเดิมโจมตีซ้ำไปซ้ำมา จนเมอร์เมนซิลค์เริ่มมีจำนวนลดลง ไม่นานเมอร์เมนซิลค์ก็เหลือตัวสุดท้าย
“ได้เวลาที่แกต้องตามเพื่อนไปแล้ว หลับให้สบายเจ้ามอนสเตอร์”
ฉัวะ
ดาบของซูฮยอนวิ่งผ่านลำคอของเมอร์เมนซิลค์ จนหัวของมันขาดกระเด็น เลือดสีแดงสดก็ทะลักออกมาจนกลายเป็นห่าฝน..
เมื่อลำคอที่แสนสำคัญไม่อยู่กับตัว เมอร์เมนซิลค์ตัวสุดท้ายก็ได้เวลากลับบ้านเก่าไปพร้อมกับเพื่อนของมัน
แต่ทันใดนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ร่างของเมอร์เมนซิลค์ตัวสุดท้ายที่พึงจากไป กลับมีลำแสงปริศนาคลายๆกับหิ่งห้อยลอยออกมา ก่อนที่มันจะบินไปทางซูฮยอน แล้วหายไปกลางหน้าอกของเขา..
[ไข่เทวะ ได้รับความอบอุ่น]
“หืม?..”
ใครจะไปคาดคิดว่าหลังจากสังหารเมอร์เมนซิลค์ตัวสุดท้ายลงไป จะมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้น ซูฮยอนก้มลงไปมองหน้าอกด้วยความมึนงง
“ไข่เทวะงั้นเหรอ…อ่า…จริงสิลืมไปซะสนิทเลย” ไข่เทวะที่ว่า ซูฮยอนก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าได้มันมาจากชั้นที่เท่าไหร่ เพราะมันถูกทิ้งเอาไว้ในคลังเก็บของมาเนิ่นนาน ถ้าหากภายในคลังเก็บของมีระบบฝุ่น ไข่เทวะคงเป็นไอเทมชิ้นแรกๆที่โดนฝุ่นเกาะอย่างไม่ต้องสงสัย