ตอนที่ 84
การเดินทางออกนอกประเทศ ต้องเตรียมเอกสารหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น วีซ่า หรือ พาสปอร์ต
ซูฮยอนเป็นถึงผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เขาจึงสามารถใช้สิทธิพิเศษได้
เขายกหูโทรศัพท์ โทรไปผู้มีอำนาจในหน่วยงาน เพื่อให้อีกฝ่ายจัดการเดินเรื่องเอกสารไปต่างประเทศให้…
****************
ฮักจุนเดินตามอยู่ด้านหลังของซูฮยอนอยู่ต้อยๆ…
หลังจากซูฮยอนบอกให้เขาเคลียร์ตารางงานในเดือนมิถุนายนให้ว่าง…ทำให้ทั้งเดือนมิถุนายนกลายเป็นเดือนแห่งการพักผ่อน…
“เป็นไงบ้าง สบายดีไหม?”ซูฮยอนถามไถ่ความเป็นอยู่
“สบายดีหายห่วงครับ นานเหมือนกันที่ผมไม่ได้เห็นหน้าพี่”ฮักจุนตอบกลับขณะก้าวขึ้นรถ
พวกเขา 2 คน ไม่ได้เห็นหน้าเห็นตาตากันมาหลายเดือนมากๆ แต่เพราะบุคลิกภาพร่าเริงของฮักจุน ทำให้บรรยากาศระหว่างซูฮยอนและฮักจุนไม่มีความรู้สึกอึดอัดเกิด กลับกันมันเต็มไปด้วยบรรยากาศสบายๆ เหมือนพวกเขาเจอหน้ากันทุกวัน
“ฉันได้ยินมาว่า เดือนนี้ทั้งเดือน นายเคลียร์ตารางงานทุกอย่างตามคำขอของฉันสินะ?”ซูฮยอนถาม
“ใช่ครับ ผมหยุดนอนเป็นศพอยู่บ้านได้ประมาณเดือนครึ่ง หยุดบ้านนานๆ นอกจากนอนและกิน ทำให้ผมเริ่มเบื่อ บังเอิญลีจุนโฮโทรชวนไปโจมตีดันเจี้ยนแก้เบื่อด้วยกัน ผมเลยตอบตกลงไป สุดท้ายก็ได้เงินค่าขนมเล็กๆน้อยๆ เป็นค่าเหนื่อย”
“ฉันบอกให้นายพักผ่อนร่างกายให้อยู่ในความพร้อมไม่ใช่เหรอ?”
“พี่ไม่ต้องกังวล ดันเจี้ยนที่ผมโจมตีเป็นดันเจี้ยนระดับสีส้ม ซึ่งมันจัดการได้โคตรง่าย พักเหนื่อยครึ่งวัน ความอ่อนล้าก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว ที่สำคัญผมต้องการเงิน”
“ก็จริงของนาย”
ตอนที่ฮักจุนสังกัดอยู่ในกิลด์เทพสงคราม เขาต้องแบ่งเงินจากค่าแรงแทบทั้งหมดให้กับทางกิลด์เทพสงคราม เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาลให้กับยันซอน
ในระยะเวลา 2 ปี เป็นช่วงเวลาที่ฮักจุนลำบากมากที่สุด เพราะเขาต้องจับจ่ายใช้สอยอย่างประหยัด อาหารทุกมือของฮักจุนจึงเป็นอะไรที่เรียบง่ายๆและขาดสารอาหาร..
แต่ตอนนี้ฮักจุนหลุดพ้นจากบ่วงกรรมเรียบร้อย ชีวิตการเป็นอยู่ดีขึ้นมาก แรงค์พัฒนาสูงขึ้น ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อยู่นิ่งกับที่ ทำให้ฮักจุนหาเงินได้มากกว่าอยู่กิลด์เทพสงครามเยอะมาก…
“รถพี่โคตรเท่ ขับไปไหน ก็มีแต่คนมอง”ฮักจุนพูด
“นายอยากได้สักคันไหม?”ซูฮยอนถาม
“ใบขับขี่ผมยังไม่มี เอารถซูเปอร์คาร์ไปจอดทิ้งไว้ คงเสียดายแย่”
“ใบขับขี่สอบไม่ยากหรอก…ครั้งนี้ถ้านายทำผลงานออกมาได้ดี ฉันจะซื้อรถที่ดีกว่าของฉันให้”
สายตาของฮักจุนเปร่งประกายระยิบระยับ
“พี่ซูฮยอน พี่มีเงินมากแค่ไหนกันแน่?”
“สายตาที่เต็มไปด้วยความละโมบโลภมาก หมายความว่าไงกัน?”
“โถ่พี่…ผมแค่ไม่เข้าใจอะไรนิดหน่อยเอง ผมอยากรู้จริงๆ พี่แทบไม่ออกไปทำงาน พี่ไปเอาเงินมาจากไหน?”
“นายตั้งใจฟังให้ดีๆ หลังจากฉันพิชิตดันเจี้ยนระดับเขียวสำเร็จ ฉันได้รับส่วนแบ่งมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ นายลองเดาดูสิ ว่าฉันได้เงินเยอะแค่ไหน?”
“60 เปอร์เซ็นต์? เป็นไปได้เหรอ?”
ปกติแล้ว การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวต้องใช้กำลังพลผู้ตื่นขึ้นหลายสิบคน หนึ่งในนั้นต้องมีแรงค์ S อย่างน้อย 1 คน…
มันเป็นเรื่องพบเห็นไปทั่วไป ที่ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S จะได้ค่าตอบแทนมากว่าคนอื่นๆ ตั้งแต่ฮักจุนเป็นผู้ตื่นขึ้น เขาไม่เคยได้ยิน ว่ามีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S โจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวได้ได้ค่าตอบแทนถึง 60 เปอร์เซ็นต์เลยสักคน
ไม่แปลกใจว่า ทำไมซูฮยอนถึงได้ค่าตอบแทนเกินครึ่งหนึ่ง เพราะการโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเขียวที่ผ่านมา ซูฮยอนเป็นคนจัดการปัญหาเกือบทุกอย่าง ทำให้ผู้มีอำนาจหลายคนลงมติเห็นชอบ มอบสินน้ำใจให้แก่ ซูฮยอนถึง 60 เปอร์เซ็นต์…
“แน่นอน ว่ามันเป็นไปได้” ซูฮยอนพูด
ฮักจุนนิ่งเงียบไป…ภายในหัวสมองกำลังประเมินจำนวนเงินอย่างรวดเร็ว…
แต่เหมือนสมองของเขาไม่อาจประมวลผลได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนฮักจุนก็นึกไม่ออก
ดันเจี้ยนระดับสูงที่สุด ที่ฮักจุนเคยท้าทายคือดันเจี้ยนระดับสีเหลือง..
“หลังจากโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเหลือง สิ่งที่ทำต่อไป คือการนำหินอีเธอร์ไปขาย”ฮักจุนคิด
เงินที่ได้จากการขายหินอีเธอร์อย่างน้อยที่สุดคือ 1,000 ล้านขึ้น.. โดยทั่วไปผู้ตื่นขึ้นที่ตั้งกลุ่มกันโจมตีดันเจี้ยนระดับสีเหลืองจะมีอย่างต่ำ 10 คน ทำให้แต่ละคนได้รับส่วนแบ่งคนละ 100 ล้าน
ในจำนวน 1000 ล้าน ถ้ามีคนได้รับส่วนแบ่ง 60 เปอร์เซ็นต์ เขาสามารถนำเงินไปซื้อรถราคาแพงๆได้หลายสิบคัน
จำนวนเงินที่ฮักจุนสมมุติขึ้นมาเป็นเพียงแค่ดันเจี้ยนระดับสีเหลืองเท่านั้น แต่ดันเจี้ยนที่ซูฮยอนได้รับค่าตอบแทนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นถึงดันเจี้ยนระดับสีเขียว ฉะนั้นจำนวนเงินจึงไม่อาจประเมินค่าเป็นตัวเลขได้..
สีหน้าของฮักจุนเต็มไปด้วยความจริงจัง ขณะกดเครื่องคิดเลข
“พะ..พี่ซูฮยอน พี่เป็นทายาทสุลต่าน เจ้าของบ่อน้ำมันใช่ไหม พี่โคตรรวย”
“ดีหล่ะ จากวันนี้ไปผมจะเป็นเด็กเชื่อฟังพี่ทุกอย่าง”
“ผมขอเกาะแข็งเกาะขาพี่ไปตลอดชีวิตเหมือนปลิง จนกว่าพี่จะเขี่ยผมทิ้ง ผมจะไม่ได้ไหนทั้งนั้น”
“แผนสูงนะเรา”
“ฮิฮิ” ฮักจุนหัวเราะคิกคัก
ซูฮยอนไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญกิริยาฮักจุนที่แสดงออกมา กลับกันเขารู้สึกสบายใจมากกว่า…
ฮักจุนดูสดใสขึ้น อารมณ์ดีขึ้น กว่าตอนเจอกันครั้งแรกในหอคอยแห่งการทดสอบเยอะมาก..
“หวังว่าในอนาคต ฮักจุนยังคงมุมานะพัฒนาศักยภาพของตัวเองต่อไป”ซูฮยอนคิด
ซูฮยอนไม่ได้อยากบีบบังคับฮักจุน ให้รีบเร่งยกระดับความสามารถของตัวเอง แต่เพราะซูฮยอนยกระดับเร็วเกินไป ทำให้ฮักจุนได้รับแรงกดดันมหาศาล…
ทุกครั้งที่ซูฮยอนถามฮักจุน ว่าเป็นอะไรสีหน้าดูไม่สดชื่น เจ้าตัวจะแสร้งบอกว่าไม่มีอะไร..
ฮักจุนติดหนี้น้ำใจของซูฮยอน ในเมื่อซูฮยอนคาดหวังพึ่งพา ทำให้ฮักจุนไม่อยากเป็นตัวถ่วง
แต่ซูฮยอนไม่อยากในฮักจุนหักโหมร่างกายของตัวเอง เพื่อเป็นการตอบแทบบุญคุณ..
“ความพยายามของเขา เยอะกว่าที่ฉันคิดจินตนาการไว้มาก”ซูฮยอนคิด
การปีนป่ายหอคอยแห่งการทดสอบของฮักจุน เร็วกว่าผู้ตื่นขึ้นระดับเดียวกันเยอะมาก..
“ฮักจุน นายถึงชั้นที่ 55 แล้วใช่หรือป่าว”
“ใช่ครับ ก่อนออกมาสู่โลกแห่งความจริง ผมทิ้งร่างไว้ในเซฟโซน ไม่รู้กลับเข้าไปไหม ผมจะหลบกับดับที่เหลืออยู่ยังไง”
การทดสอบชั้น 55 ที่ฮักจุนผจญโชคอยู่ คือการทดสอบหลบเลี่ยงกับดัก สำหรับซูฮยอนมันเป็นบททดสอบที่ค่อนข้างง่าย แต่คนอื่นอาจเป็นเรื่องปวดหัว
กับดักในชั้น 55 ถูกติดตั้งเอาไว้ทั่วพื้นที่ ขนาดที่ๆไม่ควรมีกับดัก ดันมีซะได้ ในการผ่านกับดัก ความแข็งแกร่งไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด
ไหวพริบปฏิภาณต่างหากคือคำตอบ ชั้น 55 เป็นขั้นที่ประเมินว่าใครมีความสามารถแก้ไข้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้บ้าง…
“กับดักที่นายปวดหัวอยู่ เป็นกับดักลักษณะไหน?”
“คือมัน…”ฮันจุนเริ่มบอกเล่าบททดสอบในชั้น 55 ที่ตัวเองเจอ….
จุดเซฟโซน เป็นจุดปลอดภัยปราศจากมอนสเตอร์และภยันตราย เวลากลับเข้าไปในหอคอยแห่งการทดสอบใหม่อีกครั้ง จึงไม่ต้องกังวลว่ารอบข้างจะมีมอนสเตอร์แอบซ่อนอยู่หรือป่าว ผู้ตื่นขึ้นหน้าเก่าส่วนใหญ่แนะนำ หากไม่เจอจุดเซฟโซนไม่ควรกลับมายังโลกแห่งความจริงโดยเด็ดขาด ไม่รู้ว่าถ้ากลับเข้าไปอีกที่ จะมีอะไรดักรออยู่ด้านหน้า..
นอกจากจุดเซฟโซน จะปลอดภัยแล้ว มันมีข้อได้เปรียบอีก….
หลังจากทิ้งตัวไว้ในจุดเซฟโซน ผู้ตื่นขึ้นสามารถปรึกษาหารือ แบ่งปันของมูลให้กับผู้ตื่นขึ้นคนอื่นๆ ในพวกเขาร่วมหัวกันช่วยแก้ปัญหาที่แก้ไม่ตกได้ แน่นอนหากไปถามคนมีไม่มีสมอง รอให้ตายก็ไม่ได้คำตอบ ต้องเป็นคนมีสมองปราดเปรื่องเท่านั้นที่ไขข้อข้องใจได้ และซูฮยอนเหมาะสมเป็นที่ปรึกษาในกับฮักจุนพอดี…
“อย่างแรก นายต้องดูแลมอนสเตอร์ตัวนั้นก่อน จากนั้นค่อยใช้มันเป็นปราการหลักในการบุกตะลุยกับดักทั้งหมด”
“อืม…เป็นแผนการที่เข้าท่ามาก”
“ตามจริงลักษณะกับดักที่นายเจอ ไม่ได้ซับซ้อนและยากมากขนาดนั้น แทนที่จะมานั่งปวดหัว สู้เดาสุ่มๆไปเลยง่ายกว่า มันต้องมีถูกบ้างสักอัน”
“อ่า….!!”
ได้ยินคำอธิบายของซูฮยอน…ใบหน้าของฮักจุนที่มีความทุกข์แซมมาเล็กน้อยก็สดใสขึ้นทันตาเห็น.
ก่อนหน้านี้ฮักจุน นอนคิด นั้งคิด ยืนคิด ว่าจะจัดการปัญหาในชั้น 55 ยังไงดี เขารู้สึกว่าตัวเองเดินหลงทางอยู่ในเขาวงกตที่หาทางออกไม่ได้…
พอได้คำแนะนำของซูฮยอน ฮักจุนรู้สึกว่าเหมือนมีมือจากสรวงสวรรค์ฉุดตัว เขาออกไปจากขุมนรก
คำแนะนำของซูฮยอน เป็นคำแนะนำที่แสนเรียบง่ายไม่โก้หรู แต่ทำไมฮักจุนถึงคิดไม่ออกกันนะ?
ฮักจุนใช้ดวงตากลมโตของเขา จ้องมองไปยังซูฮยอน
“มีอะไร”ซูฮยอนถาม
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เลื่อมใสในตัวพี่แค่นั้นเอง”
“เลื่อมใสอะไร?”
“ผมเลื่อมใสการกระทำของพี่ทุกอย่างเลย จะพูดว่าไงดี ผมคิดว่า พี่เป็นคนที่สมบูรณ์แบบไปทุกด้าน”
[สมบูรณ์แบบ] เป็นคำที่ได้ยินจากปากผู้คนจนเอือมระอา….
ซูฮยอนจับพวงมาลัยรถด้วยมือข้างเดียวและอีกข้างโบกมือปฏิเสธพัลวัน..
“สมบูรณ์แบบบ้าอะไร อย่างพูดคำนั้นอีกนะ ไม่งั้นฉันจะจับนายตีก้น อย่าลืมจดคำแนะนำของฉันที่บอกในนายฟังด้วย ถ้านายจำไม่ได้ล่ะก็ ฉันไม่พูดให้ฟังอีกรอบหรอกนะ”
“รับทราบครับ ผมจะปฏิบัติ ณ.บัดนี้”
คำพูดของซูฮยอน ทำให้ฮักจุนหยิบมือถือขึ้นมาและพิมพ์คำแนะนำลงไปในแอปสมุดบันทึก..
ซูฮยอนมองดูการกระทำของฮักจุนแล้วเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เขาไปถึงชั้น 55 เร็วมาก..”ซูฮยอนคิด
ฮักจุนเลือกระดับความยากที่ 8 ยิ่งขึ้นไปชั้นสูงๆ ความยากยิ่งยกระดับขึ้น และนั่นเป็นสาเหตุทำให้ความเร็วในการไต่ชั้นหอคอยแห่งการทดสอบเริ่มเชื่องช้าลง กว่าจะผ่านไปได้แต่ละชั้นกินเรี่ยวแรงไปเยอะมาก…
พอลองนำฮักจุนไปเทียบกับคนระดับเดียวกัน ความเร็วในการไต่หอคอยของเขาไม่ได้ช้าอย่างที่คิด ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A บางคนที่เริ่มต้นพร้อมกับฮักจุน และเลือกระดับความยากระดับ 5 ยังอยู่ชั้นต่ำว่าฮักจุนด้วยซ้ำ..
ทุกๆครั้งที่ฮักจุนมีปัญหา เขามักแวะมาขอความช่วยเหลือจากซูฮยอนเสมอ
ทันทีที่ซูฮยอนทราบข่าว เขาก็แนะนำอีกฝ่ายกลับไปโดยไม่ห่วงวิชา..
ชั้น 55 ที่ฮักจุนติดแหง็กอยู่ เป็นชั้นเดียวกันกับในชีวิตก่อนหน้า ที่ทำให้ซูฮยอนนอนปวดหัวอยู่บนเตียงหลายวันหลายคืน..
“ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ที่ฮักจุนไปถึงชั้น 55 ได้เร็ว แสดงว่าเจ้าตัวคงหยุดพักร่างกาย 1 วันเหมือนฉันแน่ๆ ”ซูฮยอนคิด
มันเป็นความคิดเห็นของซูฮยอนเพียงฝ่ายเดียว ไม่แน่ฮักจุนอาจพักร่างกายมากกว่า 1 วันก็ได้…
ซูฮยอนหวังว่าฮักจุนจะพยายามอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไป
เขาอยากรู้จริงๆ เมื่อถึง ‘วันนั้น’ เช่นในอดีต ฮักจุนจะมีความแข็งแกร่งเท่าเดิมหรือมากขึ้น..
เพื่อไม่ให้น้อยหน้าฮักจุน ซูฮยอนต้องพยายามเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า..
รถซุปเปอร์คาร์ราคาแพงวิ่งตัดผ่านถนนแสนโล่งเตียน พวกเขาขับรถกินลมชมวิวทิวทัศน์ข้างทาง ใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็ไปถึงจุดหมาย..
*********************
“โอโฮ…”
ฮักจุนร้องเสียงหลง กรามของเขาอ้าออกจนเกือบติดพื้น ซูฮยอนก็ไม่ต่างกัน เขาพยักหน้าขึ้นลงหลายที ก่อนบ่นพึมพำ ใช่ได้ ใช่ได้ ซ้ำไปซ้ำไม่ยอมหยุด..
จีย็อน กอด-อก แล้วมองไปยังทั้ง 2 คน ที่แสดงการท่าทีเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง..
“เป็นบ้าอะไรของพวกนาย”จีย็อนถาม
“เธอไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังพิจารณายานพาหนะอยู่ มันทั้งใหญ่และดูดีกว่าสิ่งที่คิดไว้มาก”ซูฮยอนตอบ
“อ่อ..พวกนายกำลังตกตะลึง เครื่องบินส่วนตัวของฉันอยู่หรอกเหรอ”
ซูฮยอนและฮักจุน พากันขับรถมาที่สนามในจังหวัดคังว็อน เพื่อหยิบยืมเครื่องบินส่วนตัวของกิลด์กิลด์ริปเปอร์
เขาคิดไว้ เครื่องบินส่วนตัวของกิลด์กิลด์ริปเปอร์ คงมีขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะมีน้อยคนมากที่มีโอกาสได้นั่ง นอกจาก กิลด์มาสเตอร์ รองกิลด์มาสเตอร์ และผู้ติดตาม
หลังจากซูฮยอนมาถึงโรงเก็บเครื่องบิน เขากลับพบว่าเครื่องบินส่วนตัวไม่เป็นดั่งที่คิด มันมีขนาดใหญ่มาก….
“เธอเข้าใจถูกแล้ว กิลด์ของเธอใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเหมือนกันนี้”ซูฮยอนพยักหน้าและตอบกับไป
“กิลด์ของฉันเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ฉะนั้นมีเครื่องบินส่วนตัวเตรียมเอาไว้ จะได้เดินทางได้สะดวกขึ้น คิดถูกจริงๆที่ตัดสินใจชื้อ เพราะมันคุ้มค่ากับจำนวนเงินที่เสียไป”
กิลด์ริปเปอร์ เป็นหนึ่งในกิลด์ชั้นแนวหน้าของประเทศเกาหลี ที่มีกิลด์มาสเตอร์แรงค์ S อย่างพัคจีย็อนเป็นผู้นำ ภายในกิลด์มีสมาชิกสังกัดอยู่หลายคนและแต่ละคนยังเป็นผู้ตื่นขึ้นที่มีทักษะ พรสวรรค์ ไม่น้อยหน้าใคร ยิ่งกิลด์มีชื่อเสียง งานว่าจ้างยิ่งวิ่งเข้ามาหา ดังนั้นจึงไม่แปลกทำไมกิลด์ใหญ่ๆ ถึงมีรายได้มหาศาล..
“หวังว่าคงไม่มีปัญหาใช่ไหม ถ้าฉันจะยืมเครื่องบินส่วนตัวของเธอสัก 10 วัน”ซูฮยอนพูด
“ไม่มีปัญหา ในตอนนี้ทางฉันยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องบินส่วนตัว ถ้าสิ่งที่นายพูดเป็นความจริง ฉันคงไปกับนายด้วยไม่ได้ หากยังจัดการปัญหาที่นี่ไม่เสร็จ”
คำพูดของจีย็อนนับว่าเป็นข่าวดี ซูฮยอนหันหน้าไปขอบคุณเธออีกครั้ง ก่อนสะกิดฮักจุนที่ตกอยู่ในภวังค์
“เลิกเหม่อลอยได้แล้ว ถึงเวลาออกเดินทาง”
“รับทราบครับ”ฮักจุนเรียกสติกลับคืนมาและเดินตามหลังซูฮยอนไป
พวกเขา 2 คนพากันเดินขึ้นไปบนเครื่องบินส่วนตัว ลูกเรือที่กิลด์กิลด์ริปเปอร์ จ้างให้ดูแลเครื่องบิน เริ่มทำการตรวจสอบเครื่องบิน เพื่อเช็คความพร้อม
ลูกเรือยังแนะนำซูฮยอนและฮักจุนว่าระหว่างเครื่องออกและบังเอิญเจอหลุมอากาศ ต้องทำยังไง..
“ช่างเป็นโลกที่แตกต่างจากโลกของผมจริงๆ”ฮักจุนพูด
“นั้นสินะ”
“แต่ดูจากท่าทางของพี่ เหมือนพี่จะคุ้นชินกับเรื่องพวกนี้ดีเลยไม่ใช่เหรอ ผมได้ยินคุณจีย็อนบ่นว่า พี่ดูไม่ค่อยปลื้มเครื่องบินลำนี้”
“เธอพูดอย่างงั้นเหรอ”
“ใช่ครับ เธอยังบ่นให้ผมฟังอีกว่า ชาติก่อนพี่เป็นนักพรตหรือป่าว เพราะพี่เหมือนคนละทิ้งความโลภ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับคำพูดคุณจีย็อน”
ซูฮยอนร้องอุทาน โอ้ ออกมาเบาๆ เขาไม่คิดมาก่อน ว่าจีย็อนเปรียบเทียบเขาให้เป็นนักพรต….
“ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะคิดอย่างนั่น”ซูฮยอนคิด
ในชีวิตก่อน ซูฮยอนมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่และหรูหรากว่านี้หลายเท่า..
เพราะชื่อเสียงและความแข็งแกร่ง ทรัพย์สมบัติมากมายวิ่งมาหาซูฮยอนถึงที่ โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว ซูฮยอนมีโอกาสครอบครองสิ่งของมีค่าหลากหลายประเภท ทำให้ความโลภไม่เคยอยู่ในหัวสมองของเขา
ว่ากันตามจริงเขาไม่ได้ชื่นชอบสิ่งของมีค่าที่คนรวยมอบให้มากถึงขั้นทะนุถนอม
สิ่งที่ซูฮยอนชอบมากที่สุดคือเงินตรา เพราะเงิน เป็นตัวกำหนดชีวิตความเป็นอยู่สังคมและยังเป็นเครื่องระบุสถานะทางสังคมอีกด้วย…
“จุดหมายปลายทางที่พวกเรากำลังไปคือ ลอสแอนเจลิส ใช่ไหมครับ”ฮักจุนถาม
“ใช่ เมื่อพวกเราไปถึง ต้องไปพบกิลด์ในสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นอย่างแรก”ซูฮยอนตอบ
“เพราะฉะนั้น ฉันจึงต้องไปกับพวกนายด้วยยังไงหล่ะ”
ชายวัยกลางคนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเดินขึ้นมาบนเครื่องบิน เขาเดินตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าของซูฮยอน..
“เอ่อ…อืม…”ฮักจุนพยายามรีดเค้นความทรงจำ เพื่อหาคำตอบว่าชายวัยกลางคนที่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เป็นใครกันแน่?
“ฉันชื่อว่า คิมซ็อกจิน เป็นรองกิลด์มาสเตอร์ แห่ง กิลด์ริปเปอร์”
“อ่า…ใช่ฉันจำได้แล้ว”
ซูฮยอนไม่นึกมาก่อนว่าคิมซ็อกจินจะไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาขอร้องให้กิลด์ริปเปอร์ช่วยประสานงานติดต่อกิลด์ทางฝั่งสหรัฐอเมริกา..เป็นไปได้ ว่าคิมซ็อกจินอาจเป็นตัวกลางเดินเรื่องให้
“เราจะคุณรายละเอียดระหว่างเครื่องออก โอเคไหม?”
“ได้ครับ”
คิมซ็อกจินเข้าไปนั่งประจำที่ ก่อนส่งสัญญาณให้กัปตันเอาเครื่องบินเทคออฟได้…
ประตูโรงเก็บเครื่องบินค่อยๆเปิดกว้างขึ้น เครื่องบินเคลื่อนที่ออกจากโรงเก็บและเตรียมเทคออฟที่สนามบินกลาง…ระหว่างเครื่องบินกำลังไต่ไล่ระดับขึ้นไปด้านบน ซูฮยอนถือโอกาสมองออกไปนอกหน้าต่าง..
หลังจากบินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ กัปตันก็ประกาศผ่านลำโพง ว่าเครื่องบิน มาถึงความสูงที่เป็นมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารทุกท่านสามารถถอดเข็มขัดนิรภัยออกได้
คิมซ็อกจินรีบปลดเข็มขัดนิรภัยได้และเดินไปหาซูฮยอนอีกรอบ..
“ฉันรับหน้าที่เป็นคนแนะนำนายให้รู้จักกับกิลด์ของอเมริกา เมื่อเสร็จสิ้นหน้าที่ ฉันขออนุญาตกลับประเทศเกาหลีก่อน พอดีมีภารกิจสำคัญรออยู่ ส่วนล่าม…”
“ผมไม่ต้องการล่าม”
“นายแน่ใจ?”
เมื่อเห็นซูฮยอนพยักหน้าอย่างมั่นใจ คิมซ็อกจินจึงตัดสินใจทดสอบโดยตั้งคำถามเป็นภาษาอังกฤษ
ซูฮยอนขมวดคิ้วก่อนตอบกลับไปอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว
“ขอโทษที่เสียมารยาท”คิมซ็อกจินพูด
“ฉันแค่อยากทดสอบให้แน่ใจ ว่านายสามารถพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษได้จริงหรือป่าว เนื่องจากภาษาอังกฤษของนายดีกว่าที่คิดไว้มาก ล่ามที่เตรียมไว้จึงปัดตกไป”
“ขอบคุณที่เข้าใจ”
“โอ้โฮ พี่ซูฮยอน สำเนียงภาษาอังกฤษพี่โคตรดี”ฮักจุนพูดด้วยท่าทางประหลาดใจ
ฮักจุนรู้ดี ว่าตัวเองไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง
ในตอนที่เขาได้ยินซูฮยอนและคิมซ็อกจินพูดคุยตอบโต้กันเป็นภาษาอังกฤษ สมองของฮักจุนเหมือนเป็นอัมพาต สำเนียงของทั้ง 2 คนเหมือนเป็นคนอเมริกาแท้ๆ ทำให้ฮักจุนฟังไม่ออก
“สมัยเรียน ฉันเคยเรียนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษ แต่เพราะฉันไม่มีโอกาสได้พูดภาษาอังกฤษบ่อยนัก เลยอาจลืมไปบ้าง”ซูฮยอนตอบกลับ
“ในยุคปัจจุบันมีสถาบันสอนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะผุดขึ้นตามประเทศต่างๆเต็มไปหมด ทำให้ผู้คนทั่วโลกสามารถพูดคุยสื่อสารกันใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง”ซูฮยอนคิด
แน่นอนว่ามีน้อยคนมากที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องเเคล่วและชัดถอยชัดคำเหมือนซูฮยอน..
“ไม่เสียแรงที่ฉันตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ ในอนาคตฉันต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารอีกหลายกรณี”ซูฮยอนคิด
ชีวิตก่อนหน้า สมัยซูฮยอนเป็นนักเรียน แม่ของเขาส่งให้ไปเรียนกวดวิชาเกี่ยวกับพื้นฐานภาษาอังกฤษและการสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ
ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเริ่มใช้บ่อยขึ้น หลังจากซูฮยอนเป็นผู้ตื่นขึ้น
โลกมนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ ทำให้ผู้ตื่นขึ้นจากทั่วมุมโลกต้องร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน..ภาษาอังกฤษจึงมีความจำเป็นมากขึ้น
“นับว่าโชคดีที่นายพูดภาษาอังกฤษเป็น ฉันจะได้ไปทำภารกิจของต่อโดยไม่ต้องกังวลเรื่องของนาย”คิมซ็อกจินพูด
“มีเรื่องอะไรอีกไหม ที่ฉันจำเป็นต้องรู้?”
“ไม่มี แต่ฉันมีเรื่องอยากถามนาย 1 ข้อ”คิมซ็อกจินพูดด้วยท่าทีแปลกๆ
อิริยาบถของคิมซ็อกจินเต็มไปด้วยความสอดรู้สอดเห็น ทำให้ซูฮยอนถอนหายใจออกมา
เขาเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำขึ้นดื่ม ก่อนพยักหน้าเชิงบอกให้คิมซ็อกจินพูดต่อได้
“เมื่อคืน ฉันทราบข่าวมาว่า มีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินแห่งแรกของโลก โผล่ขึ้นที่ลอสแอนเจลิส”
ฮักจุนที่กำลังจิบน้ำส้มไปพลางๆ สำลักพรวดออกมา จนน้ำส้มไหลย้อยออกมาจาก รูจมูก และ ปาก
ทางด้านซูฮยอนกลับดูไม่สะทกสะท้าน เขายังคงยกขวดน้ำขึ้นมาดื่นด้วยท่าทีสบายๆเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร..
คิมซ็อกจินคิดไว้อยู่แล้ว ว่าซูฮยอนต้องแสดงกิริยาไม่สนโลกออกมา..
“นายรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วใช่หรือป่าว?”