การกลับมาของฮีโร่ – ตอนที่ 123

ตอนที่ 123

ตอนที่ 123

ด้านหน้าอาคารสํานักงานผู้ตื่นขึ้น ลีจุนโฮเดินวกไปวนมา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ข้างๆของเขา มีซูฮยอนนั่งอ่านหนังสืออยู่บนม้าหินอ่อน พร้อมกับกาแฟร้อนๆที่ชายชราพึ่งมาเสิร์ฟ

ลีจุนโฮในตอนนี้ไม่เข้าใจความคิดของซูฮยอนเลยจริงๆ “เราเหลือเวลาเตรียมตัวอีกไม่นาน แต่นายยังมีอารมณ์อ่านหนังสือได้อีกนะ”

“จะไปคิดมากทําไม กังวลไปก็มีแต่ปวดหัว”

ซูฮยอนตอบกลับพลางพลิกหนังสือเปลี่ยนหน้า ตาดําของเขาขยับกลอกอ่านตัวหนังสืออย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นท่าที่ผ่อนคลายของซูฮยอน ลีจุนโฮทําได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และยกมือลูบหน้าอกตัวเอง “แล้วแต่นายเถอะ ว่าแต่ทําไมเด็กคนนั้นมาช้าจัง”

“การผ่านด่านทดสอบแรงค์ S และประเมินความสามารถ ตามจริงก็ใช้เวลานานเป็นปกติอยู่แล้ว หากถามว่าทําไมเขาถึงประเมินนานกว่าปกติ คงเป็นเพราะเขาต้องการทดสอบอะไรหลายๆอย่างให้แน่ใจละมั้ง”

“นายหมายถึงอะไร?”

“ฉันหมายถึง เขาคงไม่อยากโดยคนอื่นตั้งข้อครหาและถูกตัดสิทธิ์ตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม”

คําตอบของซูฮยอนทําให้ลีจุนโฮแสดงสีหน้างุนงงออกมาชั่วครู่ แต่ไม่นานเขาก็พยักหน้าเข้าใจความหมายที่ซูฮยอนต้องการจะสือ..

“อย่างงี้นี่เอง ฉันเข้าใจล่ะ”

“เพราะงั้น นายควรรอเขาอย่างใจเย็นและอดทน ถือซะว่าเป็นการฝึกความอดทนก็ได้ ป่านนี้เขาคงกําลังจะ…”

“เฮ้ ทั้ง 2 คน” ฮักจุนวิ่งปรอหน้าตั้งมาหาซูฮยอนและลีจุนโฮ

เสียงตะโกนของฮักจุนเดินทางมาถึงจุดที่ซูฮยอนและลีจุนโฮยืนรออยู่ก่อน สักพักตัวของฮักจุนก็ตามมา

“ผมทําได้ ผมทําสําเร็จแล้ว!!”

เมื่อเห็นท่าทางลิงโลดของฮักจุน ไม่จําเป็นต้องถามซ้ำเป็นครั้งที่สองก็สามารถบอกได้ว่าเขาดีใจเพราะเรื่องอะไร

ซูฮยอนปิดหนังสือและลุกพรวดขึ้นมาจากม้าหินอ่อน เขาไม่ได้แสดงอาการหน้าตาตื่นเหมือนอย่างฮักจุน เขาทําเพียงคลี่ยิ้มอ่อนออกมา ราวกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็นยังไง

“จําคําที่ฉันเคยพูดได้ไหม? ฉันบอกนายแล้วว่าแรงค์ S ไม่ยากเกินไปสําหรับนาย”

“พี่พูดถูก มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยครับ”

ฮักจุนตอบกับพร้อมด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ เขาดึงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและทําท่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนพิมพ์ข้อความส่วนตัวส่งไปให้ใครบางคน..

ลีจุนโฮยังคลางแคลงใจ เลยตัวสินใจถามฮักจุน “ใบรับรองการลงทะเบียนของนายอยู่ไหนเหรอ?”

“อยู่นี่ครับ”

ฮักจนหยิบใบรับรองการลงทะเบียนผู้ตื่นขึ้นออกมาจากกระเป๋าคาดอก แล้วยื่นส่งให้ลีจุนโฮ

ใบรับรองที่ฮักจนได้รับ มีรูปแบบคล้ายๆกับของซูฮยอนที่ได้จากประเมินแรงค์ S เมื่อหนึ่งปีก่อน

ลีจุนโฮตรวจทานให้แน่ใจและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ทําสําเร็จแล้วจริงๆสินะฮักจุน ฉันค่อยโล่งอกโล่งใจขึ้นมาหน่อย”

“ถ้าผมรู้ว่าการประเมินมันง่ายขนาดนี้ละก็ ผมคงรีบประเมินให้เสร็จภายในหนึ่งถึงสองเดือนก่อนแล้ว แต่ว่าจู่ๆผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา หากประเมินไม่ผ่าน ผมต้องรอไปอีกหนึ่งปีกว่าจะประเมินรอบใหม่ได้”

“ฉันเข้าใจนะว่านายมีเรื่องอยากบ่นให้ฟังหลายหัวข้อ แต่ตอนนี้พวกเราเหลือเวลาไม่มาก…”ซูฮยอนพูดพลางตบไหล่ของฮักจุนและลีจุนโฮ

“พวกเรารีบไปกันเถอะ”

ทั้งสามคนออกเดินทางไปยังสนามบินกลาง เพื่อขึ้นเครื่องบินโดยสารส่วนตัว

จุดหมายปลายทางที่พวกเขากําลังมุ่งหน้าไปคือซานฟรานซิสโก เมืองในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา

ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาฮักจุนติดพันอยู่ในหอคอยแห่งการทดสอบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้ได้ใบรับรองแรงค์ S ฮักจุนจําเป็นต้องทุ่มสุดความสามารถและทําให้เต็มที่ พอออกมาสูดอากาศโลกภายนอกได้ไม่นาน กรามของฮักจุนยึดเกือบติดพื้น เพราะได้เห็นเครื่องบินส่วนตัวซูฮยอนที่จอดอยู่ตรงหน้า

“เครื่องบินลํานี้ เป็นของพี่จริงๆ?”

“นายยังคิดว่าฉันโกหกอยู่อีกเหรอ?”

“จริงเหรอเนี่ย มันใหญ่กว่าเครื่องบินส่วนตัวของกิลด์ริปเปอร์ที่พวกเรายืมใช้เมื่อคราวก่อนอีก พี่จ่ายเงินไปทั้งหมดกี่วอนเพื่อซื้อเครื่องบินลํานี้? ไม่สิพี่ไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ?”

“หินอีเธอร์และซากศพมอนสเตอร์จากดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ถูกตัดสินว่าเป็นของฉัน เงินที่ได้จากส่วนแบ่งเลยได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย”

“ 70 เปอร์เซ็นต์?” ฮักจุนอ้าปากค้าง

การโจมตีดันเจี้ยนระดับสีน้ำเงินในครั้งนั้น ฮักจุนก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน

เงินรางวัลที่ฮักจนได้รับหลังจากโจมตีดันเจี้ยนเสร็จเรียบร้อยไม่ใช่เงินจํานวนน้อยๆ เขาพยายามคํานวณ “ 70% ของรายได้ทั้งหมด” ที่ซูฮยอนได้รับภายในหัว สุดท้ายฮักจุนก็ยอมยกธงขาว

เขาคํานวณเป็นผลลัพธ์ไม่ได้ว่าซูฮยอนได้เงินไปทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ฮักจุนมั่นใจต้องเป็นตัวเลขที่มหาศาลแน่ๆ

“จริงสิครับ จอร์แดนเคยให้สัญญาว่าจะมอบส่วนแบ่งให้พี่ด้วยใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว นอกจากจอร์แดน ส่วนแบ่งของกิลด์เมดอิแคลก็เป็นของฉันเหมือนกัน”

“อืม….พี่รู้ไหมว่าเครื่องบินส่วนตัว ต่อให้จอดนิ่งอยู่เฉยๆ ก็ต้องเสียค่าบํารุงรักษาด้วยนะ?”

“รู้สิ ฉันยังเหลือเงินเก็บในบัญชีอีกเยอะ ถ้าจวนตัวจริงๆฉันก็แค่เข้าร่วมการโจมตีดันเจี้ยนหรือไม่ก็หาช่องทางสร้างรายได้อย่างอื่นเอา” ซูฮยอนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจและไร้อาการกระฝึกกระหยัก

กลับกันฝ่ายที่แสดงสีหน้าห่อเหี่ยวใจออกมากลับเป็นลีจุนโฮและฮักจุนซะเอง

โดยเฉพาะลีจุนโฮ สีหน้าของเขาแสดงออกมาชัดเจนที่สุด ลีจุนโฮส่ายหัวอย่างเบื่อหน่ายและบ่นพึมพํา

“ชายหนุ่มที่กินตอกโบกีเป็นอาหารกลางวันและกินคิมบับแทนอาหารเย็น ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของเครื่องบินส่วนตัวไปซะแล้ว”

ซูฮยอนกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่เหมือนลีจุนโฮ อาหารที่เขากินส่วนใหญ่ไม่มีประโยชน์และไร้สารอาหาร แทนที่จะเอาเงินไปซื้อของกินที่มีประโยชน์บํารุงร่างกาย ซูฮยอนกลับใช้เงินมือเติบซื้อเครื่องบินส่วนตัว

เมื่อลองนําภาพชายที่ใช้ชีวิตติดดินและชายที่มีเครื่องบินส่วนตัวมาร่วมกัน มันขัดกันยังไงชอบกล

สําหรับซูฮยอนเงินคงเป็นได้แค่ของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ หากเงินสามารถซื้อความสะดวกสบายได้ ต่อให้ฟุ่มเฟือยไปหน่อยเขาก็ยอมจ่าย

เครื่องบินส่วนตัวบินกลางหาวครึ่งค่อนวัน

ไม่นานแผ่นดินสหรัฐอเมริกาก็ปรากฏในระยะการมองเห็น เครื่องบินส่วนตัวเริ่มลดระดับความสูงลง ทําเอาชายหนุ่ม 3 คน ที่นอนพักเอาแรงสะดุ้งตื่นพร้อมกัน

“ถึงที่หมายแล้วเหรอ?”

“น่าจะน่ะ”

เมื่อซูฮยอนเห็นลีจุนโฮและฮักจุนอ้าปากหาวหวอด เขาก็พลอยหาวตามไปด้วยเหมือนกัน

เบาะนั่งบนเครื่องบินส่วนตัวสามารถเอนปรับระดับได้จนเหมือนกับเตียงนอนของจริง ซึ่งทําให้ซูฮยอนนอนพักได้อย่างเต็มอิ่ม พอเริ่มรู้สึกตัวเขาคิดสงสัย ครั้งสุดท้ายที่ตัวเองนอนหลับสนิทคือเมื่อไหร่กัน? แม้พยายามคิดเขาก็นึกไม่ออก…

“ผมหวังว่า พวกเราคงไม่ได้มาสายเกินไปนะ” ฮักจุนพูดพลางตรวจสอบสัมภาระ เมื่อรู้ว่าเครื่องบินใกล้ถึงที่หมายเขารู้สึกกังวลเล็กน้อย

ซูฮยอนหยิบมือถือขึ้นมาเช็ควันที่และเวลา ก่อนตอบให้ฮักจุนคลายใจ “ยังไม่สาย พวกเราเห ลือเวลาเตรียมตัวอีกหนึ่งวัน ดังนั้นนายไม่ต้องกังวล”

“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว”

พวกเขายังเหลือเวลาเตรียมพร้อมความเรียบร้อย ก่อนสงครามแก่งแย่งอันดับจะเปิดม่านขึ้น

ฮักจุนไม่อยากมาร่วมงานสายเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาจึงตัดสินใจประเมินแรงค์ S อย่างเงียบๆ สมมุตินักข่าวหรือกิลด์บางแห่งรับรู้ว่ามีการประเมินแรงค์ S เกิดขึ้น พวกเขาจะปรากฏตัวรายล้อมฮักจุนและทําให้การมาถึงสหรัฐอเมริกาล่าช้ากว่ากําหนด

ซูฮยอนชะเง้อคอมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน

ภาพแรกที่สะดุดตาเขาคือตึกสูงเด่นตระหง่านแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ใจกลาง

ซานฟรานซิสโก เมื่อซูฮยอนเหลือบเห็นชื่อของตึก เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้..

<<หอคอยกอร์ดอน>>

ชื่อเฉิ่มเป็นบ้า ไม่มีชื่อที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง ถึงเอาชื่อเจ้าของตึกมาตั้ง

บางคนอาจคิดว่าไม่แปลกที่เจ้าของตึกจะเอาชื่อตัวเองมาตั้ง เพราะอย่างน้อยก็สามารถระบุความเป็นเจ้าของได้ แต่ซูฮยอนรู้จักบุคลิกและนิสัยของกอร์ดอนโรฮันเป็นอย่างดี เขาจึงอดหัวเราะไม่ได้

ชายคนนั้นกะลิ้มกะเหลี่ยอยากให้คนทั่วโลกยอมรับเขาว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ซูฮยอนรู้อยู่แก่ใจทําไมชายคนนั้นถึงตัดสินใจจัดงานสงครามแก่งแย่งอันดับขึ้นมา..

<<ทั้งหมดที่ทําไป เพราะเขาต้องการให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่าคนที่อยู่เหนือผู้อื่น คือกอร์ดอนโรฮัน>>

จะว่าไปกอร์ดอนโรฮันเริ่มโหยหาความสําเร็จตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

กอร์ดอนโรฮันเกิดมาบนกองเงินกองทอง ครอบครัวของเขาทําธุรกิจเกี่ยวกับบ่อน้ำมัน ร่ำรวยติดอันดับ 1 ใน 10 ของสหรัฐอเมริกา นอนเฉยๆก็มีเงินใช้ไม่ขาดมือ

มีเรื่องตลกในวงเหล้าที่ผู้คนมักพูดออกมาในทํานองเดียวกัน ทรัพย์สินครึ่งหนึ่งในซานฟรานซิสโกเป็นของเขาเกือบหมด ฉะนั้นเงินที่ครอบครัวกอร์ดอนโรฮันถือครองอยู่ จึงไม่อาจคํานวณเป็นตัวเลขได้

และด้วยเหตุนี้กอร์ดอนโรฮันจึงติดอันดับ 1 ใน 3 ชายที่รวยที่สุดในโลก

กอร์ดอนโรฮันใช้ความมั่งคั่งของตนเองเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลและทีมฟุตบอลที่อยู่ในสังกัด ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาได้ทุกฤดูกาลอีกด้วย นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งทําหน้าที่วิจัยหินอีเธอร์และปรับแต่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในบรรดาบริษัทที่ทํางานเกี่ยวกับหินอีเธอร์บริษัทของกอร์ดอนโรฮันถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเชิดชูให้เขาคือผู้ตื่นขึ้นที่เก่งที่สุดในโลก

กอร์ดอนโรฮันหมกมุ่นอยู่กับตําแหน่ง “ยอดเยี่ยมที่สุด” มาตลอดชีวิต

“ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างงั้นเหรอ?”

ตําแหน่งที่กอร์ดอนโรฮันปรารถนาอยากได้จนตัวสั่น ในอดีตซูฮยอนเคยครอบครองตําแหน่งนั้นมาก่อน

<<กอร์ดอนโรฮันเป็นชายที่พิลึกคนจริงๆ>>

ฮักจุนที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยินเสียงซูฮยอนบ่นพึมพํา เขาหันหน้าไปมองอีกฝ่ายและถามออกมาด้วยความสงสัย

“ยอดเยี่ยมที่สุด? พี่กําลังพูดเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“หืม?”

“เมื่อกี้ผมได้ยินพี่บ่นแว่วๆว่า ยอดเยี่ยมที่สุด”

คําพูดเมื่อครู่เขาพูดโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว ซูฮยอนจึงสายหน้าและตอบกลับไปว่า “ปาวไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่มีอะไรงั้นเหรอ..อ่อ ผมเข้าใจแล้ว พี่หมายถึงหอคอยกอร์ดอนใช่ไหมครับ มันได้ชื่อว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ผมชักอยากเห็นใกล้ๆซะแล้วสิ”

สีหน้าของฮักจุนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าการถ่อมาถึงสหรัฐอเมริกา เพราะต้องการเห็นหอคอยกอร์ดอนกับตาตัวเอง

ระหว่างซูฮยอนและฮักจุนกําลังคุยกันอย่างออกรส เครื่องบินส่วนตัวก็ค่อยๆกางล้อออกและลงจอดบนสนามบินในที่สุด

ซูฮยอนคลี่ยิ้มมุมปากและลุกจากที่นั่งคว้ากระเป๋าสัมภาระตัวเอง พวกเขาก้าวเดินออกจากเครื่องบินพร้อมกัน หอคอยกอร์ดอนสูงเสียดฟ้าดูโอ่อ่ามากขึ้นเมื่อมองดูจากภาคพื้นดิน

“ฉันขอขันอาสาเอากระเป๋าของพวกนายไปเก็บที่โรงแรมให้ ส่วนเรื่องตารางงานสงครามแก่งแย่งอันดับให้เป็นหน้าที่ฉันเอง พวกนายสองคนไปเที่ยวชมเมืองเถอะ” ลีจุนโฮกล่าว ขณะตรวจสอบแผ่นที่การเดินทางผ่านมือถือ

พวกเขามาถึงสหรัฐอเมริกาก่อนกําหนด ทําให้พวกเขายังเหลือเวลาเตรียมตัวอีกนาน

ตอนแรกพวกเขาต้องติดต่อไปหากิลด์ริปเปอร์ แต่กิลด์มาสเตอร์จียอนกลับติดต่อไม่ได้ เธออาจติดธุระสําคัญ หรือบางทีเธออาจยังมาไม่ถึง ฉะนั้นซูฮยอนก็ยังไม่จําเป็นต้องไปพบเธอในตอนนี้ ถ้าเลือกได้เขาอยากพักผ่อนอยู่ในโรงแรมมากกว่า ซึ่งแตกต่างกับฮักจุนที่มีสีหน้าสดใสขึ้นมาถนัดตา

ซูฮยอนทําท่าครุ่นคิดและสายหน้าปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า นายไม่ต้องลําบากขนาดนั้นก็ได้ พวกเรามาที่นี่ ไม่ใช่มาท่องเที่ยวสักหน่อย”

“นายไม่กระตือรือร้นก็จริง แต่ลองมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆนายสิ เขาอยากไปเที่ยวเต็มแก่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

คําพูดของลีจุนโฮส่งผลให้ไหล่ของฮักจุนสั่นไหว เขาก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับซูฮยอน แม้ว่าฮักจุนจะไม่พูดออกมา แต่อาการที่แสดงออกภายนอก ก็ชี้ชัดว่าเขาอยากออกไปเปิดหูเปิดตาจริงๆ

ซูฮยอนตริตรองเกี่ยวกับความต้องการของฮักจุนสักพักก่อนพยักหน้าหงิกๆ หากถึงโรมแรม เขาก็ไม่มีอะไรให้ทําเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ดี ออกไปเที่ยวเตร่กับฮักจุน น่าจะฆ่าเวลาได้ดีกว่านอนเฉยๆ

“ช่วยไม่ได้ สัมภาระของฉันฝากนายดูแลด้วย”

“ไว้ใจได้เลย ทั้ง 2 คนเที่ยวให้สนุกนะ”

ซูฮยอนและฮักจนแยกทางกับลีจุนโฮ..

พวกเขาเดินไปยังจุดบริการรถแท็กซี่และสุ่มเลือกแท็กซี่มาคันหนึ่ง

หอคอยกอร์ดอนสูงเด่นเป็นสง่าที่ฮักจนอยากไป ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรมแรมมากนัก ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณ 30 นาทีก็ถึง

หอคอยกอร์ดอนคือสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่ที่สุดในซานฟรานซิสโก ขนาดของหอคอยกอร์ดอนใหญ่โตโอฬารเป็นอย่างมาก ขอแค่อยู่ในอาณาเขตซานฟรานซิสโก ก็สามารถสังเกตเห็นหอคอยกอร์ดอนได้อย่างง่ายดาย

<<ถ้าฉันรู้มาก่อนว่าการนั่งรถไปใช้เวลานานขนาดนี้ รู้งี้วิ่งไปเองก็ดี>>

หากเลือกวิ่ง พวกเขาใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงที่หมาย

ระหว่างนั่งอยู่ในรถฮักจนพูดคุยกับยันซอนผ่านวิดีโอคอลอย่างสนุกสนาน แต่ในทางตรงข้ามซูฮยอนกลับแสดงสีหน้าระอมระอาเต็มทน

ในที่สุดรถแท็กซี่ก็มาถึงหอคอยกอร์ดอน มิเตอร์ค่าบริการแพงกว่าเกาหลีอย่างเห็นได้ชัด ซูฮยอนควักเงินจ่ายค่าโดยสารและก้าวลงจากรถ จุดที่พวกเขายืนอยู่ปัจจุบันคือหน้าหอคอยกอร์ดอน

ดวงตาของฮักจุนเบิกโพลง เขาไล่มองตั้งแต่ด้านล่างขึ้นไปด้านบน ด้วยความที่หอคอยกอร์ดอนสูงเสียดฟ้า เขาจึงมองไม่เห็นยอดสูงสุด

“พอมาเห็นหอคอยกอร์ดอนใกล้ๆ มันน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าตอนเห็นไกลๆอีกนะครับ”

“นั่นสินะ ฉันเห็นด้วยกับนาย”

ขณะฮักจุนปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับตึกสูงระฟ้า ซูฮยอนละสายตาออกมาจากตึกและสังเกตฝูงชนจํานวนมากที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆหอคอยกอร์ดอน

ทันใดนั้นสายตาของซูฮยอนก็ไปสะดุดเข้ากับชายผิวดําที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ใบหน้าของชายคนนั้น ซูฮยอนค่อนข้างคุ้นเคยกับเขา

<<รอยซ์ กุซแมน>>

หลังจากชื่นชมด้านนอกจนพึงพอใจ ซูฮยอนจึงตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในตึก..

ยังไม่ทันไรสายตาของซูฮยอนก็ถูกดึงดูดอีกครั้ง สาวสวยผิวขาวนวลเหมือนน้ำนมซึ่งเป็นลักษณะเด่นของชาวรัสเซีย ท่ามกลางคนที่ยืนห้อมล้อมเธอเอาไว้ เธอเด่นสะดุดตากว่าใครเพื่อน

<<เอเลน่า แอน>>

นอกจาก 2 คนนี้ ซูฮยอนยังเจอผู้ตื่นขึ้นที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออีกหลายคน และพวกเขาเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ทั้งสิ้น

สาเหตุที่พวกเขามารวมตัวในซานฟรานซิสโก เพื่อเข้าร่วมงานสงครามแก่งแย่งอันดับที่กําลังจะจัดขึ้น

เนื่องจากพวกเขาอยู่ในเมืองเดียวกันและมาถึงที่หมายก่อนระยะเวลากําหนด ดังนั้นสําหรับพวกเขา การออกมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย ถือเป็นการฆ่าเวลาได้ดีที่สุด

นอกจากนี้หอคอยกอร์ดอนยังมีชื่อเสียงเรื่องความสูงและใหญ่ที่สุดในโลก ไม่แปลกที่พวกเขาอยากเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

โดยเฉลี่ย ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ที่อาศัยอยู่ในประเทศมักมีไม่เกิน 1 หรือ 2 คน มากสุดก็ 3 คน แต่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น ตรงนั้น ตรงนี้ หรือ ตรงนั้น ต่างมีผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S ดาษดื่นไปหมด มองไปทางไหนก็เจอแต่แรงค์ S

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สถานที่แห่งนี้คือศูนย์รวมดาวเด่นจากทั่วมุมโลก

“เหมือนงานนี้ จะไม่หมูอย่างที่คิด” ซูฮยอนบ่นพึมพํา

ในช่วงชีวิตก่อนซูฮยอนผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน แต่การเข้าร่วมงานสงครามแก่งแย่งอันดับครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกสําหรับเขา ย้อนกลับไปในอดีตตอนที่สงครามแก่งแย่งอันดับจัดขึ้นซูฮยอนเป็นเพียงผู้ตื่นขึ้นแรงค์ A เท่านั้น สรุปง่ายๆงานสงครามแก่งแย่งอันดับจัดขึ้น ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S

<<ฉันสงสัยจังว่างานครั้งนี้จะผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นจริงๆเหรอ?>>

ผู้ตื่นขึ้นจํานวนมากที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ไม่ได้มีระดับพลังทั่วไป แต่ส่วนใหญ่เป็นถึงผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S เพราะฉะนั้นจะมีใครกล้า “ควบคุม” พวกเขากันล่ะ?

บางที่ซูฮยอนอาจคิดมากเกินไป ผู้ตื่นขึ้นมากหน้าหลายตาจับกลุ่มอยู่บริเวณรอบๆเต็มไปหมดคนที่เคยเป็นอริกัน คงไม่รู่วามสร้างความวุ่นวายกลางแจ้ง ทว่าอารมณ์ของคนเราไม่เท่ากันและไม่สามารถคาดเดาได้ จะเกิดอะไรขึ้นก็ล้วนเป็นเรื่องของอนาคต

ผู้ตื่นขึ้นรวมตัวกันร้อยพ่อพันแม่ ในหมู่พวกเขาต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่…

และนํามาสู่…

<<จริงสิ…>>

ซูฮยอนรีบหันหน้าไปหาฮักจุนและพูดว่า “ฮักจุน”

“ครับ?”

“ฉันของแวบไปทําธุระแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวโทรมาบอกที่หลังนะ”

“เอ๊ะ? พี่จะไปไหน?”

ฟรึ่บ!!

ซูฮยอนวิ่งโกยอ้าวออกจากวงล้อมของฝูงชน ชั่วอึดใจร่างกายของซูฮยอนก็ไกลลับตาออกไป

เพราะซูฮยอนเคลื่อนไหวอย่างฉุกละหุก ฮันจุนจึงหยุดเขาไว้ไม่ทันการ…

ซูฮยอนแทรกตัวตามคลื่นฝูงชนเข้าลิฟต์ ซึ่งลิฟต์ที่เขากําลังใช้งานเป็นลิฟต์แบบพิเศษที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหินอีเธอร์ระดับต่ำหลายก้อน สภาพภายในลิฟต์กว้างขวางเป็นอย่างมาก สามารถจุคนได้มากสุด 50 คนเลยทีเดียว

เนื่องด้วยในลิฟต์อัดแน่นไปด้วยผู้คนจํานวนมาก และแต่ละคนมีชั้นที่จะไปแตกต่างกัน ลิฟต์จึงหยุดจอดพักตามชั้นเป็นระยะๆ แคไปให้ถึงชั้นที่ 10 ก็กินเวลาไปหลายนาที

<<ช้าเกินไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างงี้จะไม่ทันการเอานะ>>

ตามปกติซูฮยอนก็ไม่อยากทําลายทรัพย์สินส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่จําเป็นหรอก แต่ครั้งนี้เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ

เคร้ง!!!

ซูฮยอนหุ้มตัวเองด้วยพลังเวทย์และกระโดดทะลวงเพด้านลิฟต์ขึ้นไป ผู้โดยสารคนอื่นๆกรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างขวัญเสีย แต่ซูฮยอนไม่สนใจเสียงกรีดร้อง เขาก้มมองตัวลิฟต์และตรวจสอบการทํางาน และก็เป็นอย่างที่ซูฮยอนคิดเอาไว้ ตัวลิฟต์ยังคงทํางานได้ตามปกติ เสียงแจ้งเตือนไม่ดังและความเร็วยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แสดงว่าตัวลิฟต์ไม่มีปัญหาอะไร

ฟรึ่บ!!

ซูฮยอนใช้สกิลกระโดดและไต่ไปตามปล่องลิฟต์ ความเร็วของเขาตอนนี้ เร็วกว่าโดยสารลิฟต์หลายเท่า

ปลายทางที่ซูฮยอนกําลังมุ่งหน้าไปคือชั้นที่ 200 ของหอคอยกอร์ดอน ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของที่นี่ และยังเป็นจุดชมวิวยอดนิยมที่สามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างในเมืองซานฟรานซิสโกได้ 360 องศาอีกด้วย

และสถานที่แห่งนั้น ตอนนี้กําลังตกอยู่ในความโกลาหล

“กรี๊ดดดด!!”

“พวกเขากําลังทําห้ำหั่นกัน หนีเร็ว!!”

ชั้นที่ 200 เป็นพื้นที่โล่งๆ นอกจากรูปปั้นกอร์ดอนโรฮันตั้งโดดเด่นเป็นตระหง่าน ก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดประดับเกะกะการมองเห็นเลยสักชิ้น

แต่สถานการณ์บนชั้นที่ 200 ตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องหวาดผวา ผู้คนตื่นตระหนก ใจไม่อยู่กับเนื้อตัว

ลิฟต์หลายสิบตัวยังคงจอดรับคนอยู่ชั้นล่าง ฝูงชนจึงเบียดเสียดอยู่บริเวณประตูทางออกฉุกเฉิน

เพราะประตูทางออกฉุกเฉินคับแคบเกินไป จึงไม่สามารถระบายฝูงชนออกไปได้ในคราวเดียว

ท่างกลางเหตุการณ์ความโกลาหลมีชายหนุ่ม 2 คน ยืนประจันหน้ากัน

<<หวังหยู่ และ สุกิโมโตะ เคนย่า>>

ผู้ตื่นขึ้นแรงค์ S 2 คน ซึ่งทั้งคู่มีความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับที่หนึ่งของประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่น

ทั้ง 2 คนเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะไม้เบื่อไม้เมา เจอหน้ากันทีไรเป็นอันต้องปะทะกันตลอด และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดบนชั้นที่ 200 ก็มาจากฝีมือของพวกเขา

การกลับมาของฮีโร่

การกลับมาของฮีโร่

คิมซองอิน ฮีโร่ ที่แข็งแกร่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ

เขาเดิมพันด้วยพลังทั้งหมดของเขา ในการต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์ที่กำลังรุกรานโลก

ทว่า…ความตั้งใจของเขาก็ไม่สำเร็จ โลกมนุย์ถูกทำลาย

แต่ตำนานยังไม่ตาย เมื่อเขาได้มีโอกาสย้อนกลับไปในอดีต เมื่อ 20 ปีที่แล้ว

การเดินทางครั้งใหม่ของเขาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน