เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 220 เจ๊หร่านส่งที่อยู่คฤหาสน์ให้กู้ซีฉือ

ตอนที่ 220 เจ๊หร่านส่งที่อยู่คฤหาสน์ให้กู้ซีฉือ

เมื่อได้ยินที่ฉินหร่านพูด ซือลี่หมิงก็อึ้งไปสักพักแล้วมองฉินหร่าน “อะไรนะ?”

ฉินหร่านวางมือลงและหรี่ตามองเฉิงมู่ในสนามฝึกที่ค่อยๆ ลุกขึ้น

อย่างเงียบๆ

โดยมีซือลี่หมิงยืนอยู่ข้างๆ เขามองไปที่ใบหน้าด้านข้างของเธอ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไร

ดูเหมือนเฉิงมู่จะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ทว่าไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไร เขาแค่ไม่คิดว่าจะถูกคนที่อายุน้อยกว่าตัวเองต่อยจนกลายมามีสภาพแบบนี้ เขาก้มหน้าเดินออกจากสนามฝึกศิลปะการต่อสู้

ซือลี่หมิงมองเขาแล้วกระแอมเสียงเล็กน้อย แทนที่จะเอ่ยถามเรื่องของเจอร์รี่ เขากลับพูดตามปกติ “เฉิงมู่ ฉันจะพาคุณหนูฉินไปเมืองใต้ดิน นายจะไปด้วยไหม?”

ฉินหร่านกับซือลี่หมิงยืนอยู่บนที่สูง ซึ่งเฉิงมู่ไม่สามารถมองเห็นฉินหร่านกับซือลี่หมิงได้ในมุมนั้น

เมื่อได้ยินซือลี่หมิงพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฉิงมู่ก็ถึงจะโล่งอก พวกเขาคงไม่เห็นสินะ

“เสื้อผ้าฉันสกปรกไปหน่อย ขอกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน” เฉิงมู่กล่าว

เมื่อฉินหร่านที่กำลังเอนหลังพิงเสาไม้ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ได้ยินดังนั้น เธอก็พูดด้วยเสียงราบเรียบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “ไปเถอะ เร็วๆ หน่อยละ”

ท่าทางเธอดูปกติเหมือนซือลี่หมิง

เฉิงมู่ถอนหายใจเฮือกสุดท้าย “อืม”

แล้วรีบกลับที่พักไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

เขาพักอยู่ที่ชั้นหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกลางของคฤหาสน์เก่าแก่ ติดกับห้องของเฉิงสุ่ย

ซือลี่หมิงยืนมองแผ่นหลังเฉิงมู่อยู่ข้างๆ ฉินหร่าน เขาต่างกับเฉิงมู่ ซือลี่หมิงไต่ระดับมาจากชั้นล่างสุด แม้จะไม่ได้เข้าฝ่ายยุติธรรม แต่การที่อยู่หน่วยจัดซื้อก็ถือว่ามีความสามารถไม่เลว

เขาไม่เคยตกต่ำอย่างเฉิงมู่มาก่อน จึงไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้น แต่กลับเข้าใจถึงความกดดันของเฉิงมู่ในขณะนี้แล้ว

ภายในเวลาไม่ถึงเจ็ดนาที พอเฉิงมู่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็รีบมาหาพวกเขาทันที

“ไปกันเถอะ” ซือลี่หมิงหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วพาพวกเขาเดินออกจากประตูใหญ่

**

ไม่ไกลมากนัก มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้

คนที่เดินนำหน้าคือเฉิงสุ่ย โดยมีเฉิงหั่วตามหลังเขามาติดๆ นอกจากนี้ยังมีสาวผมบลอนด์หนึ่งคนและหัวหน้าอีกหลายท่าน

หัวหน้ากำลังคุยกับสาวผมบลอนด์คนนั้นอย่างกระตือรือร้น

ฉินหร่านยื่นมือดึงปีกหมวกลงมา

ตอนนั้นเองต่างฝ่ายต่างเห็นหน้ากัน

เมื่อถังชิงเห็นเฉิงมู่กับซือลี่หมิงสองคนก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเฉิงมู่ที่เพิ่งเจอที่หอประชุม เธอยังมีความทรงจำเกี่ยวกับเขาอยู่บ้าง

แต่ก็น่าจะไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร เธอจึงเหลือบมองไปทางอื่น

ฉินหร่านเองก็โดนเธอเมินโดยปริยาย

เธอคิดว่าจะเดินผ่านไป แต่กลับพบว่ากลุ่มคนรอบตัวเธอหยุดเดิน

หัวหน้าโจวเรียกฉินหร่านด้วยความสุภาพ “คุณหนูฉิน”

ซึ่งแม้แต่เฉิงสุ่ยก็หยุดแล้วโค้งคำนับให้ฉินหร่าน จากนั้นก็สอบถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนูฉินจะออกไปเที่ยวหรือครับ?”

เมื่อได้ยินเฉิงสุ่ยพูดคำว่า “เที่ยว” หัวหน้าโจวก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก

“อือ” ฉินหร่านตอบด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

“ซือลี่หมิง ติดตามคุณหนูฉินให้ดีๆ ละ…” เฉิงสุ่ยหันไปมองทางซือลี่หมิง หลังจากถามเขาว่าจะไปไหนกัน เขาก็เตือนอย่างระมัดระวัง

เฉิงหั่วเองก็อยู่ในกลุ่มจิน-มู่-สุ่ย-หั่ว-ทู่ ดังนั้นเขาจึงได้ยินเฉิงมู่พูดถึงคุณหนูฉินมานานแล้ว

เฉิงหั่วจึงเรียก “คุณหนูฉิน” ตามเฉิงสุ่ย จากนั้นก็เงยหน้ามองฉินหร่านด้วยความแปลกใจ

เนื่องจากฉินหร่านดึงหมวกเสื้อขนเป็ดลง จึงทำให้เห็นหน้าไม่ค่อยชัด เห็นเพียงปลายคางบอบบาง เผยถึงผิวที่ขาวมาก

โดยเฉพาะเมื่อตัดกับสีดำจะเห็นว่าขาวอย่างชัดเจน

คนที่หน้าตาดีมากถึงมากที่สุด ถึงแม้จะเห็นเพียงเสี้ยวเดียว ก็ไม่สามารถบดบังสายตาคนอื่นได้

“นี่คือเฉิงหั่ว” เฉิงสุ่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเฉิงหั่วอยู่ด้วย เขาจึงรีบแนะนำให้ฉินหร่านรู้จัก “เดิมทีผมคิดว่าจะพาเขาไปทักทายคุณเย็นนี้”

เฉิงหั่วกระแอมเสียงยืดตัวตรงทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับฉินหร่าน

และแนะนำตัวกับฉินหร่านอย่างเป็นทางการ

เฉิงหั่วไม่ได้มีชื่อเสียงแค่ในคฤหาสน์รัฐ M เท่านั้น เมื่อเอ่ยชื่อเขาในโลกแฮ็กเกอร์ก็ดังราวกับฟ้าร้องก้องหู

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ถังชิงยอมติดตามเฉิงหั่ว

อันที่จริงเธอไม่รู้ว่าเฉิงหั่วจงรักภักดีผู้มีอำนาจคนไหนในรัฐ M แต่เห็นได้ชัดว่าการที่สามารถยึดอำนาจของเฉิงหั่วมาได้นั้น แสดงให้เห็นว่าคนคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดา ตอนที่เข้ามายังคฤหาสน์และเห็นแผนภาพดอกฮิกังบานะ ถังชิงก็เดาได้ถึงอำนาจบารมีของเฉิงหั่วแล้ว

ตามที่เธอคาดเดาไว้ เฉิงหั่วน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่มีตำแหน่งที่สูงมากในกลุ่มนี้

นอกจากเฉิงสุ่ยแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็เคารพเฉิงหั่วมากเช่นกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่ถังชิงเห็นเฉิงหั่วและเฉิงสุ่ยปฏิบัติตัวกับคนอื่นด้วยความเคารพนอกจากลูกพี่ผู้ลึกลับคนนั้นของพวกเขา และเธอดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่ไม่มีพลังอำนาจใดๆ

ถังชิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองฉินหร่านอีกครั้งทั้งที่เดิมทีไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอเลย แต่ก็ยังดูไม่ออกถึงอำนาจอะไรอยู่ดี

พอเฉิงสุ่ยพูดคุยได้ไม่กี่คำก็ไม่ได้รบกวนเวลาฉินหร่านอีก เขายืนนิ่งแล้วส่งสายตามองฉินหร่านกับเฉิงมู่และคนอื่นๆ จากไป

“ทำไมเฉิงมู่ทำท่าเหมือนเมียตายอย่างไรอย่างนั้นล่ะ?” เฉิงหั่วมองแผ่นหลังเฉิงมู่โดยที่มือหนึ่งถือกระเป๋า ส่วนอีกมือสอดเข้ากระเป๋ากางเกง

เฉิงสุ่ยมองเฉิงหั่วพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “…เฉิงหั่ว อย่าพูดซี้ซั้ว”

เฉิงหั่วตอบเพียง “อ้อ” แล้วหันกลับมา ในใจยังอยากจะถามเกี่ยวกับคุณหนูฉินท่านนั้น แต่เนื่องจากคนอื่นอยู่ด้วยเยอะ เขาจึงอดใจไว้ชั่วคราว

รอจนกระทั่งพวกฉินหร่านหายไปหมดแล้ว เฉิงสุ่ยถึงได้พาพวกถังชิงเดินสำรวจทั่วคฤหาสน์

**

พ่อบ้านประจำคฤหาสน์ขับรถสีดำของฉินหร่านมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว ทันทีที่ซือลี่หมิงและคนอื่นๆ ออกมาก็เจอเข้าพอดี

ซือลี่หมิงยังคงเป็นคนขับ เฉิงมู่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ

หลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้วก็เอียงศีรษะมองไปทางที่พวกเขาเดินมา “ผู้หญิงผมบลอนด์คนนั้นเป็นใคร? นายรู้จักไหม?”

เฉิงมู่มองซือลี่หมิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

หลังจากเข้าคฤหาสน์ เฉิงมู่ก็ถูกความเครียดจู่โจมหลายต่อหลายครั้งอย่างหนักหน่วงโดยเฉพาะวันนี้ เด็กผู้หญิงที่เฉิงหั่วพามาจะต้องเก่งกาจไม่ธรรมดา เพราะขนาดเฉิงสุ่ยยังมาต้อนรับด้วยตัวเอง

เฉิงมู่รู้สึกได้ว่าคนรับใช้ทั่วไปในคฤหาสน์นี้ยังเก่งกว่าเขาเสียอีก

“ฉันนึกออกแล้ว มีคนกลุ่มเล็กๆ ของหน่วยจัดซื้อเคยพูดไว้” ซือลี่หมิงหมุนกุญแจรถแล้วค่อยๆ ขับเข้าถนนใหญ่ “นั่นคือถังชิง เป็นรุ่นน้องของเฉิงหั่ว เธอเป็นแฮ็กเกอร์”

เมื่อฉินหร่านที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ด้านหลังอย่างเบื่อๆ ได้ยินคำว่า ‘แฮ็กเกอร์’ ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดด้วยความสนใจ “แฮ็กเกอร์?”

พอได้ยินที่ฉินหร่านถาม ซือลี่หมิงก็รีบบิดขี้เกียจแล้วนั่งตัวตรง “ได้ยินว่าเป็นสมาชิกคนล่าสุดของสมาคมแฮ็กเกอร์ที่เพิ่งเข้ามาในเร็วๆ นี้ ผลงานล่าสุดคือแฮ็กตึกไทรแองเกิลแล้วรอดกลับมาได้ คุณเฉิงหั่วบอกว่าอายุน้อยกว่าเขาไม่เท่าไหร่แต่มีความสามารถที่แข็งแกร่งมาก คุณเฉิงหั่วยังเตรียมจะให้เป็นสมาชิกใหม่ของหน่วยข่าวกรองอีกด้วย”

น้ำเสียงแฝงไปด้วยความยำเกรง

เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครไม่ยำเกรงแฮกเกอร์ที่เก่งกาจ

เฉิงมู่ฟังด้วยความชื่นชม สมาคมแฮ็กเกอร์ไม่ใช่สมาคมธรรมดาทั่วไป

อย่างไรก็ตาม เขาเหลือบมองกระจกมองหลังพลางแอบคิดว่าระหว่างฉินหร่านกับเธอใครจะเก่งกว่ากัน?

เขายังนึกสงสัยอยู่ว่าฉินหร่านคือบุคคลที่สามที่ทำการก่อกวนระบบลานจอดเครื่องบินเมื่อคืนก่อนหรือไม่?

ในกระจกมองหลัง ฉินหร่านกำลังกดโทรศัพท์ ซึ่งดูต่างจากโทรศัพท์ทั่วไปมาก เฉิงมู่เหมือนเห็นถึงแสงเรืองรอง

ยังไม่ได้ดูให้ละเอียด ฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้น

เฉิงมู่ตกใจหันหน้ากลับไป

ฉินหร่านชักสายตากลับและยื่นมือหมุนโทรศัพท์แล้วเปิดไมโครคอมพิวเตอร์

ไม่นานก็มีเสียงหวานของผู้หญิงดังมาจากลำโพง——

(ตรงไปทางสี่แยกไฟแดงข้างหน้าอีกหนึ่งร้อยเมตร)

ซือลี่หมิงที่ขับรถอยู่ดีๆ ก็สะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงระบบเตือนดังขึ้นมากะทันหัน บังเอิญว่าไฟแดงพอดี เขาจึงขับไปข้างหน้าอีกหน่อยแล้วจอดรอสัญญาณไฟจราจร หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นมาตบๆ “เป็นอะไรไป? ฉันไม่ได้เปิดจีพีเอสนี่นา?”

ซือลี่หมิงอยู่รัฐ M มานานมากแล้ว แม้ว่าเมืองใต้ดินจะเป็นแหล่งขุดทอง แต่ก็เคยไปมาแล้ว มันอยู่ไม่ไกลมากนัก เขารู้จักทางดีจึงไม่ต้องใช้จีพีเอสนำทาง

สักพักสัญญาณจีพีเอสก็ดังขึ้นอีกครั้งจนเขาถึงกับตกใจ

“ไปตามทางจีพีเอสเถอะ” เมื่อเฉิงมู่เห็นว่าฉินหร่านที่นั่งอยู่ด้านหลังไม่พูดอะไร เขาก็มองไปทางซือลี่หมิง

คุณหนูฉิน…จู่ๆ เฉิงมู่ก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด จริงๆ เลย

“เฉิงมู่ นายทำฉันตกใจแทบแย่” ซือลี่หมิงไม่รู้ว่าฉินหร่านเป็นแฮ็กเกอร์ เมื่อได้ยินเฉิงมู่พูดแบบนี้ เขาก็คิดว่าเฉิงมู่แกล้ง

เฉิงมู่มองเขาอย่างเงียบๆ

**

รถขับต่อไปอีกเรื่อยๆ และในที่สุดก็หยุดที่หัวมุมถนนมืด

ซือลี่หมิงเองก็คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เช่นกัน

หลายคนในคฤหาสน์มักจะแสวงหาความท้าทาย พวกเขาจึงมาประลองที่สังเวียนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม ซือลี่หมิงเองก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับบรรยากาศเนื่องจากไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ

“คุณหนูฉิน…ที่นี่คือ?” พอจอดรถเสร็จก็ไม่ได้ลงจากรถทันที เฉิงมู่นั่งตำแหน่งข้างคนขับและมองไปทางฉินหร่าน

ฉินหร่านแทบจะไม่เปลี่ยนการแสดงทางสีหน้าหรือเรียกได้ว่าเย็นชาเลยก็ได้ ดวงตาดูเยือกเย็นเปล่าเปลี่ยว “ลงรถ”

เธอเปิดประตูลงจากรถก่อน

ถนนมืดจะมีคนแบกอาวุธติดตัวพะรุงพะรังมาเป็นบางครั้งบางคราว

ถัดไปก็เป็นเขตสลัมที่วุ่นวายเป็นพิเศษ

ฉินหร่านกำลังสวมเสื้อขนเป็ดพร้อมกับมองไปยังทางเข้าสถานที่

คนของถนนมืดต่างก็เห็นผู้มาเยือน สายตามองทางนี้ สูบบุหรี่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมงพลางหรี่ตามองฉินหร่าน ตอนที่สายตาหยุดอยู่ที่ลวดลายบนแขนเสื้อของเธอ มือที่ถือบุหรี่ก็สั่นระริก

จากนั้นก็รีบชักสายตากลับ

“ตามฉันมา” ฉินหร่านเดินนำไปก่อน

ที่นี่มีลานประลองอยู่แค่ที่เดียว

เดิมทีซือลี่หมิงคิดจะเป็นคนนำทาง แต่กลับไม่คิดว่าฉินหร่านจะเดินไปทั้งอย่างนั้น หนำซ้ำยังไม่ได้ไปผิดทาง

“เสี่ยวซือ นี่เราจะไปที่ไหนกัน?” เฉิงมู่ที่เดินตามหลังฉินหร่านกระซิบถามซือลี่หมิง

ซือลี่หมิงไม่ตอบเพราะเห็นประตูสนามประลองแล้ว

โลโก้กะโหลกสีดำอันน่าสยดสยองสองอันที่ไขว้กันทำให้รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก

ฉินหร่านควานหาแบล็กการ์ดออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ซือลี่หมิง “ไปทำบัตรวีไอพี”

ในสนามประลอง นอกจากคนที่สู้กันบนสังเวียนแล้ว ที่เหลือก็เป็นผู้ชมที่เดิมพันการแข่งขันกันอย่างดุเดือดโดยมีบัตรวีไอพีที่ทำโดยใช้เงินขั้นต่ำสิบล้าน ซึ่งจะมีห้องส่วนตัวกลางอากาศที่สามารถมองเห็นสังเวียนได้โดยเฉพาะและยังได้รับสิทธิพิเศษอีกมากมาย เป็นสถานที่ที่คนรวยๆ ไปแสวงหาความตื่นเต้นเร้าใจ นอกจากนี้ยังมีพนักงานเปิดประตูอีกด้วย

เมื่อทั้งสามเข้ามาก็รู้สึกราวกับอยู่อีกโลกใบหนึ่ง ข้างในมีเสียงอึกทึกครึกโครม บางครั้งก็มีเสียงโห่ร้องหรือเสียงด่าสาปแช่งไปจนถึงเสียงตะโกนให้กำลังใจ

สถานที่แห่งนี้เป็นสนามเถื่อน แม้ว่าจะเป็นสังเวียนทั่วไป แต่คนข้างบนจะทำทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะ

คนบางคนถูกบีบให้ต่อสู้อย่างอับจนหนทางเพื่อตัดสินความเป็นความตาย…

หากชนะก็เป็นวีรบุรุษของชาติ แต่ถ้าแพ้ก็ทำให้ชาติล่มสลายหรือเดิมพันด้วยชีวิต

ถึงเฉิงมู่จะเคยผ่านการฝึกฝนพิเศษมาแล้ว แม้การฝึกซ้อมเหล่านั้นจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดหรือท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์และเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

แม้ว่าจะออกไปปฏิบัติภารกิจกับผู้กองห่าวมาหลายครั้ง ผ่านประสบการณ์เฉียดตายมานับไม่ถ้วน เขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์ที่มืดมนและกดดันเช่นนี้มาก่อน

เขาหน้าซีดลงเล็กน้อย

รับไม่ได้ “เสี่ยวซือ เราพาคุณหนูฉินออกไปจากที่นี่กัน…”

เขาหันไปมองท่าทีฉินหร่านและซือลี่หมิง ซือลี่หมิงเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดูต่างไปจากเดิมมากนัก

ส่วนฉินหร่าน…

สีหน้าเฉิงมู่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ทว่าการแสดงออกของฉินหร่านกลับดูสงบมากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

“ดูคู่นี้จบแล้วค่อยไป มีบุหรี่ไหม?” ฉินหร่านหันมามองเฉิงมู่

เฉิงมู่ลุกลี้ลุกลนหยิบซองบุหรี่ออกมา ในใจยังแอบคิดว่าถ้าฉินหร่านกลับไปจะโดนเฉิงเจวี้ยนตีตายหรือไม่ ฉินหร่านหยิบบุหรี่ออกมาจากซองหนึ่งมวน

เธอก้มหน้ามองแต่ไม่ได้สูบและไม่ได้จุด จากนั้นก็เอียงศีรษะมองเฉิงมู่พร้อมกับพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน แต่ก็ไม่ได้ยิ้มซะทีเดียว “เฉิงมู่ การจะกลายเป็นผู้แกร่งกล้า มีราคาที่ต้องจ่ายสูงนะ”

เฉิงมู่พอจะคุ้นเคยกับท่าทางขวางโลกอยู่หน่อยๆ มาบ้างแล้ว

“เอ๊ะ” เฉิงมู่ได้สติกลับมา

ฉินหร่านตบไหล่เขาแล้วหัวเราะเบาๆ เธอหรี่ตาลง ถามส่งๆ “เฉิงสุ่ยและคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เดินบนขอบขุมนรก ที่คนพวกนั้นเก่งกว่านายไม่ใช่เพราะเก่งกว่านายมาตั้งแต่เกิดหรือมีคุณสมบัติมากไปกว่านายเลย การที่ฉันให้นายขึ้นไปตีบนสังเวียน บางทีอาจไม่ถึงกับตาย แต่ก็อาจจะพิการได้ ทุกสนามนายจะต้องทุ่มสุดตัว ทุกสนามนายจะต้องอกสั่นขวัญแขวน นายกล้าไหม?”

เธอมองมาทางเฉิงมู่

โดยมีซือลี่หมิงยืนอยู่ระหว่างกลาง ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

ในใจเฉิงมู่สั่นสะท้าน ถ้าเขาไม่ได้ผ่านเรื่องราวในช่วงไม่กี่วันมานี้ ตอนที่ฉินหร่านถามเขาว่ากล้าไหม? เขาอาจจะตอบไปว่าไม่กล้า

ทว่าขณะนี้เฉิงมู่กลับกำหมัดแน่น มองฉินหร่านแล้วพูดด้วยความฮึกเหิม “คุณหนูฉิน ผมกล้า!”

ในแววตาคู่นั้นไม่มีความกลัวตาย

ฉินหร่านแตะคางเขาพลางเลิกคิ้วอย่างนึกไม่ถึง

“ฉันรู้แล้ว” บนสังเวียนต่อสู้กันเสร็จพอดี ฉินหร่านจึงเอื้อมมือเลิกหมวกขึ้นสวมแล้วเดินออกไป “กลับกันเถอะ”

เฉิงมู่อึ้งสักพักก็เดินตามไป “คุณหนูฉิน เราไม่ประลองแล้วเหรอ?”

ซือลี่หมิงก็เดินตามไป เขาเองก็ยังคิดว่าฉินหร่านจะให้เฉิงมู่ขึ้นไปต่อยมวย

“เสี่ยวซือ คฤหาสน์ของนายมีสนามฝึกในร่มเล็กๆ ไหม?” ฉินหร่านหยิบโทรศัพท์ออกมาขณะที่กำลังเดินออกไป เธอเปิดไปที่หน้าโปรไฟล์ของกู้ซีฉือ——

(มียาอะไรไหมที่สามารถฟื้นฟูเซลล์ได้เร็ว ทำให้อึด…ได้ทั้งนั้น)

เธอพิมพ์ไปชุดใหญ่

กู้ซีฉือตอบกลับข้อความเธอเร็วมาโดยตลอด——

(มี)

ฉินหร่านส่งที่อยู่คฤหาสน์ให้กู้ซีฉือโดยตรง

หลังจากส่งที่อยู่ไป เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

Status: Ongoing

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา

สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง

กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่…

เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท