ตอนที่ 265 สถานการณ์พลิกกลับ
เมื่อสวีอันหรานเข้ามาก็นึกว่าพวกเขาน่าจะกลับกันไปแล้ว จึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นสวีรั่วชีเหยียบอยู่บนขั้นบันไดกำลังปีนขึ้นไปแขวนอะไรสักอย่าง ทำเอาเขาตกอกตกใจหมด
“พี่” ซย่าเสี่ยวมั่วทักทายเขา
ไม่ว่าจะจากมุมของเสิ่นจิ้งเฉิน หรือมุมของสวีรั่วชีก็ตาม แต่คำว่า ‘พี่’ นี้สวีอันหรานยังพอรับได้อยู่
“อื้ม” สวีอันหรานยิ้มให้เธอ ก่อนจะเดินไปคุ้มกันสวีรั่วชีไว้ “รีบลงมาเลย อยู่ดีๆ จะไปปีนบันไดทำไม”
ทำร้ายหัวใจคนโสดยิ่งนัก…ซย่าเสี่ยวมั่วมองสวีรั่วชีกระโดดลงสู่อ้อมกอดของสวีอันหราน แอบเบือนหน้าหนีเงียบๆ แล้วทำงานในมือของตัวเองต่อ
“พี่ว่าเป็นยังไงบ้าง ฉันตกแต่งดีใช่ไหม?” สวีรั่วชีสาดแสงออร่าของราชินี พึงพอใจกับสิ่งที่ตนนำมาตกแต่งใหม่เป็นอย่างมาก
“วันนี้เธอกับเสี่ยวมั่วก็เหนื่อยกันหน่อยนะ” สวีอันหรานจ้องมองคนในอ้อมกอดอยู่นานจึงจะละสายตาไปมองการประดับตกแต่งโดยรอบ
ด้านบนเป็นดวงไฟระย้าที่จัดเป็นรูปบวก โซฟาเปลี่ยนเป็นสีเทาอ่อน ผนังที่ติดโทรทัศน์ไว้เปลี่ยนเป็นภาพภูเขาอันไกลโพ้นและเมฆหมอกสีน้ำเงินเข้ม แม้แต่ที่กั้นระหว่างห้องรับแขกกับห้องอาหารต่างก็เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดยรวมของตัวบ้านดูดีกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว
“ดีมากเลย”
“พี่ชอบใช่ไหม” สวีรั่วชีไม่มีแม้กระทั่งความเขินอายและคาดหวังเหมือนกับสาวน้อย สีหน้านั่นแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘ถ้าไม่ชอบก็ไปนอนข้างถนน’
“เธอชอบก็พอแล้ว” สวีอันหรานเคยชินเสียแล้วกับนิสัยของน้องสาวตน เธอชอบก็พอแล้ว ถึงตนจะไม่ชอบแต่ก็ไม่เป็นอะไร
ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูผนังที่ติดโทรทัศน์ไว้ไม่พูดไม่จา เดิมทีเธออยากจะแปะบทกลอนลงบนผนัง แต่ผู้หญิงที่ความคิดซับซ้อนอย่างสวีรั่วชีจะสลักลวดลายเป็นคำว่า ‘อันหราน’ ในส่วนที่มืดที่สุดของภูเขา นอกจากว่ามุมนั้นสะท้อนแสงพอดีแล้วและต้องมีแสงอาทิตย์จึงจะสามารถมองเห็นว่าส่วนนี้มีลวดลายที่แตกต่างจากตรงอื่น
ต้องรอไปถึงเมื่อไรกันนะ…ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกโศกเศร้ากับโชคชะตาของวอลล์เปเปอร์อันนี้ จนถึงตอนเปลี่ยนใหม่แล้วก็อาจจะยังแสดงคุณค่าในตัวมันออกมาไม่ได้เลย
“เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” สวีอันหรานพูดกับซย่าเสี่ยวมั่ว
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากรบกวนพวกเขา จึงเลือกที่จะขอตัวกลับอย่างชาญฉลาด “ไม่ดีกว่า ฉันกลับบ้านก่อนนะ ดึกแล้ว…” รถเมล์จะหมดแล้ว
สวีรั่วชีฟังแล้วก็พยักหน้า เดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเอง “งั้นเราไปกันเถอะ”
นี่มันเรื่องหักมุมอะไรเนี่ย…สวีอันหรานคิดไม่ถึงว่าเธอก็จะไปด้วยเหมือนกัน
ซย่าเสี่ยวมั่วมองท่าทางน่าสงสารของสวีอันหรานที่โดนทิ้ง ก็ลอบยิ้มอย่างชั่วร้าย
สวีรั่วชีตบบ่าสวีอันหราน “คุณสวีเราไปก่อนนะ บ๊ายบาย”
“อื้ม” นอกจากพยักหน้าแล้วจะทำอะไรได้อีก
เหยียนเค่อเล่นเกมครอสเวิร์ดกับเสิ่นจิ้งเฉินในห้องทำงาน จู่ๆ ทั้งคู่ก็ลดอายุตัวเองให้เหลือสามขวบ
[ใครแต่งกับซย่าเสี่ยวมั่วได้ ฉันจะเอาหุ้นส่วนทั้งหมดของ YAN ให้คนนั้นเลย]
“สวีอันหรานเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ซย่าเสี่ยวมั่วมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมฉันไม่รู้ล่ะ”
เสิ่นจิ้งเฉินส่ายนิ้วไปมา “สวีรั่วชีมีค่าต่างหากล่ะ สวีอันหรานคงจะโดนทิ้งล่ะมั้ง”
“สมน้ำหน้า จะโชว์สวีตอะไรกันนัก”
ทั้งสองคนต่างวางโทรศัพท์ ไม่สนใจชายหนุ่มที่ถูกทิ้งอย่างไร้ความปรานี ก่อนจะหันไปเล่นเกม
ครอสเวิร์ดต่อ
พวกเขากำลังแข่งกันอยู่ว่าใครจะต่อให้ได้คะแนนเยอะกว่ากัน
“พ่อ!” เสิ่นจิ้งเฉินดันเบี้ยที่ตัวเองประกอบไว้ออกไป อ่านคำศัพท์ด้านบนอย่างจริงจัง
“ว่าไงลูก” เหยียนเค่อหัวเราะตอบกลับ ก่อนจะดันเบี้ยในมือของตนไป
“ลูกบ้านแกน่ะสิ!” เสิ่นจิ้งเฉินโยนเบี้ยในมือใส่เขา “เอาเปรียบฉันอยู่เรื่อย”
“ฮ่าๆๆๆ ฉันว่านายทำตัวเป็นเด็กยิ่งกว่าฉันซะอีก”
“ใครทำตัวเป็นเด็กกันแน่ เล่นเกมดีๆ จะได้ไหม!” เสิ่นจิ้งเฉินโดนเขาเล่นงานเสียทุกครั้ง แถมยังเล่นไม่ชนะเขาอีกด้วย จึงแสร้งทำเป็นสั่งบอดี้การ์ดที่อยู่รอบๆ “จับเขาโยนออกไปข้างนอกที”
“ฮ่าๆๆ” ดวงตาของเหยียนเค่อเปี่ยมไปด้วยความขบขัน หยิบเบี้ยงบนโต๊ะมาวางเรียงกันให้เขาเป็นอย่างดี
ตอนที่ 266 เข้าแถว
“ผู้หญิงใจร้ายอย่างเธอทิ้งสวีอันหรานไว้อย่างนั้น” ซย่าเสี่ยวมั่วในใจรู้สึกผิด “ฉันว่าสวีอันหรานต้องเห็นฉันเป็นศัตรูหัวใจเบอร์หนึ่งแล้วแหงๆ”
“ก็เป็นอยู่แล้วนี่” สวีรั่วชีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถ้าเธอกับสวีอันหรานตกน้ำฉันต้องช่วยเธอก่อนแน่นอน”
ซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะพูดแสดงความรู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งใจเสียหน่อยแต่ก็ได้ยินสวีรั่วชีบ่นพึมพำขึ้นมาก่อน “ถ้าเขาโง่จนตกน้ำก็คงไม่ต้องทำอะไรกินแล้ว”
ที่แท้เพราะเธอโง่ก็เลยช่วยสินะ…ซย่าเสี่ยวมั่วไม่คาดหวังให้เขามีจิตสำนึกนักหรอก “แต่ตอนนี้ฉันอยากจะผลักเธอลงน้ำชะมัด”
“รักใคร่กันสิถึงจะเป็นสไตล์ของพวกเรา”
“ทั้งรักทั้งเกลียดต่างหากถึงจะเป็นสไตล์ของพวกเรา” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าพอสวีรั่วชีได้ดั่งที่ใจหวังแล้วอารมณ์ก็ดีขึ้นมาก แต่ในทางกลับกัน เธออารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
หรือว่าต่อไปคนรอบกายจะมีคู่กันหมด มีแค่เธอที่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างนั้นเหรอ ถึงแม้ว่าตัวคนเดียวจะดูไม่แย่ก็เถอะ แต่จะทำลายความรู้สึกอ้างว้างลึกๆ ของคนโสดได้อย่างไร…
“เธอก็อยากแต่งงานเร็วๆ เหมือนกันใช่ไหม เข้าใจความรู้สึกของฉันเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหรือเปล่า”
“ไม่อะ” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากแต่งงานเร็วๆ เลยสักนิด ก็แค่รู้สึกอ้างว้างก็เท่านั้น ช่างน่าเศร้านัก…
“ชุดแต่งงานของฉันก็ฝากด้วยละกันนะ” สวีรั่วชีโอบไหล่เธอด้วยท่าทางของเจ๊ใหญ่แห่งแก๊งนักเลง
ซย่าเสี่ยวมั่วโดนทำร้ายเข้าเต็มๆ “เธอเคยคิดถึงความรู้สึกฉันบ้างไหม ฉันอยากปฏิเสธ”
“ไม่เคยอะ ก็กระตุ้นเธอไง” สวีรั่วชีมองก้อนเมฆด้านบนที่ลอยไปมา เมื่อสายลมพัดกระจายตัวออก จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเศร้าๆ “เธออยู่กับฉันตั้งแต่ใส่แพมเพิร์สจนถึงชุดแต่งงานเลยนะ”
“ทำไม ใช้เสร็จแล้วจะทิ้งหรือไง”
“ทิ้งไม่ลงหรอก” ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรือเขาที่อยู่ในความทรงจำนั้นก็ตาม เธอทิ้งไม่ลงหรอก
หลังจากหลี่หมิงฉวีฟื้นขึ้นมาแล้ว ในที่สุดก็พอจะจำอะไรได้สักที คำแรกที่ถามก็คือ “ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นยังไงบ้าง”
เฉิงนั่วโบกแขนที่ห่อหุ้มด้วยเฝือกตรงหน้าเขาไปมา “สมองนายไม่มีปัญหาอะไรนะ? ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนของสวีรั่วชี”
“แล้วเขาเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ฉันยังพูดไม่ชัดเจนอีกเหรอ” เฉิงนั่วสงสัยว่าสมองเขาจะกระทบกระเทือนจนเอ๋อไปแล้ว “ก็ต้องไม่เป็นอะไรสิ”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับฉู่อวิ๋นเหรอ”
“นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” เฉิงนั่วอยากจะดูว่าสมองเขามีปัญหาจริงๆ หรือเปล่า แต่นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งฟื้น อาการยังไม่ดีเหมือนตน จึงอธิบาย “พวกเขาอยากจะเล่นงานพวกเราเฉิงซีไง ถ้าไม่เล่นกันในงาน พอออกมาก็ต้องเล่นกันอยู่ดี แต่ฉู่อวิ๋นเจ็บน้อยกว่านายหน่อย”
จะพูดให้ถูกก็คือ ในบรรดาพวกเขาไม่มีใครสาหัสเท่าหลี่หมิงฉวีแล้ว
“นายไปทำให้ลูกชายคนรองบ้านเหยียนไม่พอใจหรือเปล่า หรือเพราะว่านายเป็นคนแรก เขาเลยใส่แรงเยอะไปหน่อย” เฉิงนั่วรู้สึกไม่ชอบมาพากล
หลี่หมิงฉวีส่ายหัว จดชื่อเหยียนเค่อไว้ในบัญชีดำ “ไปบอกเหยียนเฟิง ว่าพวกเราบ้านหลี่ยินดีคุยข้อตกลงกับเขา”
เฉิงนั่วพยักหน้า “ฉันว่าแล้ว เหยียนเฟิงมาเยี่ยมนายด้วยนะ”
คนทำการใหญ่สามารถปล่อยวางความขัดแข้งส่วนตัวได้ แต่เสียดายที่ไม่ค่อยมีใครยอมอดทนและรอคอยการโจมตีกลับในภายหลังเท่าไร ทำให้คนทำการใหญ่มีจำนวนไม่มากมายนัก
งานเลี้ยงตอนบ่ายของเหยียนเค่อเป็นการร่วมรับประทานอาหารร่วมกับคู่ปรับเก่าแก่
“อาๆๆ ฉันยอมกินข้าวกับพวกตาแก่พุงโตนั่นดีกว่ากินข้าวกับเฉินเจวี้ยน” เหยียนเค่อบ่นอยู่หลายวัน แต่จำต้องยอมรับความเป็นจริงข้อนี้
เฉินเจวี้ยนที่กำลังดูตารางเวลา เห็นคำว่า ‘เหยียนเค่อ’ ก็โยนแฟ้มเอกสารออกไปดังพลั่ก ใบหน้าครุ่นคิดเรื่องชั่วร้ายแต่ในใจร้องครวญครางเช่นเดียวกับเหยียนเค่อ
เสิ่นจิ้งเฉินไม่รู้เช่นกันว่าทำไมสองคนนี้ไม่ถูกกัน แค่เจอกันหน่อยก็เหมือนจะตายให้ได้
“ฉันไปเป็นเพื่อนไหม”
“อืม ฉันกลัวห้ามตัวเองไม่อยู่เข้าไปต่อยเขาจนตายน่ะสิ กวนประสาทนัก”