ตอนที่ 309 รักกันทำร้ายกัน
สายตาของสวีอันหรานเปี่ยมไปด้วยความไม่เชื่อมั่น
“แค่เรื่องฝีมือทำอาหารของเมียนาย ฉันก็ไม่ชอบเขาแล้วล่ะ” เหยียนเค่อพูดความจริง ฝีมือทำอาหารของสวีรั่วชีเทียบได้กับคุณแม่ของซย่าเสี่ยวมั่วเลย
สวีอันหรานได้ยินคำพูดนั้นแล้วก็สบายใจไม่น้อย “ก็จริง อาหารที่เสี่ยวชีของเราทำ มีแต่ฉันที่กินได้”
“นายพูดผิดไปหรือเปล่า” เหยียนเค่อพูดต่ออย่างเชื่องช้า “ ‘กินลง’ ต่างหาก”
สวีอันหรานถลึงตาใส่เขา แต่ในเมื่อเขาพูดความจริง ตนก็จะไม่โต้แย้งล่ะนะ
สวีรั่วชียกอาหารมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเรียกให้ทั้งคู่มากินข้าว
“ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า”
สวีอันหรานจับบ่าเขาไว้แน่น “ลองชิมฝีมือพี่สะใภ้นายหน่อยสิ”
เหยียนเค่อรู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายเต็มเปี่ยมที่แฝงอยู่ภายใต้รอยยิ้มอันอ่อนโยนนั่น
สวีรั่วชีต้องรักสวีอันหรานแค่ไหนกันนะ ถึงทำอาหารเต็มโต๊ะโดยไม่ได้สนใจฝีมือทำอาหารของตัวเองเลย เหยียนเค่อรู้สึกว่ากระเพาะของเขากำลังหดเกร็ง
“นายชอบกินซี่โครงหมูไม่ใช่เหรอ” สวีอันหรานเลื่อนซุปซี่โครงตุ๋นสีดำปิ๊ดปี๋ไปตรงหน้าเหยียนเค่อ
กินไอ้นี่เข้าไปจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า เหยียนเค่อกำลังจะปริปากพูด สุดท้ายก็กลืนคำพูดนั้นลงไป
ฝืนคีบขึ้นมาหนึ่งชิ้นก็รู้สึกตัวเองอิ่มเสียแล้ว
“นายกินสิ” สวีอันหรานพูดเหมือนกับไม่รู้ความคิดของเขาอย่างไรอย่างนั้น ยังคงเร่งให้เขากินเข้าไปอย่างกระตือรือร้น
เหยียนเค่ออยากจะโยนซี่โครงใส่หน้าเขาจริงๆ ถ้านายอยากกินมากก็กินเองสิวะ จะมายุ่งกับฉันทำไม! เขาเลือกชิ้นเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก รสชาติไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้ ยังพอกินได้อยู่ แต่กระเพาะของเหยียนเค่อถูกซย่าเสี่ยวมั่วเลี้ยงแต่ของดีๆ จนเคยตัวแล้ว กินไม่ลงจริงๆ
จู่ๆ เขาก็รู้สึกโชคดีที่ซย่าเสี่ยวมั่วทำอาหารเป็น แถมฝีมือการทำอาหารยังดีไม่เลวอีกด้วย ถ้าอยู่กับสวีรั่วชีละก็ เขาคงจะหิวไปตั้งนานแล้ว
กินข้าวมื้อนี้ทำเอาเหยียนเค่อเจ็บปวดไปทั้งกายใจ ไม่ต้องให้สวีอันหรานไปส่ง เขาก็ขับรถกลับออกไปเอง
สวีอันหรานโอบเอวสวีรั่วชี ยิ้มแล้วโบกมือให้เหยียนเค่อ
เหยียนเค่อมองคู่รักท่ามกลางท้องฟ้ายามเย็น ก่อนจะโบกมือแบบขอไปทีแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ในห้วงเวลาอันอ่อนโยนนั้น พวกเขาตามหาคนที่เป็นเจ้าของของกันและกันเจอ เพียงแค่การเอ่ยคำว่า ‘ในที่สุด’ ออกมาเบาๆ ในตอนท้ายเท่านั้น ในที่สุดก็หาเธอจนเจอ ในที่สุดก็ได้อยู่เคียงข้างกัน ในที่สุดก็ไม่ต้องเดียวดายอีกต่อไปแล้ว
แต่คนที่เป็นคำว่า ‘ในที่สุด’ ของเขาจะรอคอยวันที่จะได้เจอกันเหมือนเขาบ้างไหมนะ
เหยียนเค่อมองดูท้องฟ้าสีครึ้มนอกหน้าต่าง มีดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าอันห่างไกล
เพราะซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกผิดต่อสวีรั่วชี หลังเลิกงานแล้วจึงซื้อดอกไม้ไปส่งให้เธอช่อหนึ่ง แน่นอนว่า ซย่าเสี่ยวมั่วที่โดนเหยียนเค่อพาเสียคนนั้นเขียนลงชื่อท้ายกระดาษว่า ‘จาก หลี่หมิงฉวีที่รักเธอ’
สวีอันหรานได้ยินเสียงออดจึงรีบไปเปิดประตู ก็เห็นดอกกุหลาบช่อใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
พนักงานส่งของพยายามยื่นหัวออกมาแล้วเอาใบเสร็จให้เขาเซ็นรับ “ไม่ทราบว่าใช่บ้านคุณสวีรั่วชีหรือเปล่าครับ ช่วยเซ็นรับหน่อยนะครับ”
สวีอันหรานขมวดคิ้ว เขียนชื่อสวีรั่วชีลงบนใบรับของก่อนจะรับช่อดอกไม้นั้นมา
“พี่…” สวีรั่วชีนึกว่าเป็นดอกไม้ที่สวีอันหรานซื้อมา แต่มองสีหน้าของสวีอันหรานแล้วไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น “นี่มัน…”
สวีอันหรานมองเธอปราดหนึ่งแล้วยื่นดอกไม้ไปให้ “ของเธอน่ะ ไม่รู้ว่าใครส่งมา”
สวีรั่วชีเห็นสายตาที่เขาจ้องกระดาษการ์ดใบเล็กนั่นแล้วก็อยากจะหัวเราะ จึงหยิบออกมาแล้วเปิดดูต่อหน้าเขา “นี่” กระดาษการ์ดใบเล็กปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“หลี่หมิงฉวี?” สวีอันหรานกับสวีรั่วชีมองหน้ากัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียง “เขาไม่ได้บ้าใช่ไหม”
สวีรั่วชีพลิกดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไร “หรือว่าส่งผิดหรือเปล่า”
“ส่งมาให้เธอนั่นแหละ” สวีอันหรานปฏิเสธการคาดเดาของเธอ พนักงานก็บอกแล้วว่าส่งมาให้คนชื่อสวีรั่วชี ไม่มีทางผิดพลาดแบบนี้แน่นอน
ตอนที่ 310 ความคิดถึงเพียงเล็กน้อย
ซย่าเสี่ยวมั่วเชื่อในความเฉลียวฉลาดของตนเอง นึกว่าสวีรั่วชีไม่มีทางเดาได้ว่าเป็นฝีมือของตน จึงอารมณ์ดีตลอดทั้งคืน
สวีรั่วชีกับสวีอันหรานคาดเดากันตลอดทั้งคืน สุดท้ายก็พุ่งเป้าไปที่ซย่าเสี่ยวมั่ว
“เขานั่นแหละ” สวีรั่วชียืนยัน “มีแค่เขาที่รู้ที่อยู่บ้าน ต่อให้ลายมือไม่ใช่ของเขา แต่ต้องเป็นเขาที่ให้คนเขียนแทนแน่ๆ”
สวีอันหรานลองคิดดูอีกรอบ นอกจากเหยียนเค่อแล้วก็มีเพียงซย่าเสี่ยวมั่วคนเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี “ทำไมเธอถึงตัดหลี่หมิงฉวีออกไปล่ะ”
“เชื่อฉันสิ! ฉันกับหลี่หมิงฉวีไม่ได้รู้จักมักจี่กันสักหน่อยนะ!” สวีรั่วชีเขย่าแขนสวีอันหราน งัดทุกทักษะออกมาใช้
แต่สวีอันหรานก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ดี “เขาอาจจะตามจีบซย่าเสี่ยวมั่วไม่ติด จู่ๆ ก็คิดได้ว่า เธอเป็นเพื่อนสนิทที่น่าอิจฉา แถมยังสวยกว่าซย่าเสี่ยวมั่ว เขามาจีบเธอก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”
สวีรั่วชีไม่รู้จะพูดอย่างไร ยอมแพ้ให้กับจินตนาการอันล้ำเลิศของเขา “เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน ถ้าหลี่หมิงฉวีฉลาดขนาดนั้น เขาจะชอบซย่าเสี่ยวมั่วเหรอ”
คราวนี้สวีอันหรานจึงจะยอมเชื่อ “แล้วเธอจะทำยังไงต่อไป”
“เหอะ” สวีรั่วชีสะบัดการ์ดใบนั้น “ก็อุตส่าห์คิดได้นะ ถ้าฉันไม่เอาคืนบ้างละก็ ฉันไม่ขอใช้แซ่สวี!”
เมื่อเหยียนเค่อกลับถึงบ้านก็เห็นสามคนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาทักทายพวกเขาทีละคนก่อนจะขึ้นบ้านไป
คุณแม่เหยียนเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีกำลังจะไถ่ถามอย่างห่วงใย เหยียนเค่อก็ปลีกตัวเดินออกไปเสียก่อน
“ตาลูกคนนี้ กลับมาก็ไม่มากินข้าว” คุณแม่เหยียนบ่นอุบ
“เขาไม่กินก็ช่างเขา ไม่แน่ว่าอาจจะกินมาก่อนแล้วก็ได้ ไม่ต้องไปสนใจเขา” ตอนนี้คุณพ่อเหยียนค่อยๆ เริ่มปลดตัวเองออกจากตำแหน่งบริหารสูงสุดแล้ว เขาไม่ค่อยรู้เรื่องของเหยียนเค่อเช่นกัน เหยียนเค่อเองก็ไม่เคยเปิดให้พวกเขาทำความเข้าใจเลยสักครั้ง ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกดูห่างเหินกันมาก
“เขาคงไม่ใช่ลูกคุณสินะ!” คุณแม่เหยียนวางตะเกียบแล้วยกน้ำขึ้นไปให้เหยียนเค่อ
คุณพ่อเหยียนเห็นว่าเหยียนเฟิงก็วางตะเกียบ จึงมองเขาปราดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “กินต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกเขา”
เหยียนเค่อรู้สึกไม่สบายตัวนิดหน่อย จึงเปลี่ยนชุดแล้วนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง
คุณแม่เหยียนเคาะประตูก็ไม่มีคนตอบ จึงไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป
“แม่” เหยียนเค่อได้ยินเสียงเปิดประตู ก็ยื่นหัวออกมามองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“ลูกไม่สบายหรือเปล่า”
เหยียนเค่อส่ายหัว “ผมง่วงน่ะครับ ไม่เป็นไร” ตอนนี้เขารู้สึกแขนขาอ่อนแรง อยากจะนอน
“งั้นก็พักผ่อนนะลูก” คุณแม่เหยียนนอกจากเห็นว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยดีแล้ว ก็ไม่อยากรบกวนเขาต่ออีก “มีอะไรก็เรียกแม่ได้นะ”
“ครับ” ผ้าห่มคลุมล้อมรอบใบหน้าของเหยียนเค่อ โผล่ออกมาเพียงใบหน้าขาวหมดจดที่กำลังหลับตาพริ้ม พยักหน้าอย่างง่วงงุน
คุณแม่เหยียนเดินกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ลืมปิดไฟให้เหยียนเค่อด้วย
เหยียนเค่อลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืดในห้อง ยื่นมือออกไปก็เจอแก้วน้ำที่คุณแม่เหยียนหยิบเข้ามาให้ จึงหยิบยาออกมาจากลิ้นชักบนหัวเตียง พลิกดูท่ามกลางแสงไฟโทรศัพท์ก็เจอยาสองสามตัวที่ซย่าเสี่ยวมั่วเคยบอก แล้วดื่มน้ำและกลืนมันลงไป
ตอนแรกเขาว่าจะกลืนลงไปทั้งอย่างนั้นเลย แต่คุณแม่เอาน้ำเข้ามาให้พอดี ไม่อย่างนั้นยาเม็ดใหญ่ขนาดนี้เขาต้องติดคอตายแน่นอน
เหยียนเค่ออยู่เมืองนอกมาหลายปีก็ชินเสียแล้วกับการที่ต้องอยู่คนเดียวในตอนที่ป่วย น่าจะตั้งแต่ตอนแพ้ครั้งนั้นกระมัง เขาถึงจะรู้สึกว่า บางทีการป่วยก็ไม่ต้องอยู่คนเดียว และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเจ็บปวดอะไรเลย
ตอนที่คุณป่วย จะมีใครคนหนึ่งที่เป็นห่วงสุขภาพมากกว่าตัวคุณเอง สำหรับคนวัยหนุ่มสาวที่ไม่มีพ่อแม่คอยดูแลอย่างเหยียนเค่อแล้ว เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากทีเดียว
“ซย่าเสี่ยวมั่ว ฉันคิดถึงเธอจัง” คิดถึงเธอ คิดถึงช่วงเวลาที่ได้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
ในค่ำคืนอันมืดมิดไร้แสงไฟ เสียงพึมพำเล็ดลอดออกมาจากปากเขาโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นเสียงทอดถอนใจเบาๆ ที่ลอยละล่องอยู่ในห้วงเวลาอันล้ำลึกที่ไม่มีใครล่วงรู้