ตอนที่ 491 ไม่คาดว่าจะเอ่ย
ทั้งสามคนวางแผนกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในครึ่งปีหน้า คิดวางแผนไปมาก็เริ่มรู้สึกเยอะขึ้นเรื่อยๆ
เหยียนเค่อใช้เวลาเกือบทั้งคืนในที่สุดก็เขียนแผนงานออกมาได้สำเร็จ ซึ่งตรงกับเวลาตีสี่ครึ่ง เหยียนเค่อกับสวีอันหรานจึงถือโอกาสไปส่งเสิ่นจิ้งเฉินที่สนามบิน
“ช่วงตรุษจีนฉันคงกลับมาได้แค่สี่วัน” ตารางงานล่าสุดที่เสิ่นจิ้นเฉินได้รับมาดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แค่คิดว่าตนจะต้องฉลองตรุษจีนอย่างโดดเดี่ยวที่ต่างบ้านต่างเมืองก็รู้สึกสงสารตัวเอง
เหยียนเค่อก็ไม่ได้สนใจว่าเสิ่นจิ้งเฉินจะกลับหรือไม่กลับไป “ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงตรุษจีน นายบอกตอนนี้ก็ไม่มีผลอะไร”
เสิ่นจิ้งเฉินปวดใจ “ฉันบอกพวกนายไว้ก่อนไง พวกนายจะได้ไม่ต้องคิดถึงฉัน”
“ไม่ดีกว่า คิดถึงนายก็เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายช้าๆ” เหยียนเค่อเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า ทำลายอารมณ์กระปรี้กระเปร่าของเสิ่นจิ้งเฉินอย่างหมดสิ้น
“รีบไปได้แล้ว” เหยียนเค่อมองไปที่ตารางไฟล์ทบิน ถ้ายังไม่รีบไปคงจะโดนสนามบินประกาศตามชื่อแน่ๆ
เสิ่นจิ้งเฉินทำท่าอิดๆ ออดๆ หันไปกอดสวีอันหราน พร้อมกับเอ่ยอย่างเจ็บปวด “นายจะกลายเป็นพ่อคนแล้ว แต่ฉันกลับไปร่วมงานแต่งนายไม่ได้ อย่าลืมคิดถึงฉันนะ”
เหยียนเค่อยืนอยู่ข้างๆ ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ พอเสิ่นจิ้งเฉินจะเดินเข้ามากอดก็โดนชายหนุ่มดันออกด้วยมือทั้งสองข้างอย่างไร้เยื่อใย
“ไปได้แล้ว มีเรื่องอะไรกลับมาคราวหน้าค่อยคุยกัน”
ไม่ว่าเสิ่นจิ้งเฉินจะลองพยายามกอดเหยียนเค่อสักกี่ครั้งก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง สุดท้ายเวลาไม่พอจริงๆ ชายหนุ่มจึงได้แต่เดินทำหน้าหน้าหงอยๆ ลากกระเป๋าเข้าจุดเช็คอินไป
รอจนมองไม่เห็นเงาของเสิ่นจิ้งเฉิน สวีอันหรานจึงเดินไปดึงเหยียนเค่อ “กลับเถอะ”
ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ถ้ากลับไปกับตนอีกก็ยุ่งยาก เหยียนเค่อไม่แคร์หากสวีอันหรานจะเลื่อนเวลากลับเร็วกว่าเดิมสักหน่อย “นายไม่กลับไปด้วยหรือไง”
ซื้อตั๋วตอนนี้ก็คงช้าไป เพราะไม่มีตั๋วเหลือแล้ว แถมกลับตอนนี้ก็คงฉุกละหุก สวีอันหรานเพิ่งให้คนจัดการหาตั๋วให้ได้ แต่เหยียนเค่อกลับเรียกเฮลิคอปเตอร์มาให้เขาแล้ว จุดประสงค์ของเหยียนเค่อชัดเจนอย่างมาก ยิ่งคนกลับไปมากเท่าไหร่เขาก็จะวุ่นวายน้อยลง ฉะนั้นชายหนุ่มจึงอยากจะไล่ให้เพื่อนกลับไปไวๆ
สวีอันหรานรับรู้ความคิดของเพื่อน ก็ได้แต่จนใจ “ฉันก็อยากกลับ นายไม่ต้องรีบไล่ขนาดนั้นหรอก”
แต่ชายหนุ่มยังคิดว่าควรเคลียร์เรื่องทางนี้กับเหยียนเค่อให้เสร็จเสียก่อน ยังไงก็ไม่ต้องรีบอยู่แล้ว อยากจะบินตอนไหนก็ได้
เมื่อครู่เสิ่นจิ้งเฉินพูดเรื่องงานแต่ง ตนเองก็กำลังคิดว่าควรจะเร่งจัดหรือควรจะเลื่อนออกไปก่อนดี คิดไปซะให้เสร็จเรียบร้อย กลับไปจะได้ไปจัดการต่อให้ชัดเจน
ความจริงการจัดการเรื่องชีวิตส่วนตัวนั้นยากกว่าการจัดการงานที่บริษัทมากนัก ตอนนี้เขาก็ยังคงคิดอะไรไม่ออก
เหยียนเค่อรู้ว่าสวีอันหรานมีเรื่องที่จะต้องจัดการเยอะแล้วยังต้องคอยดูแลสวีรั่วชีอีก ถ้าเกิดกลับไปแล้วเพื่อนตนตัดสินใจประกาศแถลงข่าวเรื่องนี้ คงจะเป็นเรื่องใหญ่มาก แค่นี้ก็คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าจะมีปัญหาอะไรบ้างตามมาบ้างในอนาคต ถ้าลองเปลี่ยนมาเป็นตนเองบ้าง ก็คงจะปวดหัวน่าดู
“ก็ได้ ก็ได้ ฉันกลับแล้ว” สวีอันหรานเดินนำหน้า พร้อมเอ่ยอย่างซึมๆ “ถ้าจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ ฉันจะกลับทันที” ความลับใดๆ ล้วนมีช่องโหว่ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มันมีช่องโหว่ตรงไหนอีก แต่ที่แน่ๆ เขาต้องอยู่เคียงข้างคอยปกป้องสวีรั่วชี
“เฉิงซิน” เหยียนเค่อยอมเอ่ยเตือนขึ้นประโยคหนึ่ง ด้วยนิสัยเข้มแข็งไม่ยอมใครอย่างสวีรั่วชีคงจะไม่มีทางเอ่ยปากบอกกับสวีอันหรานเป็นแน่ แถมสวีอันหรานยังเป็นพวกตอบสนองช้า เขาจึงต้องพูดมากสักหน่อยไม่อย่างนั้นหากสองคนนี้ตกอยู่ในกำมือของเฉิงซินก็คงไม่รอดแน่
“อือ รู้แล้ว” สวีอันหรานยังคงไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงอะไร แค่คิดว่าคงเป็นเพราะเหยียนเค่ออยากแก้แค้นให้ซย่าเสี่ยวมั่ว
“รู้แล้วน่าว่าซย่าเสี่ยวมั่วของนายใครก็ห้ามแตะ เดี๋ยวฉันกลับไปคุยกับเฉิงซินเอง”
“มันไม่ได้ง่ายอย่างที่นายคิดหรอกนะ” เหยียนเค่อไม่อยากพูดถึงเรื่องอิจฉาริษยาของพวกผู้หญิง แต่เพื่อความปลอดภัยจึงไม่คิดจะช่วยสวีรั่วชีปิดบังต่อไป “นายกลับไปถามสวีรั่วชีให้ละเอียดเองจะดีกว่า ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” จากนั้นจะจัดการยังไงก็เป็นเรื่องของสวีอันหราน
ตอนที่ 492 ไม่มีทางเลือก
คนของเฉิงซีที่ประสบกับความเสียหายตอนนี้เผชิญกับความลำบาก ต่างหยุดกันไปไม่น้อย พวกบริษัทที่เพิ่งเข้ามาร่วมก็ต่างหยุดลงมือไปตามๆ กัน แต่นั่นก็ทำให้ตระกูลหยินที่ร่วมงานกับตะกูลสวีได้เปรียบ
อำนาจในมือของเหยียนเฟิงสั่นคลอน แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่สามารถทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้ เรื่องที่จะขัดขวาง YAN ก็ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ ทุกครั้งก็มักจะได้รับแต่ข่าวไม่ดี ภาพลักษณ์ก็เสียหาย จึงทำได้แค่เรียกทุกคนมาวางแผนรับมือ
เฉิงนั่วเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหยียนเค่อถึงเลือกลงมือกับเฉิงซี นี่ถือเป็นโรงงานแรกที่เหยียนเค่อใช้โจมตีพวกเขา ขอแค่เกี่ยวข้องกับ YAN พวกโรงงานของผู้บริหารต่างๆ ล้วนปฏิเสธพวกเขาหมด ตอนนี้จึงไม่กล้าลงมือทำอะไรมากนัก ทำได้แค่หมกตัวอยู่ในโรงงาน กลัวว่าถ้าทำอะไรเหยียนเค่อจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตน
หลี่หมิงเจ๋อนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ไม่ส่งเสียงพูดสักคำ
เหยียนเฟิงสรุปสถานการณ์ตอนนี้ให้ฟังอย่างคร่าวๆ “ลูกน้องที่ฉันสั่งให้ไปสอดแนมที่ฮุยเถิงถูกผู้จัดการที่เพิ่งขึ้นมาใหม่จัดการหมดแล้ว แถมทางเราตอนนี้ก็ไม่มีข้อมูลของผู้จัดการคนนี้เลย ขนาดทางนั้นลงมือไปตอนไหนเรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”
“หรือจะเป็นเหยียนเค่อลงมือเอง แล้วแกล้งจัดฉากหลอกพวกเรา เพราะช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้ข่าวอะไรของมัน” หลี่หมิงฉวีพูดแทรกขึ้น
หลี่หมิงเจ๋อคิดว่าตนเองมองเหยียนเค่อไม่ผิด ส่ายหน้าไปมา “ไม่ใช่นิสัยของเหยียนเค่อ ถ้าหากเหยียนเค่อลงมือเองจริงๆ ล่ะก็ ยังไงก็ต้องมีข่าวรั่วไหลออกมาบ้าง”
“อืม” เฉิงนั่วเห็นด้วย นิสัยอารมณ์โมโหร้ายของเหยียนเค่อนั้น หากเป็นคนลงมือเองจริงๆ คงจะต้องให้พวกเรารับรู้แล้วโกรธจนเป็นบ้าแล้วแน่ๆ
เหยียนเฟิงคิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ ประเด็นสำคัญคือเหยียนเค่อรู้ได้อย่างไรว่าหนอนบ่อนไส้นั้นมีใครบ้าง
“ฝั่งเหยียนเค่อต้องมีคนของฉันอยู่” เหยียนเฟิงคาดเดา เขาไม่รู้ว่าตนทำพลาดตรงไหน เขาเคยลองโยงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหยียนเค่อกับเบลล์ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงสองคนนั้นก็ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันได้สักนิด ที่สำคัญก็คือเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเบลล์จะไปยุ่งเกี่ยวกับเหยียนเค่อ ตอนนี้ทุกอย่างดูมืดแปดด้านไปหมด
เฉิงนั่วยังจับประเด็นไม่ได้ เริ่มวิเคราะห์จากสิ่งที่ทุกคนกล่าวมา “เฉิงซินกับสวีรั่วชีมีเรื่องกัน ถ้าเป็นสวีอันหรานเข้ามาจัดการก็คงไม่แปลก แต่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหยียนเค่อเลย มันจะเข้ามายุ่งทำไม”
พวกเขาลองคิดหาเหตุผลแต่ก็ยังคงคิดไม่ออก จนหลี่หมิงฉวีฉุกคิดขึ้นมาได้ “วันนั้น ซย่าเสี่ยวมั่วอยู่ด้วยหรือเปล่า”
“สวีรั่วชีพาเพื่อนไปด้วย” ถึงแม้วันนั้นเฉิงนั่วไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย แต่รายชื่อคนที่ไปมีเขียนระบุไว้ชัดเจน ว่าแล้วเขาก็หยิบใบรายชื่อออกมา จากนั้นมองไปทางหลี่หมิงฉวีอยากค่อนข้างแปลกใจ “เป็นซย่าเสี่ยวมั่วจริงๆ” หลี่หมิงฉวีไม่จำเป็นต้องดูใบรายชื่อก็มั่นใจว่าต้องเป็นซย่าเสี่ยวมั่วแน่ๆ
“อย่างนั้นก็ใช่แล้ว” แม้หลี่หมิงฉวีจะไม่อยากยอมรับ แต่ว่าถ้าเรื่องเกี่ยวข้องกับซย่าเสี่ยวมั่วเหยียนเค่อพร้อมทำทุกวิถีทางจริงๆ
ตอนนี้ถือว่าหาสาเหตุเจอแล้วว่าเพราะอะไรเหยียนเค่อถึงเข้ามายุ่ง ถ้าอย่างนั้นเรื่องคนส่งไปสอดแนมที่ฮุยเถิงล่ะเกิดอะไรขึ้น เหยียนเฟิงยังคงรู้สึกหวาดระแวงอยู่ อีกทั้งวิธีการลงมือของเหยียนเค่อก็ยิ่งทำให้เขาระแวงขึ้นไปอีก
“สวีอันหราน” จู่ๆ หลี่หมิงเจ๋อก็เอ่ยขึ้น พวกที่เหลือที่กำลังพูดคุยกันอยู่หันมองทางชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ เขาเอ่ยชื่อสวีอันหรานขึ้นมาทำไม
หลี่หมิงเจ๋อเคยปะมือกับสวีอันหรานมาก่อนหน้านี้ ถึงแม้สวีอันหรานจะดูเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน แต่เขาก็มีเส้นสายหาข้อมูลให้มากมาย การที่จะช่วยเหยียนเค่อสืบหาหนอนบ่อนไส้นั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาอย่างแน่นอน
ถ้าไม่ใช่เหยียนเค่อก็ต้องเป็นสวีอันหราน เหยียนเฟิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่ ลำพังแค่ทั้งคู่ก็สามารถทำลายซีเฉิงกับตระกูลเหยียนได้แล้ว นี่ยังไม่ได้นับรวมพวกฉินซื่อหลานนะ แบบนี้ทางฝั่งเขาไม่มีทางชนะแน่ๆ
ทุกคนต่างกำลังใช้ความคิด สิ่งที่เหยียนเฟิงคิดก็ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนตระหนักเหมือนๆ กัน ถ้าเหยียนเค่อได้ขึ้นเป็นประมุขของตระกูล ตระกูลเหยียนต้องมีอำนาจอยู่ตระกูลเดียวแน่ๆ ตระกูลอื่นๆ อย่าหวังจะได้เทียบชั้นเลย ดังนั้นทุกคนเลยคิดว่าควรจะรวมตัวกัน แล้วสนับสนุนเหยียนเฟิงจะดีกว่า