ตอนที่ 565 ว่าด้วยเรื่องตรรกะ
พอพูดแบบนี้แล้ว แม่เหยียนถึงได้เข้าใจว่าลูกชายคิดอะไรอยู่ ถึงแม้เธอจะเอ่ยคัดค้านออกมาไม่ได้ แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่เห็นด้วยอยู่ดี “รู้อย่างนี้ แม่คงไม่ให้ลูกไม่เรียนเมืองนอกนานขนาดนี้หรอก”
“พวกท่านเพิ่งรู้หรือไง แต่ตอนนี้ผมก็เป็นแบบนี้แล้ว” ทุกครั้งที่เหยียนเค่อได้ยินแม่ตนพูดเรื่องนี้ก็มักจะเอ่ยยั่วโมโหทุกครั้งไป แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
“ผมกลับบริษัทแล้วนะ” เขาอยู่บ้านมาทั้งช่วงเช้าแล้วควรจะกลับเสียที เหยียนเค่อยื่นมือออกไปเป็นสัญญาณให้แม่คืนหมามาให้ตน
แม่เหยียนเห็นว่าลูกจะไปแล้วก็ไม่ได้คิดจะรั้งไว้ แต่ก็ไม่อยากส่งเจ้าโกลเด้นคืนให้ “ลูกต้องพามันกลับมาบ้านบ่อยๆนะ”
“อีกสองเดือนผมจะมา” เหยียนเค่อเอ่ยบอกระยะเวลาที่แน่นอน แต่เขาคงกลับมาแค่คนเดียว
แม่เหยียนก็ได้หวังว่าลูกชายจะกลับมาบ้านทุกวัน ยื่นมือไปลูบหัวเจ้าโกลเด้น “อือ ลูกรีบกลับไปทำงานเถอะ” แม่เหยียนก็ไม่อยากให้ลูกกับสามีทะเลาะกัน เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
พอเหยียนเค่อกลับไป แม่เหยียนก็ขึ้นไปดูพ่อเหยียน
พ่อเหยียนกำลังจับพู่กันเขียนหนังสืออยู่ บนกระดาษมีตัวอักษรเขียนอยู่สี่ตัว ‘เหยียนเค่อเชื่อฟัง’
แม่เหยียนมองดูแล้วอดไม่ได้ที่จะพูด “หึ ถ้าลูกชายจะเชื่อฟังคุณ คุณคงไม่แล่นมาเขียนอะไรแบบนี้หรอก”
พ่อเหยียนเก็บกระดาษลง แล้วเอ่ยถาม “ทำไมคุณไม่อยู่กับลูกด้านล่าง”
“กลับไปแล้ว”
“ไปแล้ว?” พ่อเหยียนโมโหจนกระแทกพู่กันลงบนที่วาง แล้วเดินออกไปดู ที่ห้องนั่งเล่นไม่มีใครอยู่แล้วจริงๆ
แม่เหยียนที่เดินตามมาด้านหลังเอ่ยประชด “ไม่ไปจะรอให้คุณลงมาสั่งสอนหรือไง”
“แล้วหมาของมันล่ะยังไง ไม่ใช่ที่อย่างคุณบอกเหรอ”
“ถ้าเป็นของฉันก็ดีสิ ลูกช่วยเลี้ยงให้เพื่อน” แม่เหยียนยังอาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้เจ้าโกลเด้นกลับไป
พ่อเหยียนโกรธจนต้องหมุนตัวกลับมา “คุณดูมันว่าไปคบเพื่อนแบบไหน เอาเวลาไปเล่นแต่กับแหมาแมว”
แม่เหยียนขมวดคิ้ว เดินลงไปให้อาหารปลา ไม่อยากอยู่ฟังสามีพูดด่าลูกชายของตน
เหยียนเค่อจูงเจ้าเจ้าโกลเด้นไปที่โรงรถเอ่ยก็เอ่ยพูดอยู่คนเดียว “ไม่น่าเชื่อว่าแกจะทำให้แม่ฉันรักได้มากว่าฉันเสียอีก”
เหยียนเค่อเปิดประตูหลัง เจ้าโกลเด้นก็กระโดดขึ้นไปอย่างรู้งาน แล้วนอนหมอบอยู่บนเบาะ
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอะไร ไปบริษัทก็แค่ไปตรวจดูความเรียบร้อยเฉยๆ แต่เขาจูงหมาเข้าไปด้วยเลยดึงดูดสายตาคนที่พบเห็น
พอเหยียนเค่อเดินออกจากลิฟต์ก็เจอกับฉวีหน่ายที่กำลังจะลงไปทำธุระด้านล่างพอดี
หลังจากคราวที่แล้วที่ฉวีหน่ายสารภาพรักกับเหยียนเค่อไปก็ไม่ได้เจอกับชายหนุ่มอีกเลย ผ่าไปเดินกว่าแล้วมาเจอกันแบบนี้ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่หล่อนก็ยังแก้สถานการณ์ได้ที
“สวัสดีค่ะประธานเหยียน”
เหยียนเค่อเดินจูงหมาออกมาจากลิฟต์ ไม่ได้มีท่าทีอยากจะเอ่ยทักตอบ
“ตอนนี้คุณเลี้ยงหมาเหรอคะ”
เหยียนเค่อได้ยินหล่อนเอ่ยถามตน เลยหันกลับไปมอง “หมาของซย่าเสี่ยวมั่ว” จากนั้นก็เอ่ยเตือนหล่อนว่าถ้าไม่เข้าไปลิฟต์จะปิดแล้ว
ฉวีหน่ายเอ่ยตามหลังเหยียนเค่อ “แล้วพบกันค่ะท่านประธาน”
“อืม” เหยียนเค่อเอ่ยตอบแต่ไม่ได้หันหลังกลับมา เดินจูงหมาเข้าห้องทำงานไป
รู้สึกว่าเจ้าโกลเด้นจะชอบของที่มีขนนิ่มๆ อยู่บ้านก็ชอบกลิ้งตัวอยู่บนพรม พอเห็นลูกกลมๆมีขนก็ชอบกัดเล่น มันจึงกระโดขึ้นไปบนโซฟาตะกุยหมอนเล่น
“มานี่” เหยียนเค่อเอ่ยเสียงต่ำ เขาไม่ได้มีความอดทนมานั่งเก็บของที่มันทำรก
เจ้าโกลเด้นได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของชายหนุ่ม ก็รีบวิ่งจากโซฟามาอยู่ข้างขาเขา
เหยียนเค่อก้มลงลูบคางเจ้าโกลเด้น “ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วเชื่อฟังได้สักครึ่งหนึ่งของแกฉันก็ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้หรอก” แต่พอนึกได้ก็เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “แต่ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วเป็นหมาก็คงไม่ชอบฉันหรอก”
ตอนที่ 566 ที่เที่ยวสุดท้าย
คนที่ถูกเหยียนเค่อนำไปเปรียบเทียบกับหมาจามไม่หยุด สองมือกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น
ซย่าเสี่ยวมั่วพักอยู่ที่บ้านพักชนบทปลายเขา เพดานต่ำสีขาว ยังคงไว้ซึ่งความโบราณ มองชื่นชมบรรยากาศสวยงาม อากาศชื้นของที่นี่ก็น่าหลงใหลจริงๆ
ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพระอาทิตย์ ที่นี่ก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาหลายชั้นอยู่ตลอดเวลา เวลายืนอยู่บนยอดเขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นเทพเซียนจริงๆ
เพื่อนร่วมทางที่นั่งรถคันเดียวกับเธอเห็นเธอทำท่าเหมือนจะเป็นหวัดเลยยื่นซองผงขิงมาให้ “เอาไปต้มน้ำกิน จะช่วยทำให้อุ่นขึ้น”
“ขอบคุณ” จมูกซย่าเสี่ยวมั่วแดงไปหมดแล้ว แต่ก็ยังเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
เพื่อนร่วมเดินทางที่เที่ยวด้วยกันที่นี่มาหลายวันเห็นว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ซย่าเสี่ยวมั่วเอ่ยพูดกับตน ตนเองก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงเอ่ยชวนหญิงสาวคุยต่อ
ความจริงซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะคงความเย็นชาไว้ ไม่อยากพูดอะไรมาก แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มดูกระตือรือร้นเสียขนาดนี้เลยไม่กล้าเมินเฉยต่อ
“คุณมาเที่ยวที่นี่กี่วันแล้วครับ”
“สองอาทิตย์แล้ว” ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มถามขึ้น เธอก็คงลืมไปจริงๆว่าตนอยู่ที่นี่ไปนานเท่าไหร่แล้ว เห็นแบบนี้อาทิตย์หน้าเธอก็ควรจะกลับเมือง N ได้แล้ว
“นานอยู่นะครับ” ชายหนุ่มคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงตัวคนเดียวจะอยู่เที่ยวในสถานที่แปลกถิ่นแบบนี้ได้นานขนาดนี้
ซย่าเสี่ยวมั่วถูมือไปมาเพื่อคลายหนาว “ก่อนหน้านี้ฉันไปเที่ยวที่กุ้ยโจวกับบาหลีมาก่อน จากนั้นถึงได้มาที่ยูนนานนี่”
“คุณคงไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวมืออาชีพหรอกใช่ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามยิ้มๆ
ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหน้า “คนเราก็ต้องมีเรื่องทุกข์ใจ ออกมาเที่ยวให้มันผ่อนคลายก็เท่านั้น”
“คุณเป็นผู้หญิงที่เปิดเผยดีนะครับ”
ซย่าเสี่ยวมั่วที่เพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ที่ยูนนานมานานแล้วคืนนั้นเลยตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวที่อื่นต่อ
อันหรานที่พยายามจนติดต่อซย่าเสี่ยวมั่วได้ก็ดีใจมาก
“เธอรู้ไหมว่าไม่ได้โทรหาฉันนานเท่าไหร่แล้ว”
อันหรานเป็นคนเดียวที่พยายามโทรหาซย่าเสี่ยวมั่วทุกวันและหล่อนก็ไม่ได้โทรกลับหาเธอเลย ซย่าเสี่ยวมั่วอึ้งไปกับความพยายามของอันหราน
“เธอคิดถึงฉันขนาดนั้นเลยหรือไง ถึงได้โทรหาทุกวันเนี่ย”
อันหรานถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “ทำไมเธอยังไม่กลับมาอีก ลืมไปแล้วหรือไงว่าเรามีนัดไปเที่ยวกันช่วงคริสมาสต์”
“เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกผิด ฉันเลยมาเที่ยวคนเดียวนี่ไง”
“Excuse me?” อันหรานเริ่มงง “หมายความว่าอย่างไร”
“เธอต้องอยู่ฉลองกับบกของเธอไงล่ะ ฉันไม่อยากโดนทิ้งให้อยู่คนเดียว” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้คาดหวังงว่าอันหรานทิ้งนัดกับแฟนเพื่อไปเที่ยวหนาวๆกับตน
“เฮ้อ เอาถอะ” อันหรานเอามือก่ายหน้าผากอย่างกลุ้มๆ “อย่างนั้นก็บอกมาว่าจะกลับตอนไหน ให้ฉันไปรับที่สนามบินไหม”
“มารับที่สถานีรถไฟแล้วกัน ฉันไม่นั่งเครื่องบิน อีกประมาณห้าหกวันก็คงกลับไปแล้ว”
อันหรานได้ยินก็เริ่มรู้สึกดี คลายคิ้วที่ขมวด “อย่างนั้นฉันไปรับเอง ใกล้ถึงแล้วโทรหาฉันนะ”
“กลัวว่าคนที่อยู่แต่ในอ้อมกอดอุ่นๆอย่างเธอจะไม่อยากทนหนาวสั่นยืนรอรับฉันน่ะสิ”
เธอไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเสียหน่อย ยืนหนาวสั่นเหรอไม่มีทางเสียหรอก
“แล้วเธอจะไปเที่ยวไหนต่อ”
“ซีอานกับลั่วหยาง” เท่าที่ซย่าเสี่ยวมั่วนึกได้ตอนนี้ก็มีแต่สองสถานที่ที่อยู่ทางเหนือนี้ที่น่าสนใจ แต่ก็กะว่าคงไปแค่ห้าวันแล้วก็กลับเมือง N เลย
อันหรานได้ยินว่าหล่อนจะไปเที่ยวเหนือต่ออย่างไม่ห่วงสุขภาพตัวเองเลยก็เอ่ยกำชับ “ระวังอากาศหนาวด้วย อย่าให้เป็นไข้หวัดนะ”
ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง จึงแกล้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “แน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรฉันก็จะกลับไปวาดภาพฉลองปีใหม่” ซย่าเสี่ยวมั่วยังมีเวลาประมาณสองชั่วโมงถึงจะถึงสถานีของตน ไหนๆ ก็หาคนคนเป็นเพื่อนได้ทั้งที เธอจึงไม่รีบวางสาย ชวนอันหรานคุยเรื่องสัพเพเหระต่างๆ