ในที่สุดชาติกำเนิดของซูหว่านที่เฟิงเหิง ก็ไม่ใช้ความลับอะไรอีกต่อไป และโอวหยางลั่วที่เตรียมจะใช้สถานะของซูหว่านมาบีบบังคับเธอ ก็ทำได้แค่ถอยทัพกลับ แล้วรอให้สบโอกาสที่จะเอาคืนซูหว่านในครั้งต่อไป
หลังจากวันนั้นที่หลัวอวี่ไปส่งซูหว่านกลับบ้าน ในโรงเรียนก็ต้องมีข่าวลือว่า หลัวอวี่และซูหว่านจะกลับมาคืนดีกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่น่าเสียดายที่หลังจากวันนั้นแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย หลัวอวี่ตั้งใจเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซูหว่านเมื่อไม่มีเจี่ยงโยวมาคอยวุ่นวายแล้ว ก็เริ่มใช้ชีวิตตั้งใจเรียนหนังสือไม่ออกนอกห้องเรียนอีก
ผ่านไปชั่วพริบตา ก็มาถึงงานคริสต์มาสประจำปีแล้ว ทุกๆ ปีที่เฟิงเหิงจะมีการจัดงานเต้นรำชุดแฟนซีในคืนวันคริสต์มาส และงานนี้ยังเป็นงานที่ทั้งครูอาจารย์และนักเรียนทั้งโรงเรียน จะต้องมาร่วมงานกันหมด
ที่จริงแล้วงานเต้นรำแบบนี้ซูหว่านไม่ได้สนใจจะไปร่วมงานด้วยสักเท่าไร แต่ว่าบริษัทเกมของซูรุ่ยกำลังอยู่ในช่วงการทดสอบเกมช่วงสำคัญอยู่ ดังนั้นในวันคริสต์มาสเขาจึงไม่สามารถมาอยู่ร่วมฉลองกับซูหว่านได้ ภายใต้ความเบื่อหน่าย ซูหว่านจึงไปจองชุดแม่มดจากร้านชุดแฟนซีมาหนึ่งชุด แล้วเดินเข้าห้องจัดงานเลี้ยงของโรงเรียนไปอย่างเซ็งๆ เตรียมตัวไปร่วมชมสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นความรักระหว่างศิษย์อาจารย์ของคุณนางเอกและเวินเหวินเฮ่า
เป็นอย่างที่ซูหว่านได้รับรู้มา เจี่ยงโยวเตรียมงานเต้นรำในครั้งนี้อยู่ตลอด ช่วงนี้จึงทำให้เธอค่อยๆ เดินออกมาจากความสัมพันธ์ของหลัวอวี่ได้ ที่จริงแล้วเจี่ยงโยวก็เคยคิดที่จะฉีกหน้ากากของซูหว่านต่อหน้าพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกันอย่างพี่ใหญ่เซียว แต่น่าเสียดาย ท่านแม่ทัพซูจะให้โอกาสนี้แก่เธอได้อย่างไรกัน?
ถึงแม้ว่าช่วงนี้ซูรุ่ยจะพักอยู่ที่บ้านตระกูลซู แต่ว่าเจี่ยงโยวไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวเลย
เวลานานไป เมื่อเจี่ยงโยวเห็นว่าซูรุ่ยไม่สนใจตัวเองเลย จึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเท่านั้น
งานเต้นรำชุดแฟนซีในคืนนี้ เจี่ยงโยวเลือกแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีน้ำเงินของสโนว์ไวท์ เมื่อชุดนี้อยู่บนร่างอรชร ผิวขาวใส อีกทั้งยังมีเส้นผมสีขาวดุจหิมะของเจี่ยงโยวแล้ว ทำให้มีความรู้สึกเหมือนว่าเธอคือนางในจินตนาการจริงๆ
ทุกคนในค่ำคืนนี้ต่างก็สวมใส่หน้ากากเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ บนใบหน้าของเจี่ยงโยวมีหน้ากากครึ่งหน้า ที่ปักด้วยดอกไม้สีขาวและมีผ้าลูกไม้ระบายอยู่ตามกรอบหน้ากาก เมื่อมารวมกับการแต่งกายด้วยชุดสโนว์ไวท์แล้ว ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นจุดเด่นของงานไปทันที
เมื่อเทียบกับซูหว่านแล้ว ซูหว่านที่อยู่ในชุดแม่มดสีดำสนิททั้งชุด หน้ากากเต็มหน้าสีทองหม่นที่เต็มไปด้วยลวดลายชวนแปลกตา ทำให้ทั้งตัวของซูหว่านถูกห่อหุ้มไปด้วยความมืดมิด มีเพียงดวงตาเย็นชาและริมฝีปากสีแดงระเรื่อเท่านั้นที่โผล่ออกมา
การแต่งกายด้วยชุดนี้เรียกได้ว่า สามารถแข่งขันกับกลุ่มคนที่แต่งกายด้วยชุดผีดูดเลือดในงานเต้นรำนี้ได้เลย แต่ถึงอย่างไร การแต่งกายแปลกประหลาดแนวนี้ ก็ถือได้ว่ามีแค่คนส่วนน้อยเท่านั้น อย่างไรทุกคนก็อยู่ในช่วงวัยอายุสิบเจ็ดสิบแปดกัน มีสาวคนไหนจะไม่รักสวยรักงามบ้าง มีสาวคนไหนจะไม่อยากมีเรื่องราวดีๆ ในช่วงวัยรุ่นบ้างล่ะ
ในห้องจัดเลี้ยง มีแต่พวกเจ้าชายอัศวินสุดหล่อ และยังมีเหล่าเจ้าหญิงที่งามดุจนางฟ้านางสวรรค์และนางฟ้าตัวน้อยๆ อยู่เต็มไปหมด
การเต้นรำเป็นสิ่งที่เจี่ยงโยวไม่ถนัดที่สุด ดังนั้น ถึงแม้ว่าตลอดทั้งคืนนี้จะมีใครมาเชิญเธอออกไปเต้นรำด้วย ต่างก็ถูกเธอปฏิเสธไปหมด จนมีร่างสูงที่แต่งกายด้วยชุดบาทหลวงสีขาวทั้งร่าง เดินมาหยุดอยู่หน้าเธอ ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับเจี่ยงโยว เจี่ยงโยวลังเลอยู่เพียงครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ เดินตามเขาออกไปยังฟลอร์เต้นรำ
ซูหว่านรู้ว่าคนที่แต่งกายด้วยชุดบาทหลวงนั้นคือเวินเหวินเฮ่า ที่เขาว่ากันว่าภายนอกดูเรียบร้อยแต่ข้างในร้ายกาจมาก ก็คงจะเป็นคนประเภทนี้แหละนะ
“ฉันขอนั่งตรงนี้ได้ไหม? ”
เสียงอ่อนหวานของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นข้างกายของซูหว่าน ซูหว่านหันไปมองเล็กน้อย ก็เห็นหญิงสาวที่ใส่หน้ากากสีเทา แต่งกายด้วยชุดสีเทาทั้งชุดยืนอยู่ข้างกายตัวเอง
“ตรงนี้ไม่มีคนนั่ง เชิญนั่งได้ตามสบายเลย ซินเดอร์เรลล่า”
ซูหว่านมองดูคนที่แต่งกายด้วยชุดผ้าเนื้อหยาบสีเทาคนนี้แล้วรู้สึกคุ้นตา ดูเหมือนว่าจะเป็นชุดของซินเดอร์เรลล่าในตอนต้นเรื่องของนิทานเรื่องนี้ แต่คนที่ได้ยินคำพูดของซูหว่านกลับยกยิ้มน้อยๆ “ฉันไม่ใช่ซินเดอร์เรลล่าที่ได้เต้นรำกับเจ้าชายในฟลอร์เต้นรำ คนที่ได้ใส่รองเท้าแก้วสิถึงจะใช่ ส่วนฉัน ก็เป็นแค่พี่สาวของซินเดอร์เรลล่าเท่านั้น”
ไม่มีความโชคดีเหมือนซินเดอร์เรลล่า ได้แต่อิจฉาซินเดอร์เรลล่าที่เจ้าชายหลงรักอย่างพี่สาวของซินเดอร์เรลล่า
เธอไม่มีเวทมนตร์ ไม่มีรองเท้าแก้ว
ทุกคนต่างก็จดจำได้แค่ซินเดอร์เรลล่า ที่ถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวกลั่นแกล้งในตอนต้นเรื่อง แต่กลับไม่มีใครเคยไปสนใจเลยว่า เมื่อซินเดอร์เรลล่ากับเจ้าชายแต่งงานใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันไปแล้ว พี่สาวของซินเดอร์เรลล่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร
ถ้าเทียบกับซินเดอร์เรลล่าที่มีสวรรค์คอยเป็นห่วง มีเจ้าชายคอยรักใคร่ พี่สาวของซินเดอร์เรลล่าก็เป็นได้แค่ตัวประกอบที่ไม่มีความหมาย
พี่สาวของซินเดอร์เรลล่าเหรอ?
เมื่อซูหว่านได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ก็ยืดตัวนั่งตรง มองดูหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของตัวเองอย่างสนอกสนใจ “ฉันมีกระจกวิเศษอยู่หนึ่งบาน จะให้ฉันลองถามกระจกวิเศษดูไหม ว่าใครคือเนื้อคู่ของเธอ? ”
เนื้อคู่เหรอ…
พอหญิงสาวได้ยินคำพูดของซูหว่าน สายตาของเธอก็เหม่อมองออกไปยังมุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง เหม่อมองอยู่สักพัก เธอก็ดึงสายตากลับมา หันมายิ้มอ่อนๆ ให้กับซูหว่านแล้วส่ายหัวไปมา “กระจกวิเศษของเธอบอกเธอได้แค่ว่าใครงามเลิศในปฐพีไม่ใช่เหรอ? มันอัปเดตเป็นรุ่นใหม่ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ”
“ประโยชน์ของมันมีเยอะเลยนะ ก่อนที่เธอจะปรากฏตัวขึ้น มันก็บอกฉันแล้วว่าเธอเป็นใคร”
ซูหว่านโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น เมื่ออยู่ภายใต้หน้ากากที่ดูแปลกประหลาดแล้ว กลับทำให้รู้สึกว่าสามารถดึงดูดใจของผู้คน ให้หวั่นไหวตามได้ง่ายๆ
“เธอรู้ว่าฉันเป็นใครเหรอ? ” ได้ยินคำพูดของซูหว่าน หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าเป็นพี่สาวของซินเดอร์เรลล่าก็เริ่มสนใจขึ้นมา สายตาอย่างรอคอยมองไปทางซูหว่าน
อันที่จริงแล้วเธอไม่เชื่อว่าซูหว่านจะจำตัวเองได้ เพราะว่าเธอในตอนนี้ เป็นตัวตนของเธออีกคนที่เธอพยายามซ่อนมันเอาไว้
“เธอคือ…สวี่นั่ว”
ซูหว่านมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ายิ้มๆ แล้วเอ่ยชื่อของเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำ
สวี่นั่วนั่งตัวแข็งอยู่บนโซฟา มองตรงมาทางซูหว่าน “เธอ…เธอรู้ได้ยังไง? ”
“ฉันเดาเอา”
ซูหว่านยิ้มให้สวี่นั่ว ที่จริงแล้วตอนแรกซูหว่านก็ไม่รู้หรอกว่าเธอคือสวี่นั่ว แต่ว่าเมื่อกี้ตอนที่สวี่นั่วนั่งเหม่อลอยอยู่นั้น ซูหว่านสังเกตว่าสายตาของเธอมองจ้องไปทางหนึ่ง และทางนั้นก็เป็นมุมที่ค่อนข้างไกล มีเพียงเงาของร่างสูงเงาหนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเท่านั้น
คนคนนั้นแต่งกายด้วยชุดอัศวินรัตติกาลสีดำทั้งชุด ใบหน้าถูกหน้ากากบดบังไปจนหมด เขายืนอยู่คนเดียวนอกกลุ่มคน อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศรอบตัวของเขาที่ดูทรงพลังเกินไป จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปทักทายเขา
อัศวินรัตติกาลคนนั้น เขาคือหลัวอวี่
และคนที่สามารถดูออกว่าเป็นหลัวอวี่ได้ตั้งแต่แวบแรก คือคนที่สามารถเฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ แล้วหญิงสาวที่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นพี่สาวของซินเดอร์เรลล่าได้ คนที่ซูหว่านนึกถึง ก็มีแค่สวี่นั่วเท่านั้น
ที่จริงแล้วสวี่นั่วแอบชอบหลัวอวี่มาตลอด แต่ว่าเธอเป็นหญิงสาวที่เก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองเก่ง เรื่องพวกนี้แม้แต่ในเนื้อเรื่องเดิมที่ซูหว่านได้รับรู้มา ก็ไม่ได้มีการพูดถึงไว้ แสดงว่าในเวลาปกติสวี่นั่วนั้นเป็นคนที่เก็บความรู้สึกได้สมบูรณ์แบบมากจริงๆ
แต่ว่า เมื่อเรารักใครสักคน แคร์ใครสักคน สายตาที่เรามองดูเขาคนนั้นก็จะต่างไปจากคนอื่นๆ เราจะคอยมองหาเขา สนใจในทุกการกระทำของเขาอย่างไม่รู้ตัว ต่อให้จะเป็นเพียงแค่แวบเดียวในสายตาก็เถอะ
ดังนั้น “ความสนใจ” บางอย่างที่สวี่นั่วมีต่อหลัวอวี่ จึงถูกซูหว่านสังเกตเข้าอย่างไม่รู้ตัว…
สวี่นั่วที่ถูกซูหว่านเดาตัวตนได้ถูก นิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ สุดท้ายก็ยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย “ซูหว่าน เธอไม่เหมือนเมื่อก่อนเลยจริงๆ เมื่อก่อน…ฉันก็แอบไม่ชอบเธออยู่บ้าง แต่ว่าตอนนี้กลับรู้สึกเริ่มชอบเธอมากขึ้นมานิดหนึ่งแล้วละ” ในขณะที่พูดอยู่ สวี่นั่วก็ลุกขึ้นยืน แล้วดึงแขนของซูหว่านให้ลุกขึ้นมาจากโซฟาด้วย “ท่านแม่มด ไม่ทราบว่าข้าจะได้รับเกียรติ เชิญท่านมาร่วมเต้นรำด้วยกันสักเพลงไหม? ”
ซูหว่านหันไปมองมือขวาที่ถูกสวี่นั่วกุมเอาไว้ “แล้วข้าจะปฏิเสธได้อีกหรือ? พี่สาวของซินดอล์เรลล่า? ”
“อิอิ”
สวี่นั่วแลบลิ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ดึงซูหว่านไปกลางฟลอร์เต้นรำ
ตอนนี้คนที่มาเต้นรำกันอยู่ในฟลอร์ค่อนข้างเยอะ ซูหว่านสังเกตเห็นแล้วว่าเจี่ยงโยวกับเวินเหวินเฮ่ายังคงเต้นรำกันอยู่ ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก เวินเหวินเฮ่าเกือบจะทั้งกอดทั้งรัดเจี่ยงโยวเต้นรำไปด้วยกัน ดูเหมือนว่าจะกำลังตั้งใจ “สอน” เธอเต้นรำอยู่ แต่ความจริงแล้วท่าทางของทั้งสองคนดูเหมือนคู่รักกันมาก
เมื่อเห็นว่าซูหว่านมองไปรอบตัวอย่างสนใจ สวี่นั่วอ้าปากกำลังจะพูดบางอย่างกับซูหว่าน ทันใดนั้นเธอก็ถูกผลักอย่างแรงจากทางด้านหลัง ทำให้สวี่นั่วปลิวออกไปจากฟลอร์เต้นรำอย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ซูหว่านกำลังจะยื่นมือไปจับสวี่นั่วไว้ แต่ข้อมือของเธอกลับถูกมือใหญ่จับไว้แทน “อย่าขยับ ตอนนี้เจ้าเป็นเหยื่อของข้าแล้ว”
ทรงผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงสีเงิน และร่างที่อยู่ในชุดทักซิโด้งามสง่า
ซูหว่านช้อนสายตาขึ้นมองก็เจอเข้ากับหน้ากากสีแดงเข้ม เจ้าของหน้ากาก กำลังยิ้มให้กับซูหว่าน ทำให้มองเห็นฟันยาวแหลมสองซี่เล็กๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแวมไพร์
“ทำไมนายถึงมาได้ล่ะ? ”
น้ำเสียงของซูหว่านเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ เพียงแค่แวบเดียวซูหว่านก็จำได้แล้วว่าแวมไพร์สุดหล่อตรงหน้านี้ก็คือแม่ทัพซูของเธอ
“ที่รัก มองแค่แวบเดียวก็จำได้แล้ว เก่งจังเลย”
ซูรุ่ยเห็นซูหว่านมองแค่แวบเดียวก็จำตัวเองได้ ก็รีบดึงมือของซูหว่านมาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างได้ใจ “ผมก็แค่อยากจะมาเซอร์ไพรส์คุณไง พวกเรามาเต้นรำกันเถอะ”
การเต้นรำกับซูรุ่ย เป็นการใช้แรงงานขั้นสูงอย่างแน่นอน
เรื่องนี้ซูหว่านรู้มานานแล้ว ดังนั้นสายตาของซูหว่านรีบหันมาก็นึกคำพูดขึ้นมาได้ในทันที “เดี๋ยวก่อน ฉันขอไปดูสวี่นั่วก่อน”
“ไม่ต้องหรอก”
ซูรุ่ยออกแรงยึดไหล่ทั้งสองข้างของซูหว่านไว้ บังคับไม่ให้ซูหว่านหมุนตัวไปไหนได้ “เมื่อกี้นี้ฉันเล็งเอาไว้อย่างดิบดีแล้ว ผลักเธอเข้าไปในอ้อมกอดของหลัวอวี่โดยตรง อืม ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกนะ โปรดเรียกฉันว่าเหลยเฟิง”
กำจัดก้างขวางคอออกไปได้ แล้วยังสกัดถ่านไฟเก่าเอาไว้ได้อีก แม่ทัพซูมีความรู้สึกว่าตัวเองยิ่งอยู่ยิ่งฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เลยนะเนี่ย