สีของแหวน สายตาของอาเรียก้มมองต่ำไปยังมือ ตามคำพูดออกของอาซที่ฟังดูจริงจังพอสมควร
“…สีแหวนมันทำไมหรือคะ”
ทว่าแหวนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วอาเรียก็เอียงหัว อาซมองไปที่แหวนสักพัก แล้วมองไปที่อาเรียด้วยสีหน้างุนงง
“คุณอาซ”
“ผมมั่นใจว่าสีของแหวนมันเปลี่ยนไปนะ…”
เขาขมวดคิ้วพูดอย่างคลุมเครือ เขาไม่สามารถยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดได้อีก เพราะสีของแหวนกลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับสีของมันไม่เคยเปลี่ยนไป
แหวนของเขาเองก็เปลี่ยนสีกลับมาเหมือนเดิมหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก แต่ไม่ได้กลับมาเร็วแบบนี้ เขารู้ว่าหลังจากใช้ความสามารถแล้ว พลังงานที่เหลืออยู่จะทำให้สีของแหวนเปลี่ยนไป แต่พลังงานนั้นก็ไม่เคยหายไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ อย่างน้อยก็เท่าที่เขารู้มา
เขาขยี้ตาตรวจดูแหวนอีกครั้ง เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก ทว่าสีของแหวนก็ยังไม่เปลี่ยนไป เขาคงจะเห็นภาพลวงตา เพราะใช้พลังไปมากในสองวันที่ผ่านมา
“ผมคงมองผิดไปครับ”
“ว่าแล้วเชียว คุณคงเหนื่อยสินะคะ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่า…”
ถึงอย่างนั้นสายตาเป็นห่วงของอาเรียจ้องมองเขาอย่างไม่วาง ทำให้เขาพยักหน้าตอบว่าคงจะเป็นเช่นนั้นไปทันที
อาเรียเองก็ต้องกลับไปพักผ่อน เพราะเธอพลิกนาฬิกาทรายไป ทั้งสองคนจึงหันกลับไปยังที่พักโดยทันที
เนื่องจากออกมาข้างนอกได้ไม่นานเท่าไรนัก จึงถึงที่พักได้อย่างรวดเร็ว
อาเรียตรวจดูเวลา ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน แต่ก็ไม่พอสำหรับการจ่ายค่าตอบแทนในการใช้นาฬิกาทราย
“ผมจะเคาะประตูเมื่อถึงเวลาครับ”
อาเรียเรียกอาซที่กำลังจะกลับห้องของตัวเอง
“คือ… ขอโทษนะคะคุณอาซ แต่ช่วยปลุกฉันตอนรถม้ามาถึงได้ไหมคะ”
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะปลุกตอนนั้นนะครับ”
“ถ้าว่าฉันไม่ตื่น… ช่วยปลุกฉันด้วยการตบตีอะไรก็ได้นะคะ”
“…ครับ”
อาซเบิกตากว้างเมื่อเธอพูดว่าให้ปลุกเธอด้วยการตบตี อาเรียเพิ่งรู้ตัวว่านั่นเป็นคำขอที่ฟังดูแปลกสำหรับคนอื่นที่ได้ยิน จึงรีบแก้ตัว
“พอฉันหลับแล้ว ฉันจะเป็นพวกหลับลึกน่ะค่ะ ปลุกให้ตื่นไม่ได้ง่ายๆ ค่ะ ฉันเลยอยากให้คุณอาซไม่ใช่ปลุกฉันจากแค่ข้างนอก แต่โปรดเข้ามาเขย่าตัวให้ตื่น”
แต่ปัญหาก็คือนั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดีเท่าไรนัก
อาซหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเธอพูดว่าให้เข้ามาปลุกเธอในห้องที่เธออยู่คนเดียว สายตานั้นเป็นสายตาที่เธอเห็นเมื่อวาน
สายตาที่บ่งบอกว่าเขาเข้าใจเจตนาของอาเรีย แต่เขาไม่รู้ว่านั่นคือเรื่องจริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงถามยืนยันเหตุผลด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย
“…หมายความว่าผมสามารถเข้าไปข้างในได้ในตอนที่เลดี้หลับอยู่หรือครับ โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือครับ”
“แน่นอนสิคะ สำหรับคุณอาซที่แอบเข้ามาในห้องฉันตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่น่าจะยากนะคะ”
ทว่าคนที่โดนแกล้งคืออาซ แม้จะมีบางครั้งที่เธอรู้สึกเขินอาย แต่โดยพื้นฐานแล้ว เธอก็ใช้ชีวิตอยู่มานานกว่าอาซ จึงไม่แปลกที่เธอจะรับมือกับเพศตรงข้ามได้อย่างเชี่ยวชาญ
แล้วเขาก็ตอบอาเรียด้วยใบหน้าที่ดูยอมจำนนต่อเธอตามที่คิดไว้
“เข้าใจแล้วครับ กรุณาหลับให้สบาย แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะปลุกนะครับ”
* * *
หลังจากอาเรียหลับไป อาซก็ตรวจทานเอกสารที่เขายังไม่ได้อ่าน โดยไม่มีเวลามาคิดทบทวนเรื่องแหวนของเธอ
แผนที่เขาวางมาทั้งหมดนั้นได้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย เขาจึงต้องตรวจทานอย่างละเอียดรอบคอบ
‘อีกไม่นาน…’
เขาจะสามารถกู้อำนาจจักรพรรดิที่อยู่หลงไปอยู่ภายใต้น้ำมือของเหล่าขุนนางมาเป็นเวลานานกลับมาได้ มันเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้พรรคขุนนางสลายตัวลง หรือแม้แต่พรรคที่เหลืออยู่ด้วย
อาซที่ตรวจดูเอกสารอย่างรอบคอบจนกระทั่งก่อนพระอาทิตย์จะตกไปทางทิศตะวันตก ถือเอกสารฉบับสุดท้ายไว้ในมือ เอกสารใหม่ที่ได้รับมาจากเรนเมื่อเช้า
เขาไม่ได้ฟังรายละเอียด เพราะเขาอยู่กับอาเรีย เขาจึงคิดแค่ว่ามันเป็นเอกสารเกี่ยวกับงาน แต่พออ่านประโยคแล้ว เขาถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่
‘เขาได้มันมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ทั้งที่ฉันเพิ่งสั่งไปไม่กี่วันก่อนเอง’
เขาต้องตรวจดูอยู่หลายรอบว่านี่ใช่เอกสารที่ตัวเองสั่งไปจริงๆ หรือเปล่า เพราะมันมากถึงเร็วมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ในไม่ช้าเขาก็รู้ว่าเอกสารนั้นถูกต้อง แล้วเริ่มอ่านอย่างช้าๆ
[ชื่อของเขาคือโคลอี
เขาถูกขับไล่ออกจากราชวงศ์ และไม่มีนามสกุล อายุ 37 ปีครับ
เขาเป็นที่รู้จักกันในฐานะบุตรชายคนโตของท่านไวโอเล็ต ภรรยาของท่านเดวิด ฟรานซ์ และเติบโตมาในฐานะเชื้อพระวงศ์ ทว่าต่อมาก็พบว่าเขาไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของท่านเดวิด แต่เป็นบุตรนอกสมรสของท่านไวโอเล็ต จึงถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรพร้อมกับท่านไวโอเล็กครับ
นั่นคือเรื่องเมื่อ 17 ปีก่อนครับ
สันนิษฐานกันว่าบิดาแท้ๆ ของเขาคือท่านมาร์ควิสเปียสต์แห่งอาณาจักรโครอา อดีตคนรักของท่านไวโอเล็ต แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะท่านมาร์ควิสเปียสต์เก็บข้อมูลทั้งหมดเป็นความลับครับ และไม่อาจทราบได้ว่าทั้งท่านไวโอเล็ตและท่านโคลอีอยู่ที่ไหน
ตอนนี้กำลังหาภาพเหมือนอยู่ครับ กระผมจะรายงานให้ทราบอีกทีทันทีที่ได้รับมาครับ]
เมื่อเขาอ่านเอกสารจบทั้งหมด ก็นึกเรื่องที่เคยได้ยินขึ้นมาได้อย่างรางๆ
นานมาแล้ว มีสมาชิกคนหนึ่งในราชวงศ์ได้ตกหลุมรักกับสตรีขุนนางต่างอาณาจักร ซึ่งเป็นรักแรกพบ เขาได้สารภาพความในใจนั้นไป แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากหญิงคนนั้นมีชายที่เธอได้ให้สัญญามอบชีวิตด้วยไว้แล้ว
ทว่าบุรุษแห่งราชวงศ์ก็ไม่อาจตัดใจจากเธอได้ จึงบีบบังคับให้หญิงผู้นั้นแต่งงานกับเขา
หลังจากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรธิดาสองคน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่เมื่อรู้ความจริงว่าหนึ่งในบรรดาบุตรธิดาสองคนนั้น เป็นบุตรนอกสมรสที่เกิดจากการคบชู้ของฝ่ายหญิง เขาโกรธมาก แล้วเนรเทศทั้งสองคนออกไป ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวอันน่าผิดหวัง
‘นั่นเป็นเรื่องจริงสินะ เอกสารถึงได้มาถึงเร็ว’
แม้เวลาจะล่วงเลยไปสักพักแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความโกลาหลภายในราชวัง เขาถึงได้ข้อมูลมาอย่างรวดเร็ว
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้ขยะที่บีบบังคับให้หญิงที่มีคนที่เธอรักอยู่แล้วมาแต่งงานด้วยจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์ ช่างน่าอับอายขายขี้หน้าเสียจริงๆ เสียงหัวเราะเยาะอย่างดูถูกรั่วไหลออกมาจากริมฝีปากที่ปิดสนิท
บุตรที่ขุนนางหญิงต่างอาณาจักรที่แต่งงานกับราชวงศ์ สร้างขึ้นมาจากภายนอก เขาเติบโตขึ้นมาในฐานะเชื้อพระวงศ์ แต่หาคิดไตร่ตรองให้ดีแล้ว เขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เลยแม้แต่นิดเดียว อาจมองได้ว่าเขาเป็นขุนนางแห่งอาณาจักรโครอาที่เกิดมาจากพ่อและแม่ผู้เป็นขุนนางแห่งอาณาจักรโครอาเสียมากกว่า
เดวิด ฟรานซ์
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเอาแต่ดื่มเหล้ามาตลอด และเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
‘คนที่มีภูมิหลังซับซ้อนแบบนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเลดี้อาเรียกันแน่’
อาซได้ยินมาว่าเฟรย์บุตรีของเดวิด ฟรานซ์และไวโอเล็ต ให้อาเรียใส่เสื้อผ้าของน้องตัวเอง
ภาพเหมือนนั้นยังอยู่ระหว่างการค้นหา จึงไม่สามารถยืนยันได้ แต่จากความทรงจำในอดีตอันเลือนรางของเขานั้น เขาจำใบหน้าที่ดูคล้ายคลึงกันได้ เขาคิดว่าเพราะหน้าคล้ายกันเฉยๆ เลยเป็นเช่นนั้น แต่มีเรื่องอะไรลึกซึ้งกว่านั้นหรือเปล่านะ
ปริศนาดูเหมือนจะปะติดปะต่อกันได้ แต่ก็ไม่ลงล็อกพอดี ทำให้เกิดรอยย่นตรงหว่างคิ้วของเขา
‘ยังไงตอนนี้คงต้องเก็บไว้เป็นความลับไม่ให้เลดี้รู้จนกว่าจะแน่ใจได้ก่อนก็แล้วกัน’
เนื่องจากเขายังไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาเรียอย่างไร หากเขาบุ่มบ่ามบอกให้เธอรู้ทั้งที่ข้อมูลไม่เพียงพอ ก็มีแต่จะเพิ่มความวิตกกังวลให้เธอเปล่าๆ
‘เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วหรือนี่’
กว่าจะรู้ตัวอีกที พระอาทิตย์ก็ล่วงลับไปแล้ว และนอกหน้าต่างก็มืดลง รถม้าที่ไม่มีใครนั่งนั้นเบาลง ทำให้รถวิ่งได้เร็วขึ้น จึงไม่แปลกที่จะมาถึงเร็วกว่ากำหนด
เขาต้องรีบไปปลุกอาเรีย แล้วขึ้นรถม้าที่มารอรับ และต้องผ่านประตูไปตามพิธี
“เลดี้ครับ ได้เวลาไปกันแล้วครับ
“…”
“เลดี้ครับ”
“…”
เขาจึงเรียกชื่ออาเรียจากด้านนอกประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา คงจะเป็นอย่างที่เธอบอกตอนกลางวันว่าหากเธอหลับไปแล้วจะตื่นยาก
“…ในเมื่อเลดี้บอกว่าให้เข้าไปได้ ผมก็จะเข้าไปจริงๆ แล้วนะครับ”
เขาพูดเรื่องที่ได้รับอนุญาตจากอาเรียเอาไว้ก่อน แล้วจึงเปิดประตูอย่างระมัดระวัง
แม้เขาจะเคยแอบบุกเข้าไปแล้ว อีกทั้งยังได้รับอนุญาต แต่เขาก็ยังอดรู้สึกเขินไม่ได้ จึงเข้าไปแล้วกระแอมไอ ถ้าใครมาเห็นเข้า จะต้องเข้าใจผิดแน่ๆ
“…เลดี้ครับ”
เธอคงจะไม่มีพฤติกรรมที่ชอบทำระหว่างนอนหลับ สีหน้าของเธอที่กำลังนอนหงายเหยียดตรงถึงได้ดูซีดอย่างบอกไม่ถูก และยังดูเหมือนไม่สบาย
จะว่าไปท่าทีของเธอวันนี้ก็ดูค่อนข้างแปลก จู่ๆ เธอก็ผลักเด็กล้มลงไป แล้วอ้างว่าเพราะแมลง
‘เป็นอะไรหรือเปล่านะ’
ควรจะตามหมอมาดูไหม เขาเริ่มเป็นกังวลว่าเธออาจจะได้รับผลกระทบจากหลายๆ เรื่องที่สั่งสมกันมา แล้วแสดงออกมาทางร่างกาย
จะคิดแบบนั้นก็ไม่มากเกินไป ถึงจะไม่ใช่พี่สาวน้องสาวแท้ๆ แต่เธอก็ถูกน้องสาวใส่ร้ายแบบนั้นแล้วยังคงไม่เป็นไรได้อย่างไรนะ
“เลดี้”
อาซคิดดังนั้นแล้วลูบผมของอาเรียอย่างระมัดระวัง ผมของเธอไม่ได้ยุ่งเหยิงเท่าไรนัก แต่เขาแค่นึกอยากจะทำเช่นนั้น ความรู้สึกที่ไม่อยากปลุกให้เธอตื่นก็ออกมาจากปลายนิ้วนั้นของเขา
ปล่อยให้เธอนอนหลับไปเฉยๆ แบบนี้จะไม่ดีกว่าหรือ เพราะพวกเขาก็ได้สร้างพยานและหลักฐานที่ชัดเจนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
เขาคิดเช่นนั้นพลางหันหน้าไปทางอื่นพักหนึ่ง แล้วเขาก็เห็นกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง กล่องที่อาเรียพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา
‘กล่องที่ใส่นาฬิกาทรายเอาไว้… สินะ’
กล่องที่ใส่นาฬิกาทรายที่เธอเคยบอกไว้ว่าพกติดตัวไปด้วยแล้วสบายใจกว่า เป็นของที่ดูไม่ค่อยปกติที่หญิงสาวจะพกไว้ในอ้อมแขนไปไหนมาไหน
เมื่ออาซดูให้แน่ใจแล้วว่าอาเรียหลับอยู่ เขาก็ถือกล่องนั้นขึ้นมาไว้ในมืออย่างระมัดระวัง เขารู้สึกว่ามันหนักไปนิดหนึ่งสำหรับหญิงสาวผู้บอบบางที่จะพกสิ่งนี้ไปไหนมาไหนด้วย ถึงอย่างนั้น พอเห็นเธอพกมันไปไหนด้วยตลอดเวลาไม่ยอมวางแล้ว ก็คงจะนับได้ว่าเป็นของสำคัญน่าดู
เขาคิดเช่นนั้น แล้วก็รู้สึกสงสัยว่ามันคืออะไร เขาเปิดกล่องดูนาฬิกาทราย มองไปที่อาเรียอีกครั้ง แล้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาถือในมือ
ทว่า
‘…อะไรกัน’
เขารู้สึกเหมือนไม่ได้จับอะไรอย่างบอกไม่ถูก ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นความรู้สึกประหลาดที่เคยรู้สึกมาก่อนที่ไหนสักแห่ง
ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมากที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากนาฬิกาทราย
ความรู้สึกที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่คุ้นเคยนี้ ทำให้อาซที่เต็มไปด้วยความกังวลนั้น หัวใจเต้นเร็ว
สายตาของอาซที่จับมันอยู่พักใหญ่ เบี่ยงไปทางมือของอาเรียที่กำลังหลับอยู่ทันที แหวนบนนิ้วนางนั้นมีสีธรรมชาติราวกับว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
บุตรของหญิงสาวที่แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ และดื่มน้ำอันศักดิ์สิทธิ์
อาเรียที่หน้าตาดูคล้ายกับเด็กคนนั้น
นาฬิกาทรายที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด
แล้วก็แหวนที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนสีไป และชายผู้มีนามว่าโคลอีที่ถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรไปเมื่อ 17 ปีก่อน
อาเรียเองก็จะครบสิบเจ็ดปีหลังจากวันเกิดปีนี้
…อย่าบอกนะว่า
แม้ว่าเขาลองคิดด้วยตัวเองแล้วมันจะดูเป็นไปไม่ได้ แต่มือที่ถือนาฬิกาทรายอยู่ก็เริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แม้ปริศนาจะเข้าที่เข้าทางของตัวมันเองแล้ว แต่เขาก็พูดว่ามันเป็นแค่การคาดเดา แล้วส่ายหัว
ถึงอย่างนั้นความรู้สึกแปลกๆ ที่นาฬิกาทรายในมือส่งออกมานั้น ก็ทำให้รู้ว่าเขากำลังเจอคำตอบที่ถูกต้อง
ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก ความกังวลใจที่รู้สึกว่าไม่ควรจะถือนาฬิกาทรายไว้แบบนี้ต่อไป
ในตอนที่เขากำลังรีบวางนาฬิกาทรายกลับคืนไปนั้นเอง
“นาฬิกาทรายของฉัน…!”
ทันใดนั้นอาเรียก็ลืมตาขึ้นพรึบ แล้วจับข้อมือของอาซ สายตานั้นราวกับจะถามว่าทำไมคุณถึงถือนาฬิกาทรายของฉันอยู่ สายตานั้นเย็นชามากราวกับกำลังเผชิญหน้ากับคนอื่น นั่นทำให้อาซรู้สึกตื่นตระหนก แล้วรีบแก้ตัวอย่างไม่สมกับเป็นเขา
“…ผมรู้สึกว่ามันจะตกลงมาจากโต๊ะข้างเตียง ก็เลยกำลังจะวางมันกลับเข้าที่เดิมให้น่ะครับ”
“รู้สึกว่าจะตกลงจากโต๊ะข้างเตียงอย่างนั้นหรือคะ”
ทว่าคำพูดของอาเรียที่ถามกลับมานั้นเต็มไปด้วยเสี้ยนหนาม สีหน้าของเธออยากจะถามว่าหากรู้สึกว่าจะตกจากโต๊ะข้างเตียงเฉยๆ จริงๆ แล้วทำไมเขาถึงถือตัวนาฬิกาทรายอยู่ แทนที่จะเป็นตัวกล่องของมัน
แม้จะบอกว่าเขาจะตื่นตระหนกมากสักเพียงไหน แต่เขาก็พูดโกหกต่ออาเรียไป ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นอาชญากรโทษสถานหนักขึ้นมาทันที อาซจึงรีบวางนาฬิกาทรายกลับเข้าที แล้วสารภาพความจริง
“…เปล่าครับ ความจริงคือผมสงสัยกล่องนี้ที่เลดี้มักจะพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา เลยแอบลองเปิดดูน่ะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ”
แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องโกรธ ก็มันเป็นนาฬิกาทรายที่เธอหวงแหนขนาดนั้น แถมเธอยังตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่
เธอจ้องอาซด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งหลังจากได้ฟังคำตอบตามจริงของอาซ ทันใดนั้นเธอก็หลับตา ลืมตาอย่างช้าๆ อยู่สองสามครั้ง แล้วพยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าคุณบอก ฉันก็คงจะเอาให้ดูอยู่แล้วน่ะค่ะ”
ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดุดันหลังจากตื่นนอนก็ได้หายไปแล้ว เพราะเธอเชื่อใจอาซเป็นอย่างมาก
“รถม้ามาถึงแล้วหรือคะ”
“ครับ อ่า ครับ เราต้องไปกันแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยออกไปเจอกันข้างนอกนะคะ”
“…เข้าใจแล้วครับ”
เขาตอบเช่นนั้น และออกจากห้องของอาเรียไป แล้วก็หันหลังกลับมามองแวบหนึ่ง ที่ที่สายตาของเขามองทอดไปนั้น ยังคงมีกล่องของนาฬิกาทรายวางอยู่
……………………………………………….