Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา – ตอนที่ 366

ตอนที่ 366

บทที่ 366 ขุนนางที่ถูกกวนใจ
“เจ้าทบทวนมันแล้วใช่ไหม?” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เฟอร์นันโดก็เอ่ยถาม

แน่นอนว่าลูเซียนรู้อยู่แล้วว่าคำถามของเฟอร์นันโดหมายถึงอะไร เขายิ้มแล้วตอบ “อาจารย์ขอรับ งานชิ้นนี้ไม่ใช่งานวิจัยหักล้างนะขอรับ… ไม่ใช่เลย เป็นงานวิจัยติดตามผลเรื่องการค้นพบอิเล็กตรอนนะขอรับอาจารย์ ท่านต้องรู้ว่าข้าเจอคำสาปในแจกันเพราะการเหนี่ยวนำของกระแสอิเล็กตรอน ข้าจึงยืนยันวัตถุชนิดพิเศษของแจกันโดยใช้วิธีการศึกษารังสีแคโทด”

เฟอร์นันโดรับงานวิจัยมาแล้วบ่นอย่างไม่จริงจังนัก “มีแต่ข้านี่แหละที่คอยจัดการปัญหาทุกอย่างที่เจ้าก่อไว้หลังได้อ่านงานวิจัยของเจ้า เจ้าเขียนงานธรรมดาๆ ไม่ได้รึไง?”

อันที่จริง เฟอร์นันโดดีใจที่ได้เห็นงานวิจัยหักล้างที่ใช้ได้บ้าง เพราะเขาตั้งตาคอยความก้าวหน้าในโลกเวทมนตร์อาร์คานา อย่างไรก็ตาม การรับมือกับผลที่ตามมาของทฤษฎีล้มล้างแบบสุดขั้ว อย่างเช่น ความไม่ต่อเนื่องของรูปแบบพลังงาน นั้นนับเป็นคนละเรื่องกัน ด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ร้ายและใจร้อน เฟอร์นันโดจึงหวังแค่ว่าเขาจะสามารถรอแล้วอ่านบทสรุปงานวิจัยของลูเซียนเช่นเดียวกับดักลาส แต่ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของลูเซียน เขาจึงมักเป็นคนที่ออกหน้าจัดการกับการเปลี่ยนแปลงความคิดครั้งใหญ่ๆ ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ลูเซียนนั้นดีใจมากกว่าเสียอีกที่มีอาจารย์ที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิพลคอยรับมือกับทุกปัญหาให้เขา และดีใจที่ได้ป้องกันนักเวทอีกหลายคนไม่ให้ปวดหัวจนแทบระเบิด

ลูเซียนจึงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรเมื่อได้ฟังเฟอร์นันโดบ่น

เฟอร์นันโดพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ หน้าตาของเขาก็คร่ำเคร่งขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็แสดงความเห็นพลางส่ายหน้า “มอร์ริสต้องเกลียดตัวเองแน่ๆ เพราะเขาไม่ได้ช่วยเบลลัค”

หัวข้องานวิจัยก็คือ ‘ธาตุชนิดใหม่ที่สามารถแผ่กระแสอิเล็กตรอนและรังสีชนิดอื่นสองชนิด’ ในมุมมองของเฟอร์นันโด การค้นพบที่สำคัญที่สุดในงานวิจัยชิ้นใหม่ของลูเซียนไม่ใช่การค้นพบธาตุใหม่ที่เรียกว่า ‘ยูเรเนียม’ แต่มันได้พิสูจน์ความจริงที่ว่าจริงๆ แล้วอิเล็กตรอนมาก็จากอะตอมนั่นแหละ ดังนั้น โครงสร้างภายในของอะตอมจึงมีอยู่จริงๆ ความสำเร็จครั้งนี้สมควรได้รับรางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’

“นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของงานวิจัยขอรับ” ลูเซียนย้ำเตือนเฟอร์นันโดเสียงเบา

เฟอร์นันโดเงยมองด้วยดวงตาสีแดงคมกริบ

“บางทีวัตถุชนิดพิเศษนี้ยังปล่อยธาตุใหม่ด้วยขอรับ…” ลูเซียนพยายามใช้ภาษาแบบคลุมเครือเพื่อไม่ปล่อยข้อมูลมากเกินไป

“เจ้าหมายความว่ายังไงนะ ‘ปล่อยธาตุใหม่?’” เฟอร์นันโดสงสัยสิ่งที่ได้ยิน

เฟอร์นันโดอ่านงานวิจัยต่อโดยอ่านส่วนที่เฉพาะเจาะจงอย่างละเอียด ขณะที่อ่านอยู่นั้น น้ำเสียงของเขาก็จริงจังมากขึ้น “เจ้าเคยวิเคราะห์วัตถุชนิดพิเศษนี้ไหม? มันเป็นส่วนธาตุของวัตถุงั้นหรือ?”

“เคยขอรับ ข้าสกัดธาตุพิเศษออกมาบางส่วนโดยใช้ ‘เวทมนตร์กักเก็บ’ และวงเวท อย่างไรก็ตาม ธาตุใหม่ที่ข้าเรียกว่า ‘ฮีเลียม’ ก็ยังคงอยู่ ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีบางธาตุที่ยังไม่ถูกค้นพบในวัตถุที่ถูกสกัด แต่ข้าก็แน่ใจว่าไม่มีฮีเลียมหรือรูปแบบการแปรธาตุของมันอยู่ในนั้น” ลูเซียนบอกเฟอร์นันโดพลางชี้รายงานวิจัยหน้าท้ายๆ

“อะไรอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงของธาตุล่ะ? ธาตุสามารถกลายเป็นอีกธาตุได้ไหม?” เฟอร์นันโดอดถามตัวเองไม่ได้ หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาที เขาก็ใจเย็นลงแล้วพูดกับลูเซียนเหมือนอย่างปกติ “เจ้านี่ช่างมีโชคจาก ‘เทพธิดาแห่งโชคชะตา’ จริงๆ ลูเซียน เจ้ายังได้วัตถุชนิดพิเศษจากคนที่ลอบสังหารเจ้าด้วยซ้ำ ข้าเชื่อว่าในตอนจบของการสำรวจตรวจสอบของเรา เจ้าจะเข้าใจความลับที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของสสารต่างๆ”

ตามธรรมเนียมของอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ สภาเวทมนตร์มักใช้ชื่อเรียกของเทพธิดาเพื่อกล่าวถึงสิ่งต่างๆ เช่น ธรรมชาติ และส่วนประกอบสำคัญของเวทมนตร์นั้นถูกเรียกว่า ‘เทพธิดาแห่งเวทมนตร์’ ความหนาวจับจิตนั้นถูกเรียกว่า ‘เทพธิดาน้ำแข็งและหิมะ’… อย่างไรก็ตาม ชื่อเรียกเหล่านี้หมายถึงสิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่บรรดาศาสนจักรเชื่อกัน

“อาจารย์ขอรับ ข้ายังไม่อยากเสนองานวิจัยตอนนี้ ข้าอยากเก็บไว้ก่อนสักสองสามปีแบบที่เราทำกับ ‘การทดลองแห่งปาฏิหาริย์’ น่ะขอรับ” ลูเซียนบอก

“ทำไมล่ะ?” เฟอร์นันโดแปลกใจมาก เพราะงานวิจัยชิ้นนี้ไม่ใช่งานวิจัยหักล้าง ฉะนั้นมันจะไม่มีทางทำให้ศาสนจักรและนักเวทคนอื่นๆ หัวเสียแน่นอน มันจะเป็นเรื่องที่ดีมากหากจอมเวทคนอื่นๆ ได้อ่านงานวิจัยชิ้นนี้แล้วมีคำแนะนำให้ศึกษาโลกอนุภาค

เฟอร์นันโดพลิกหน้ากระดาษแล้วเห็นเวทมนตร์ใหม่ที่ลูเซียนสร้างสรรค์ขึ้นในหน้าสุดท้าย นั่นคือ ‘เวทลำแสงแช่แข็งของอีวานส์’ และ ‘แส้เทพธิดาหิมะ’

“เพื่อแค่นี้เองเหรอ?” เฟอร์นันโดถามแม้เขาจะรู้ว่าเวทมนตร์ทั้งสองนี้มีพลังมากเพียงใด เนื่องจากเขาเป็นผู้ก่อตั้งวิชา ‘เทอร์โมไดนามิกส์’ ‘เวทมนตร์ของเจ้าสองเวทนี้ได้ลดอุณหภูมิต่ำพิเศษระดับที่ต่ำที่สุดลงไปอีกมากกว่าสิบองศา ทันทีที่ตีพิมพ์งานวิจัย เจ้าอาจจะได้รับ ‘เหรียญน้ำแข็งและหิมะ’ เลยนะ… เจ้ายังไม่อยากเสนองานอีกหรือ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อัลเฟอร์ริสก็จ้องมองงานวิจัยอย่างสนอกสนใจ มันหวังว่าชื่อของมันจะถูกเพิ่มเข้าไปในงานวิจัยบ้าง

“เมื่อคนรู้ว่ามีธาตุฮีเลียม เขาก็จะสามารถสร้างเวทมนตร์สองเวทได้ง่าย ข้าอยากเก็บมันไว้เป็นอาวุธลับของข้าน่ะขอรับ” ลูเซียนอธิบาย

เฟอร์นันโดยิ้มแต่กลับส่ายศีรษะ “เจ้าเก็บมันไว้กับตัวได้ไม่นานหรอก ลูเซียน อย่าลืมว่าแอตแลนต์เอาบางส่วนของวัตถุไปด้วย และ ‘แผนกลงทัณฑ์’ ก็มีด้วยเหมือนกัน ลองคิดดูสิว่าพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ตอนไหน?”

“ภายในสามหรือสี่ปีขอรับ” ลูเซียนตอบ

เฟอร์นันโดยิ้ม “อีกห้าหรือหกปีข้างหน้านี้ควรเป็นระยะเวลาสำคัญของเจ้าที่จะได้เป็นนักเวทชั้นสูง และข้าคิดว่ามันไม่เข้าท่าเลยถ้าเจ้าออกจากอัลลินบ่อยจนเกินไป ดังนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องมีอาวุธลับหรอก ถึงแม้เจ้าจะยังไม่ได้เป็นนักเวทระดับที่หก หรือเจ็ด แต่เวทมนตร์สองเวทนี้ก็ยังช่วยเจ้าได้เพราะมันมีพลังมากจริงๆ เจ้าสังหารเบลลัคด้วยเวทลำแสงแช่แข็งถูกไหม แล้ว ‘โลกแห่งการรู้คิด’ ของเจ้าเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้วใช่ไหม?”

“ใช่ขอรับ… เมื่อข้ายืนยันว่าอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างภายในของอะตอม” ลูเซียนไม่กล้าพูดว่าจริงๆ แล้วการทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมานั้นเกิดขึ้นเมื่อเขาตั้งสมมุติฐานว่ารูปแบบของพลังนั้นไม่ต่อเนื่องกัน

ลูเซียนนึกขอบคุณเบลลัคและแจกันคำสาปอีกครั้ง เนื่องจากการค้นพบว่าอิเล็กตรอนเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างภายในของอะตอมนั้นน่าทึ่งมากพอที่จะทำให้โลกแห่งการรู้คิดของคนคนหนึ่งเป็นรูปธรรมขึ้นมา ไม่เช่นนั้นลูเซียนก็จะไม่มีข้ออ้างที่เหมาะสม

‘เจ้าแห่งวายุ’ ไม่ได้แคลงใจคำพูดของลูเซียนทว่าพยักหน้าน้อยๆ “อย่างนั้นเอง เจ้าน่าจะได้เป็นนักเวทชั้นสูงในสามหรือสี่ปี ถ้าเจ้าต้องการวัตถุอะไร ให้ไปที่คลังมิติพิเศษของข้าดูว่ามีอะไรบ้าง งานวิจัยชิ้นนี้จะถูกเก็บไว้ก่อนเป็นเวลาสองปีตามที่เจ้าประสงค์ แต่ข้าจะแจ้งแอตแลนต์เรื่องนี้ ข้าแค่ไม่อยากให้เขาเสียเวลา มันคงเป็นเรื่องดีที่เจ้าเลื่อนการส่งงานวิจัย ถ้าเจ้าส่งไปตอนนี้ คนตระหนี่อย่างมอร์ริสก็จะหาข้ออ้างว่านี่เป็นงานวิจัยแบบติดตามผลและปฏิเสธที่จะมอบแหวนให้เจ้า แต่ข้าได้ยินมาว่าทิโมธีกับยูลิสิสกำลังทำวิจัยเรื่องการก่อตัวของก๊าซ และงานก็คืบหน้าด้วย ดังนั้นงานวิจัยของเจ้าจึงเก็บเป็นความลับได้ไม่นานหรอก”

เมื่อได้ยินว่าลูเซียนสามารถเข้าไปในคลังมิติพิเศษของเฟอร์นันโดได้ ตาของอัลเฟอร์ริสก็เป็นลุกวาวทันที มันจ้องลูเซียนราวกับว่ากำลังพยายามกระตุ้นให้เขาเอาของทุกชิ้นออกมาจากคลังนั้น

ลูเซียนแสร้งไม่เห็นอัลเฟอร์ริส ถึงแม้ตัวเขาเองจะเป็นคนตระหนี่ถี่เหนี่ยวมากเช่นกัน แต่เขาก็รู้ว่าที่นี่เขาไม่ควรโลภมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้เขามีงบจำกัดจำเขี่ย

“เอาเถอะ ในปีต่อๆ ไป ให้เจ้าตั้งใจพัฒนาพลังเวทมนตร์ก่อนก็แล้วกัน” เฟอร์นันโดบอกลูเซียน

….

ณ พระราชวังเนคโซ นครเรนทาโต

“เราต้องหยุดเรื่องนี้! ศาสนจักรกับสภาเวทมนตร์จะทำสงครามกันไม่ได้!” เจมส์ ดยุกผู้ไม่สวมวิกพูดเสียงดัง

ขุนนางคนสำคัญจากอาณาจักรโฮล์มซึ่งบัดนี้อยู่ในนครเรนทาโตถูกกษัตริย์เฟสทิส และเจ้าชายแพทริคเรียกมารวมตัวกันเพราะมีเรื่องด่วนที่เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้

เฟลนเบิร์ก ดยุก เรเคอร์ส ผู้นำของสภาขุนนาง มองเจมส์อย่างเย็นชา “หยุดพวกเขางั้นหรือ? พวกเราพยายามกันอย่างหนักที่ถ่วงดุลอำนาจเพื่อให้พวกนักเวทนั่นหาเงินได้ แต่ดูเขาจ่ายกลับมาให้พวกเราสิ มันจะเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงถ้าเรายังสนับสนุนพวกมันอยู่!”

เรเคอร์สสวมวิดสีแดง ส่วนใบหน้าโกนหนวดจนเกลี้ยงเกลา ริ้วรอยลึกตรงหางตามีรูปร่างตรงข้ามกับดวงตาสีฟ้าของเขา ดวงตาของเขามีรูปร่างเหมือนกับดวงตาของกริฟฟินตัวโต ซึ่งเป็นไปตามฉายาของเขา นั่นคือ กริฟฟินของพระราชา

“ไม่สำคัญว่าขุนนางจะเปิดใจและหัวสมัยใหม่เพียงไร เขาจะไม่มีทางทิ้งศาสนจักรแน่นอน และไม่สำคัญว่าขุนนางจะหัวอนุรักษ์นิยมเพียงไร เขาก็ยังคงตระหนักถึงความจริงที่ว่า ถ้าปราศจากสภาเวทมนตร์แล้ว ขุนนางอย่างพวกเราจะไม่มีพลังและสถานะอย่างที่พวกเรามีกันอยู่ทุกวันนี้” วูล์ฟเบิร์ก ดยุก รัสเซล ไม่อยากจะเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวจึงพูดเรื่องจริงออกไปตรงๆ

จากนั้นการโต้เถียงระหว่าง ‘ฝ่ายอนุรักษ์นิยม’ กับ ‘ฝ่ายเสรีนิยม’ ก็หยุดลงทันที ความเงียบครอบงำทั่วทั้งพระราชวัง

เมื่อเห็นพระราชาชำเลืองมอง แฮ็คสัน ผู้อำนวยการกระทรวงการคลัง รีบแกล้งกระแอมแล้วเอ่ยว่า “ระวังคำพูดท่านหน่อย รัสเซล เกียรติยศและพลังของพวกเรามาจากพรของพระเจ้า ความกรุณาของฝ่าพระบาท และความพยายามของพวกเราเองต่างหาก”

เจ้าชายแพทริคพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศาสนจักรสร้างความขัดแย้งก่อน เราไม่ควรกล่าวโทษสภาเวทมนตร์ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน เราไม่สามารถปล่อยให้แผ่นดินที่มั่งคั่งและสวยงามนี้เสียหายจากสงครามได้ ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือการไกล่เกลี่ย”

เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ของพวกขุนนางเองอย่างพลังและสถานะ พวกเขาก็ค่อยๆ เห็นด้วย มีเพียงขุนนางแก่ๆ บางส่วนที่หัวอนุรักษ์นิยมสุดขั้วเดินออกจากที่ประชุมกลางคันอย่างหัวเสีย

หลังจากมอบหมายภารกิจให้ขุนนางทุกคนแล้ว ก็มีเพียงพระราชากับเจ้าชาย และบรรดาข้ารับใช้เท่านั้นที่ยังอยู่ในพระราชวัง

พระราชาชรามองเจ้าชายแพทริคแล้วส่ายศีรษะเบาๆ พระองค์ทรงหันหลังกลับไปพลางตรัสพึมพำกับตนเอง

“อนาคตของอาณาจักรจะเป็นเช่นไรกัน… อนาคตของตระกูลข้าจะเป็นเช่นไร…”

ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าความสมดุลนั้นเปราะบางเกินกว่าจะคงอยู่ตลอดไป อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ พวกเขาทำได้เพียงปิดหูปิดตาไม่รับรู้ความจริงเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้

….

ในรถม้า จู่ๆ เฟลนเบิร์ก ดยุก เรเคอร์ส ก็ถอนหายใจ

ขุนนางอีกคนซึ่งนั่งตรงข้ามเขาในรถม้านั้นเอ่ยถาม “เป็นอะไรหรือท่าน?”

“สภาเวทมนตร์นั้นมีอำนาจเกินไป หากเราปล่อยให้เขาทำอะไรตามใจแบบนี้และปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พวกเราได้จ่ายแน่ เจมส์กับคนพวกนั้นน่ะมองไม่ออกหรอก” เรเคอร์สบอก

“แล้วเหตุใดท่านสนับสนุนการไกล่เกลี่ยล่ะ” ขุนนางคนนั้นถาม “ปล่อยให้ศาสนจักรกับสภาสู้กันสิ”

เรเคอร์สส่ายหน้า “การก่อสงครามตอนนี้ไม่เป็นผลดีสำหรับพวกเรา เราต้องหาโอกาสเหมาะๆ โจมตีสภาเวทมนตร์กับศาสนจักรทีเดียวพร้อมกัน แล้วจากนั้น เราจะสนับสนุนอำนาจที่เหลืออยู่ของสภาเวทมนตร์ ดังนั้น ศาสนจักรจะไม่สามารถรวบอำนาจทั้งหมดได้ เราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจะเป็นการถ่วงดุลอำนาจไว้ได้”

….

“แล้วเราจะถ่วงดุลอำนาจเอาไว้ได้อีกนานแค่ไหน?” เจมส์ ดยุกผู้ไม่สวมวิกถามขณะนั่งอยู่ในรถม้าของรัสเซล

รัสเซลตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “วันใดวันหนึ่ง สุดท้ายแล้วเราก็ต้องตัดสินใจว่าควรจะทอนอำนาจของสภาเวทมนตร์ หรือกำจัดศาสนจักรใต้เหมือนบรรดาประเทศต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของศาสนจักรเหนือ ก่อนที่ ‘นักบุญแห่งความจริง’ จะจากไปนั้น สภาเวทมนตร์จะไม่คุกคามเรา การรักษาความสมดุลของสถาพการณ์โดยรวมนี้ยังง่ายกว่าการรักษาความสมดุลของแต่ละประเทศเสียอีกแม้จะเป็นระดับที่เล็กกว่า ถ้าไม่ระมัดระวัง สิ่งที่มีค่าอาจจะเสียหายได้”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น… เราก็จะไม่สามารถขึ้นไปบน ‘หุบเขาวิมานได้สิ’” แฮ็คสันถอนหายใจ

“หุบเขาวิมานงั้นหรือ? ฮ่าๆ…” เจมส์พูดทวนพลางหัวเราะ

….

หลายวันต่อมา อัลลินยังคงสงบปลอดภัยดี ไม่มีการก่อสงครามจาก ‘นักบุญแห่งความจริง’

ลูเซียนได้รับสารจากฟลอเรนเซีย

“สุดสัปดาห์นี้ รางวัล ‘มงกุฎแห่งโฮล์ม’ ส่งไปให้เจ้าที่อัลลิน”

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

Status: Ongoing

ซย่าเฟิง นักศึกษาปีสุดท้ายผู้อ่อนต่อโลก

ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างของลูเซียน อีวานส์ เด็กหนุ่มกำพร้าชนชั้นกรรมาชีพที่เฉลียวฉลาด

บนโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ แม่มด ลัทธินอกรีต อัศวิน ปีศาจ และศรัทธาในพระเจ้า

ลูเซียนประยุกต์ใช้ความรู้จากโลกเก่าพร้อมกับพลังวิเศษ ‘ห้องสมุดในห้วงสมอง’

ศึกษาเปรียบเทียบวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์ เพราะ ‘ความรู้คืออำนาจ’ ที่จะช่วยให้เขาบรรลุเป้าหมายในการยกระดับชีวิต!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท