ณ เนินสูงสการ์เล็ต…
ทั้งสองหัวที่มีลำตัวยาวและแคบราวกับเป็นสัตว์เลื้อยคลานกำลังยืนอยู่ในแนวก้อนหิน นิ่งเงียบไม่ไหวติง เกล็ดสีแดงของมันสะท้อนประกายแปลกประหลาดอยู่ภายใต้แสงตะวัน บนช่องว่างระหว่างเกล็ด มีหน่อเล็กๆ ของพืชพรรณกำลังโตราวกับว่ามีเมล็ดพืชถูกลงในเนื้อของมัน และสวม ‘เครื่องแบบ’ สีเขียวของปีศาจ
รอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องแสนเจ้าเล่ห์ที่ปนไปด้วยอาการตกตะลึงบนหัวแพะของราชันย์โลหิตลงในทันใด ขณะที่หัวสุนัขก็แบกรับอารมณ์ไว้ไม่ไหว ทั้งสองไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกจับได้โดยง่าย ทั้งที่มีพลังเทียบเท่ากับชั้นตำนานระดับสามใน ‘มิติพิเศษชั้นตำนาน’ แม้ว่าจะไม่อาจกำราบศัตรูได้ แต่ทำไมถึงขยับเขยื้อนหนีไปไม่ได้? ที่นี่เป็น ‘ถิ่น’ ของพวกมันแท้ๆ!
‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ เป็นเวทมนตร์ที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มเวทกาล-อวกาศ นอกเหนือจากสิ่งมีชีวิตเวท เช่น พระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน ก็ไม่มีใครสามารถเข้าใจเวทมนตร์บทนี้ได้ หากไม่มีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับกาลและอวกาศ ไม่มีใครสามารถใช้เวทมนตร์ได้ แม้จะมีบทคาถาและท่าทางที่จำเป็นแล้วก็ตาม!
อย่างไรก็ตาม ลูเซียนกลับสามารถใช้ได้ อุปกรณ์เวทชั้นตำนานเอกอุของเขาสามารถร่าย ‘เวทหยุดเวทขั้นสูง’! ระดับของเขาไม่ใช่ ‘ผู้ควบคุมอะตอม’ อย่างนั้นหรือ? แล้วเกี่ยวอะไรกับกาลและอวกาศหรือไม่?
หัวสมองอันเฉื่อยชาของราชันย์โลหิตรู้สึกว่าพวกมันลืมอะไรไปบางอย่าง แต่ในหัวกลับโกลาหลเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องอาร์คานา นับประสาอะไรกับทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป อันที่จริง หัวแพะหน้าคนที่แสวงหาความก้าวหน้า ตั้งใจจะศึกษากรอบแนวคิดอาร์คานาพื้นฐาน แต่หัวสุนัขกระวนกระวายทุกครั้งที่มันหยิบตำราขึ้นมาอ่าน แล้วทั้งสองหัวจะกัดกันเองเหมือนทุกครั้งที่เป็นมา
สำหรับ ‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ ทั้งเจ้าปีศาจกับมัลฟิวเรียนต่างไม่ประหลาดใจ ถ้าลูเซียน อีวานส์ ร่ายเวทนี้ไม่ได้ เขาคงไม่สมควรถูกกล่าวถึงในนามผู้ยิ่งใหญ่แห่งสายธาตุและสนามพลัง ในสภาเวทมนตร์ เขาเป็นนักเวทชั้นตำนานที่เข้าใจเวทมนตร์บทนี้ เป็นรองเพียงแฮททาเวย์เท่านั้น
ส่วนการโจมตีแบบทะลุทะลวงด้วย ‘เวทเพ่งพยาบาท’ ซึ่งไม่ยี่หระการป้องกันของเกล็ด มัลฟิวเรียนไม่ค่อยเข้าใจมากนัก และคิดว่า ‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ ได้ทำลายการป้องกันของปีศาจ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองหัวของราชันย์โลหิตกำลังสับสน มันเป็นการป้องกันตามสัญชาตญาณของมัน ‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ สามารถทำลายการป้องกันได้เพียงบางส่วน แต่ไม่อาจทำลายลงได้ทั้งหมด แต่ทำไมพวกมันถึงรู้สึกว่ากำลังยืนเปลือยเปล่า?
เรื่องนี้อยู่เหนือความเข้าใจของพวกมันด้วย ‘ความรู้’ อาร์คานาเท่าที่มันมี
“เราแพ้แล้วจริงๆ… เขามีเวทมนตร์ทรงพลังมากขนาดนั้นได้ยังไง…?”
“ไม่ใช่แต่แพ้ แต่เรายังถูกจับตัวอีก เราควรมองว่าแผนสำเร็จเกินเหตุหรือเปล่า…?”
ความคิดขัดแย้งกันผุดขึ้นในหัวทั้งสองของปีศาจ เนื้อสดๆ บนแผงอกของมันชักกระตุกรุนแรง หลังถูก ‘เวทเพ่งพยาบาท’ เสียบทะลุ และฟื้นฟูกลับมาไม่ได้ เลือดสีแดงเข้มหยดลงบนพื้น กัดกร่อนแผ่นกินและดินโคลน
“ราชันย์โลหิตมีของอะไรอีก?” มัลฟิวเรียนเข้าถึงตัวราชันย์โลหิต ก่อนจะเห็นว่ารอบเอวของมันมีหมอกดำทะมึนห่อหุ้ม มีอุปกรณ์ชิ้นไหนรอดจาก ‘เวทพังทลายขั้นสุดยอด’ หรือไง? อุปกรณ์ชั้นตำนานรึ?
เขาเชื่อว่าคนป่วยจิตเภทอย่างราชันย์โลหิตคงไม่สามารถหลอมอุปกรณ์ชั้นตำนานขึ้นมาด้วยตัวเอง มันคงทำได้ดีที่สุดแค่เพียงแปลงอวัยวะบนร่างเป็นอาวุธ เหมือนที่มันตัดหางโชกเลือดและเปลี่ยนเป็นดาบโลหิตสองเล่ม
หรือนั่นจะเป็นรางวัล หลังจากเจ้าปีศาจสังหารนักผจญภัยหรือศัตรูตัวอื่น?
“ระวัง” ลูเซียนเตือนเขา “ข้าสัมผัสได้ว่ามันชั่วร้ายและมีพลังงานลบ”
นาตาชายืนนิ่งกำดาบแห่งสัจธรรมอยู่ในมืออย่างระแวดระวัง นางไม่สงสัยเลยว่าทำไมลูเซียนไม่โจมตีเต็มกำลัง แม้จะผิดหวังอยู่บ้างที่ราชันย์โลหิตไม่อาจต้านทานหรือให้โอกาสนางได้ลงมือบ้าง
มัลฟิวเรียนเงยหน้าขึ้น แล้วกิ่งไม้กิ่งหนึ่งก็งอกออกมาจากเนื้อของราชันย์โลหิต ยกเอาอุปกรณ์ออกมาด้วย
“นี่คือ…” มัลฟิวเรียนทำหน้าสะอิดสะเอียน
อุปกรณ์นั้นเป็นรูปปั้นเหมือนจริงสีดำขนาดเล็ก ไม่มีคำอธิบายว่าสร้างมาจากอะไร แต่มันแผ่รังสีความมืดดำออกมา
หน้าของรูปปั้นนั้นชัดเจนมาก มันคือเฟอร์รากอนด์ ผู้ล้างแค้นแห่งธรรมชาติ ไม่ผิดแน่ๆ!
หน้าของรูปปั้นของเฟอร์รากอนด์บิดเบี้ยวและสยดสยอง เต็มไปด้วยความเกลียดชัง การไม่ยอมรับความจริง และความเคียดแค้น จากสุญญากาศรอบตัวรูปปั้น อากาศสีดำขมุกขมัวผุดขึ้นมาและสลายเข้าไปในตัวรูปปั้น อากาศสีดำดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกเกลียดชังอันไร้จุดสิ้นสุดจากก้นบึ่งของสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทุกตัวตน!
“ความพยายามเข้าสู่สภาวะปีศาจต้นกำเนิดด้วยพลังแห่งอารมณ์” ลูเซียนตีความสถานการณ์อย่างใจเย็น
มัลฟิวเรียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวังและเดือดดาล “เป็นฝีมือเฟอร์รากอนด์! พวกธรรมชาติเคียดแค้นเหิมเกริมเกินไปแล้ว!”
“อย่าด่วนสรุป ทำไมราชันย์โลหิตถึงเก็บอุปกรณ์พิเศษที่สะสมพลังความรู้สึกของเฟอร์รากอนด์ไว้?” ลูเซียนมองราชันย์โลหิตที่กำลังตะลึงงัน
“บางที มันอาจร่วมมือกัน หรือบางที มันต้องวางอุปกรณ์พิเศษนี้ไว้ใกล้แท่นบูชา” มัลฟิวเรียนพิจารณา
ลูเซียนยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าชั้นตำนานคนไหนบ้าพอที่จะร่วมมือกับปีศาจสองหัวที่ทะเลาะกับตัวเองได้ทุกเวลา เราจับมันได้แล้ว เราค่อยเข้าไปดูสมองของมันก็ได้”
แล้วลูเซียนก็หยุดคิด “แต่ตอนนี้ รูปปั้นนี้ต้องไม่เหลือซาก มันเป็นของสำคัญต่อการเปลี่ยนสภาวะ ไม่ว่าเฟอร์รากอนด์จะอยู่เบื้องหลังหรือไม่ก็ตาม ยิ่งเราทำลายมันเร็วแค่ไหน เรายิ่งโล่งอกได้เร็วแค่นั้น”
เผื่อว่ามัลฟิวเรียนจะมีแผนซ้อนแผน ถ้าเขาบังเอิญหลงไหลไปกับการเปลี่ยนสภาวะ ลูเซียนที่ไม่ได้สนใจในรูปปั้นนั้นแม้แต่น้อย ตัดสินใจทำลายหายนะโดยเร็วที่สุด
“เอาเลย” มัลฟิวเรียนหัวเสียกับเอลฟ์ทรยศเกินกว่าจะคิดครอบครองอุปกรณ์ชิ้นนี้ในตอนนี้
นาตาชายกดาบแห่งสัจธรรมขึ้นเล็งไปที่รูปปั้นเฟอร์รากอนด์ที่มัลฟิวเรียนโยนขึ้น ขณะที่ลูเซียนถืออุปกรณ์จันทรากาลไว้แน่น แม้จะดูสบายๆ แต่เขาก็เตรียมพร้อมเผื่อมัลฟิวเรียนโจมตีกะทันหันขึ้นมา
ในตอนนั้น ฤทธิ์อัมพาตสลายไป เจ้าหัวแพะหน้าคนของราชันย์โลหิตมองรูปปั้นด้วยความโกรธและเกรี้ยวกราด ตามแผนแล้ว มันจะโยนรูปปั้นเข้าไปยังตรงกลางของแท่นบูชา และเล่นละครว่ากำลังทำลายหลักฐานขณะที่แกล้งทำเป็นเพลี้ยงพล้ำ แล้วรูปปั้นจะไม่อาจถูกทำลายได้ หากเข้าสู่สภาวะอากาศของหัวใจธรรมชาติ และมัลฟิวเรียนจะแยกรูปปั้นออกมากได้ด้วยพลังธรรมชาติเท่านั้น หากเป็นไปตามนั้น การปลุกพิธีกรรมจะสำเร็จ และภารกิจของมันก็เสร็จสมบูรณ์
แต่ทำไมมันถึงล้มเหลวไม่เป็นท่า?
มันเองก็ไม่เข้าใจ!
มัลฟิวเรียนมองไปที่แท่นบูชา ขณะที่นาตาชาทำลายรูปปั้นด้วยดาบแห่งสัจธรรม เขาเห็นว่ารูปแบบปริศนากระจายตัวออกจากแท่นบูชา และจมลงไปในดิน และความว่างเปล่าบนเนินสูงสการ์เล็ต กลายเป็นวงเวททรงลูกบาศก์ขนาดยักษ์
“เหมือนกับวงเวทการผันแปรสถานะในทวารานาจักรมาก…” ลูเซียนคิดในใจ
ตามคาด มวลอากาศสีเขียวชอุ่มปรากฏขึ้นกลางแท่นบูชา พลังชีวิตที่มันแผ่ออกมาสร้างต้นอ่อนสีเขียวขึ้นภายในแท่นบูชา
ภายในมวลอากาศเต็มไปด้วยจุดสีดำ มวลอากาศนั้นถูกพลังลบและมวลความยุ่งเหยิงจากนรกแทรกแซงเข้ามาได้บางส่วน
จู่ๆ ร่างนาตาชาก็ดูมัวและวูบหายไปพร้อมกับดาบเงินในมือ ก่อนที่นางจะลงดาบฟันรูปปั้นสีดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ในการป้องกันการรวมตัวของความรู้สึกลบ วิธีที่ง่ายและได้ผลดีทีสุดคือ ‘ดาบแห่งสัจธรรม’!
มัลฟิวเรียนขว้างรูปสลักไม้ออกมาสองสามตัว ซึ่งกลายเป็นปีศาจสีเขียวคล้ำ พุ่งทะยานเข้าไปตรงกลางของแท่นบูชา พยายามจะดึงชั้นอากาศของหัวใจธรรมชาติออกมา
ท้องฟ้ามืดครึ้มลงในทันใด และหัวลิงบาบูนก็ปรากฏออกมาจากความมืดมิด ตาสองข้างของมันปิดอยู่ และใบหน้าของมันเต็มไปด้วยเกล็ด
ขณะเดียวกัน มือขนาดยักษ์มือหนึ่งก็ดิ่งลงมาจากท้องฟ้า และคว้าเอารูปปั้นนั้นไป ไม่แยแสดาบของนาตาชา!
โคลนบนเนินสูงสการ์เล็ตที่ชุ่มไปด้วยเลือดก็แตกสลาย ราวกับว่ามันไม่อาจทนต่อแรงกดดันได้อีกต่อไป เสียงเพลงแห่งความโกลาหลและความชั่วร้ายดังก้องออกมาจากสุญญากาศ ดูเหมือนจะเป็นเพลงสรรเสริญความมืดและการสาปแช่งที่สรรเสริญผู้นำปีศาจ!
จากความมืดโดยรอบ หนวดปลาหมึกสีดำยั้วเยี้ยก็เคลื่อนใกล้เข้ามา ทุกสิ่งที่มันสัมผัสจะเหี่ยวแห้งและเน่าเปื่อยกลายเป็นโคลน
เวลาบนจันทรากาลยังคงเดินไปๆ บนข้อมือขวาของลูเซียน ด้วยความระแวดระวังต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาขยับนิ้วหัวแม่มือ
หลังจากเสียงแตก หนวดปลาหมึกสีดำยั้วเยี้ยก็หยุดนิ่งในที่ที่มันอยู่ สีของมันซีดลง ดินราบที่กำลังยวบยาบก็หยุดลง หินที่กำลังเน่าเปื่อยและปีศาจไม้ต่างก็เสื่อมสลายไปตามวิถีของตน
บทเพลงสรรเสริญความมืดเงียบไป ฝ่ามือยักษ์ที่เต็มไปด้วยเกล็ดหยุดนิ่งค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
ท่ามกลางอิทธิฤทธิ์ของ ‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ จู่ๆ หัวลิงบาบูนบนท้องฟ้าก็ลืมตาขึ้น!
ในแววตาของมัน สีเขียว แดง และทองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็ว ให้สัมผัสได้ถึงหายนะและความเลวทราม
เปรี๊ยะ โลกสีขาวดำสลายไป และสีทั้งหมดก็หวนกลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่สภาวะที่เคยเป็นก่อนหน้าที่จันทรากาลจะทำงาน!
มันทำลาย ‘เวทหยุดเวลาขั้นสูง’ ได้!
“เจ้าชายแห่งปีศาจ…” มัลฟิวเรียนและลูเซียนต่างรู้ตัวตนของปีศาจ
…
“โธ่เอ๊ย ข้าคิดอยู่แล้วว่าราชันย์โลหิตพึ่งพาไม่ได้! มันพลาดอะไรอีกล่ะครั้งนี้?” หลังจากรอยยิ้มหายไป แลงค์เชียร์ก็สบถออกมา
เฟอร์รากอนด์กำลังหมดหวัง เขาขับอำนาจปีศาจออกไปได้เพียงบางส่วนเท่านั้น และขยับเขยื้อนตัวไม่ได้จากพิษบาดแผลสาหัส โอกาสทองที่จะหนีเอาตัวรอดหมดไปแล้ว!
แลงค์เชียร์ไม่ยอมประมาทอีกหลังจากเหตุไม่คาดฝัน เขาจับตัวเฟอร์รากอนด์ไว้ ก่อนที่จะเดินวนไปวนมาด้วยความกังวล รอให้แท่นพิธีกรรมบนเนินสูงสการ์เล็ตถูกปลุก
ทันใดนั้น สีเขียวคล้ำก็ปรากฏขึ้นในสุญญากาศ และเส้นสายสีเขียวที่ถูกล้อมรอบด้วยอากาศลบแผ่ออกไป ก่อเป็นวงเวทแสนซับซ้อนโดยมีเฟอร์รากอนด์เป็นศูนย์กลาง
ถอนหายใจโล่งอก แลงค์เชียร์ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ในที่สุด!”
ร่างของเฟอร์รากอนด์พร่ามัว ใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวปรากฏด้านล่างของสีเขียวนั้น แสงสว่างปรากฏบนผืนหน้า
แลงค์เชียร์หยิบอุปกรณ์มากมายออกมาจากกระเป๋าเวทมนตร์ ทำขั้นตอนสุดท้ายของพิธีกรรม เขาไม่ได้ตั้งเป้าจะกลายเป็นมนุษย์ครึ่งเทพในทันที แต่หวังว่าจะเพิ่มพลังสู่ระดับสูงสุดของชั้นตำนาน แน่นอนว่าเขาสะเพร่าถึงขนาดพึ่งพาวิธีที่ยังไม่ได้ยืนยันผล
เส้นสีเขียวคล้ำสกปรกเรืองแสงขึ้นทีละเส้นๆ ก่อตัวเป็นวงเวทปริศนาที่ซับซ้อนอีกวง โดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง
“แลงค์เชียร์ เจ้าชั่ว!” เฟอร์รากอนด์ตะโกนอย่างสิ้นหวัง
แลงค์เชียร์ยิ้ม “ดีมาก รักษาระดับความโกรธไว้”
เขายื่นมือขวาออกไปกดลงตรงกลางวงเวท เชื่อมต่อวงเวททั้งสอง แสงและเงาผสานกันด้วยพลังที่ไหลเวียน
จู่ๆ อากาศโดยรอบก็เรืองแสงสีเขียว และรูปแบบเวทรอบตัวเฟอร์รากอนด์ก็เคลื่อนออกและรวมเข้ากับวงเวทรอบตัวแลงค์เชียร์!
รัศมีเรืองแสง ขังแลงค์เชียร์ไว้กลางวงเวท
“เกิดอะไรขึ้น?” แลงค์เชียร์สับสนงุนงง ไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เฟอร์รากอนด์ตื่นตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงใหม่นี้ ซ้ำยังสงสัยว่าทำไมเขาถึงรอดมาได้!
จู่ๆ วงเวทก็แผ่รังสีออกมา และพลังดูเหมือนจะกระจัดกระจายไปทั่ว สีเขียวก็กลายเป็นโปร่งแสง แสดงสภาวะของหัวใจอีกดวงหนึ่ง
มันเป็นหัวใจสีเขียวที่กำลังเต้นอยู่ ภายในหัวใจ หญิงสาวงามสง่าในชุดใบไม้กำลังยืนอยู่ ผมสีทองของนางเป็นประกาย และผิวของนางมีสีเขียวเคลือบบางๆ แววตาหนักแน่นและใบหน้าศักดิ์สิทธิ์
“ราชินี!”
“ราชินี!”
แลงค์เชียร์และเฟอร์รากอนด์ตะโกนออกมาด้วยความตกตะลึง
……………………………………………………..