บทที่ 284-285 : สงครามเทพปีศาจ (9)
“……”
มูยองยืนงงใช้มือที่ถูกเผาไหม้เกรียมเป็นแผลเหวอะหวะลูบใบหน้าของตน
‘ฉันยังไม่ตาย?’
มูยองขมวดคิ้วและครุ่นคิด
เขาถูกเดียโบลที่ฟื้นขึ้นจากความตายฆ่าไปแล้ว
ความรู้สึกที่เขาหลับตาลงรับความตายนั้นยังคงอยู่
“อร๊าย ที่รักของวูฮียังมีชีวิตอยู่!”
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกก็คือ มูยองเห็นภูติบินอยู่ตรงหน้า หรือว่านี่เป็นความฝัน?
ยังไงก็ตามมูยองสะบัดความคิดเหล่านั้นออกไปเพราะเขารู้ดีว่านี่เป็นความจริง
‘การทดสอบทั้งเจ็ด’
มูยองคิดว่าได้ยินมันหลังจากที่ลืมตา ‘การทดสอบทั้งเจ็ด’ มันเป็นสิ่งที่ได้มาจากดอพเพลแกงเกอร์ พลังในตำนานที่สามารถทำให้คืนชีพได้ถึง 7 ครั้ง ยังไงก็ตามมีการลงโทษสำหรับการฟื้นคืนชีพแต่ละครั้ง
หน้าต่างแจ้งเตือนจากตัวแสดงสถานะเด้งขึ้นยำเตือนความทรงจำของมูยอง
ชื่อสกิล: ‘การทดสอบทั้งเจ็ด’ (None)
ราชันอมตะได้เอาชนะสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และการทดลองเจ็ดครั้งที่เป็นอันตรายจนได้รับเจ็ดชีวิต
ชีวิตที่เหลือ: หก
สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญสำหรับการฟื้นคืนชีพทุกครั้ง
แล้วมูยองเสียสิ่งสำคัญอะไรไป? เขาไล่ดูข้อมูลในหน้าต่างแสดงสถานะ แต่ไม่ว่าจะเป็นสเตตัสหรือสกิลยังอยู่ครบไม่ขาดหาย
“ที่รัก!!! เป็นห่วงแทบแย่ ไม่ต้องกังวลไปนะ วูฮีมีวิธีทำลายเจ้านั้นแล้ว ”
“เธอเป็นใคร?”
มูยองกุมขมับ ตอนนี้ศีรษะของเขาปวดมากกว่าตอนที่ร่างกายพังทลายเสียอีก
“เอ๋ะ?”
ภูติน้อยนิ่งอื้งราวกับรูปปั้นเมื่อได้ยินคำถามของมูยอง
“ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่ช่วยหลบหน่อย ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับเธอ”
มูยองบังคับตัวเองให้ลุกขึ้น ถึงยังไม่หายดีแต่เขายังคงอยู่ระหว่างการต่อสู้และไม่มีเวลาพัก มูยองยังเหลืออีกหกชีวิต เขาคิดว่าเดียโบลก็คงไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อย่างไร้ขีดจำกัดหากมีพลังคล้ายกับตน
‘มาดูกันว่าใครจะจบก่อนใคร’
มูยองคว้าความโกรธเกรี้ยวขึ้นโดยไม่สนใจเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บเมื่อพลังของเขาไหลผ่านตัวดาบ
คริมสันบาร็อคคำรามก้องเมื่อเห็นว่ามูยองฟื้นคืนชีพ สภาพของคริสันบาร็อคตอนนี้น่าสดสยองมาก แต่มันกลับดูไม่เจ็บปวดใดๆเมื่อเห็นว่ามูยองกลับคืนมาจากความตาย ทว่าหลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ร่างของมันก็พังครืนแหลกสลาย การที่มันทนมาจนถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ส่วนอาม่อนกับเกรโมรี่ก็ยังล้มลงไปก่อนหน้านี้แล้ว
‘ฉันเป็นคนเดียวที่ยังรอด?’
มูยองยังรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด ในขณะที่อาชานรกยืนอยู่ข้างๆส่งเสียงฮี้ๆราวกับจะบอกอะไร
“แกคืออาชานรก”
มูยองแทบจะจำมันไม่ได้ และเวลาก็ดูเหมือนจะไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ความทรงจำของเขาพร่าเลือน มันเป็นผลข้างเคียงของการฟื้นคืนชีพ? หรือเป็นแค่ผลกระทบชั่วคราว? ยังไงก็ตามมูยองส่ายหัวนี่เวลาที่จะมาครุ่นคิดเรื่องพวกนี้
ยูนิคอร์นหลายร้อยตัวรวมตัวกันรอบๆอาชานรกพยายามพื้นฟูพลังให้มูยอง
“ แกไม่มีความจำเป็นต้องคอยช่วยเหลือฉันแล้วนี่”
อาชานรกไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่สนับสนุนมูยองอีกต่อไป เพราะเขาได้รับความช่วยเหลือมาแล้วสามครั้งตามพันธะสัญญาของคิงสเลเยอร์ นอกจากนั้นคิงสเลเยอร์ยังตายไปแล้วอีกด้วย ตอนนี้อาชานรกเป็นอิสระ ยังไงก็ตามมันไม่ยอมฟังคำพูดของมูยอง
อาชานรกกระโจนเข้าใส่เดียโบลก่อนที่มูยองจะพร้อมเสียอีก นิสัยของมันเป็นแบบนั้นมาโดยตลอด มันชอบทำตามความต้องการของตัวเองแทนที่จะฟังมูยอง
มูยองสยายปีกออกอีกครั้ง
เขายังไม่ล้มลม และยังมีแรงเหลืออยู่ ดังนั้นมูยองจะสู้ต่อไป
ดาบแห่งความโกรธเกรี้ยวฟันผ่านความว่างเปล่าด้วยเสียงหวีดหวิว สร้างคลื่นกระแทกขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนร่างของเดียโบล เดียโบลคำรามขึ้นอีกครั้ง และจากนั้นการต่อสู้ระหว่างสัตว์ประหลาดในตำนานก็ดำเนินต่อไปอีก
“ที่รัก…”
วูฮีอึ้งไปชั่วขณะและจ้องไปที่ด้านหลังของมูยอง เขาถามว่าเธอเป็นใครได้อย่างไร? เขาลืมเธอจริงๆหรือ? ถึงจะเป็นเวลานานที่พวกเขาไม่ได้พบกัน แม้มูยองมักจะไม่ยินดียินร้ายต่อวูฮี แต่เขาไม่เคยถามวูฮีว่าเธอเป็นใคร ขนาดวูฮีที่มักมองโลกในแง่ดียังรู้สึกเศร้าในจุดที่เธอยืนอยู่
“ไม่เวลาที่วูฮีจะมาคิดเรื่องนี้”
วูฮีรู้สึกตัวเพราะเธอรู้ว่ามูยองไม่สามารถเอาชนะเดียโบลได้ เนื่องจากเดียโบลเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น มันเป็นเทพที่ไม่มีอยู่จริง!
‘ขอให้ที่รักเชื่อฉันด้วยเถอะ’
ไม่สำคัญว่ามูยองจะลืมเธอไปแล้วหรือเปล่า เพราะวูฮีก็คือวูฮีส่วนมูยองก็ยังเป็นมูยอง วูฮีต้องอยู่กับมูยองเพราะฉะนั้นเขาจะต้องไม่ตายไปเสียก่อน และเดียโบลต้องถูกกำจัด
‘ผู้อัญเชิญต้องอยู่ใกล้ๆแน่ ’
วูฮีมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ที่นั้นล้วนนอนหมดสติ พวกเขาไม่ได้ถูกกำจัด จากนั้นเธอก็มองเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมูยองซ่อนตัวอยู่ที่มุมๆหนึ่งนั้นคือไฮเอลฟ์จินกับสโนว์
‘เป็นผู้หญิงคนนั้น!’
ปีกของวูฮีกระพือเตรียมบิน สโนว์เป็นผู้อัญเชิญเดียโบล หรือจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้นนก็คือเธอเป็นคนสร้าง “ภาพลวงตา” ที่เรียกว่าเดียโบลออกมา ถ้าอยากกำจัดเดียโบลก็ต้องจัดการทุกอย่างที่สโนว์
“ เจ้าภูติตัวน้อยกำลังจะไปไหน”
ทว่าจู่ๆโซโลมอนก็ปรากฏตัวออกมาจับปีกของวูฮีไว้ แม้โซโลมอนจะไม่สามารถแทรกแซงทางกายภาพของโลกใบนี้ได้ แต่ภูติทุกตัวรวมทั้งวูฮีนั้นอยู่ภายใต้พันธะสัญญากับโซโลมอน นั่นคือสร้างบททดสอบเพื่อให้ได้รับ ‘บ้าน’ ตามระดับความสำเร็จไรของบททดสอบดังกล่าว
“ เจ้านักต้มตุ๋น! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
“ กล่าวหาข้างั้นเหรอ?”
โซโลมอนยิ้มเยาะ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนกล่าวหาเช่นนี้ แต่นั่นก็เพราะวูฮีรู้แล้วเกี่ยวกับความตั้งใจจริงของโซโลมอนแล้ว เหตุผลที่เขาให้ภูติสร้างบททดสอบต่างๆก็เพื่อแพร่กระจาย “ความวุ่นวาย” เข้าสู่โลกใบนี้ เขาบอกว่าเหล่าภูติจะได้รับบ้าน แต่ทว่ามันเป็นเพียงสัญญาที่ว่างเปล่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่วูฮีจะเรียกเขาว่านักต้มตุ๋น
“ ปล่อยฉันนะ! การถือปีกของผู้หญิงเป็นเรื่องหยาบช้านายไม่รู้รึไง!”
วูฮีพยายามขยับปีกจนหน้าแดง แต่เธอก็ขยับเขยื้อนไม่ได้สักกระเบียดนิ้ว มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วเนื่องจากภูติตัวเล็กๆไม่สามารถเทียบได้กับโซโลมอน
“ วูฮีใช่ไหม? ข้ารู้นะว่าเจ้าเป็นลูกสาวของราชาภูติ”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า! ทีนี้ปล่อยฉันได้แล้ว!”
เวลาเป็นสิ่งสำคัญ และในขณะนี้มูยองได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก โซโลมอนจ้องไปที่วูฮีด้วยความสนใจ
“ ข้ารู้นะว่าเจ้าเรียนรู้วิธีจัดการเดียโบลจากราชาภูติมาแล้ว ดังนั้นข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้หรอก”
“งี่เง่าที่สุด! ไอ้บ้า! บัดซบ!”
“ นั่นใช่คำสาปรึเปล่านะ?”
วูฮีพ่นคำหยาบทั้งหมดเท่าที่รู้ออกมา โซโลมอนไม่ได้รู้สึกอะไรหนำซ้ำยังยิ้มออกมา ในขณะเดียวกันนั้นมูยองก็ถูกกระแทกจมลงสู่พื้นดินพร้อมกับเสียงดังสนั่น ศีรษะของเขาถูกกระชากออกและเสียชีวิตทันที
อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่มูยองล้มลง ร่างกายของเขาค่อยๆเคลื่อนที่เข้าหากันใหม่และคืนชีพ
“ ดูเหมือนเขาจะมีพลังแห่งการฟื้นคืนชีพ แต่ก็สูญเสียความทรงจำบางส่วนทุกครั้งที่ฟื้นขึ้นมา”
“ ปล่อยฉันไปนะ”
“ ครั้งนี้เขาจะสูญเสียความทรงจำส่วนไหนไปบ้าง?”
โซโลมอนดูเหมือนเด็กที่พบของเล่นน่าขบขัน
“ จับตาดูให้ดีล่ะ อีกไม่นานเขาจะลืมกระทั่งเหตุผลในการต่อสู้”
โซโลมอนพบว่ามูยองน่าสนใจยิ่งนัก ครึ่งเทพที่กำลังถูกลากเข้าสู่ความมืดมิดก่อนที่จะกลายเป็นเทพนั้นเป็นฉากที่หายาก คงน่าเสียดายแย่หากโซโลมอนพลาดฉากความเจ็บปวดและสิ้นหวังของมูยองไป
“ที่รัก! ที่รักได้ยินไหม!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนของวูฮีมูยองลุกขึ้นทุกครั้งที่เขาล้มลงก่อนจะพุ่งเข้าใส่เดียโบล อย่างไรก็ตามการโจมตีของมูยองอ่อนแอลงทุกครั้งที่คืนชีพ ในทางกลับกันการโจมตีของเดียโบลรุนแรงขึ้นและเปลวไฟของมันก็ลุกโชติช่วงราวกับจะกลืนกินโลกทั้งใบ
“ เขาจะตกอยู่กับความหยิ่งทระนง และร่วงหล่นสู่ความมืดมิด”
โซโลมอนคิดว่ามูยองจะถูกบังคับให้ยอมรับช่องว่างระหว่างเขากับเดียโบล
จุดจบใกล้เข้ามาแล้ว ทุกคนเหมือนกันหมดแม้แต่คิงสเลเยอร์กับเดธลอร์ด พวกเขาล้วนไม่สามารถเอาชนะเสียงกระซิบภายในจิตใจของตัวเองได้
พวกเขาไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้และตกอยู่ในความสิ้นหวัง มูยองก็จะตกอยู่ในความมืดและอยู่กับความล้มเหลวเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
“ ที่รักวูฮีขอโทษ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะโซโลมอน”
วูฮีน้ำตาไหลพราก เธอรู้วิธีเอาชนะเดียโบลแต่เธอไม่สามารถเข้าถึงสนามรบได้เพราะโซโลมอนขวางทางอยู่ วูฮีไม่มีทางหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ได้นอกจากเฝ้าดู ความคิดที่ว่าตัวเองไร้ประโยชน์กำลังทิ่มแทงหัวใจของเธอ
“ ที่รักวูฮีขอโทษที่มาช้าเกินไป”
มูยองล้มลงและลุกขึ้นทันที เขาเป็นแบบนี้กี่ครั้งแล้ว? มูยองจำไม่ได้ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงต่อสู้กับความน่าสิ้นหวังเช่นนี้
‘ฉันต้องสู้’
มูยองคิดเพียงว่าเขาต้องฆ่าเดียโบลให้ได้ มูยองพยายามกางปีกออกแต่ก็พบว่าตัวเองไม่มีแรงเหลือแล้ว เขาพยายามใช้มือยันตัวเองขึ้น และมองดูสภาพแวดล้อมรอบตัว มีศพซึ่งถูกเผาไหม้อยู่ทุกหนแห่งกองเป็นภูเขา มีเพียงความตายเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ทุกชีวิตต่างเข่นฆ่าและล้มตาย
‘ฉันคงเหมือนกับทุกคน’
มูยองยกดาบขึ้นตามสัญชาตญาณเท่านั้น ศัตรูของเขาทั้งแข็งแกร่ง มีขนาดใหญ่โต และรวดเร็ว นอกจากนั้นมันยังสามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เดียโบลยังคงฟื้นขึ้นมาไม่ว่ามูยองจะฆ่ามันไปกี่ครั้งก็ตาม มันเป็นช่วงเวลาที่มีเสียงกระซิบของใครบางคนบอกมูยองให้ยอมแพ้ซะ เสียงนั้นบอกให้เขาพักและพอได้แล้ว มันยังบอกเขาด้วยว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่มูยองมาได้ไกลขนาดนี้ และความตายอีกแค่ครั้งเดียวทุกอย่างก็จะจบลง
‘จริงหรือเปล่านะ?’
ทุกอย่างจะจบลงใช่ไหม? แล้วมันจะจบลงยังไงนะ? มูยองรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาจำชื่อตัวเองไม่ได้จริงๆแล้วเขาจำอะไรไม่ได้เลย เสาขนาดใหญ่ที่สร้างจากเปลวเพลิงพุ่งสูงขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามของเดียโบลราวกับกำลังกลืนกินโลกนี้
มูยองยกดาบขึ้นและก้าวไปข้างหน้า เขาต้องสู้และเอาชนะเดียโบล มูยองไม่เคยรู้จักความสิ้นหวังและความล้มเหลว แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือมูยองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
เสียงกระซิบขอให้มูยองหยุดและยอมแพ้ ‘คุณทำได้ดีแล้ว’ ความมืดมิดกระทั่งกำลังปลอบโยนมูยอง
เดียโบลบดขยี้ร่างของมูยองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในขณะที่มูยองกำลังจะหมดลมหายใจ สายตาของเขาก็พบกับภูติตัวเล็กที่กำลังจ้องมองมาที่เขา
‘ทำไมภูติตัวนั้นถึงได้ร้องไห้? ‘
มูยองไม่รู้คำตอบของคำถามนี้ ขณะที่ภูติตัวน้อยยังคงร้องไห้และกล่าวคำเสียใจ ที่เธอบอกว่ามาช้าเกินไปและตอนนี้ทำได้แค่มองดูคืออะไร? พอมาลองคิดดูมูยองก็จำภูติที่มักร้องไห้ทุกๆวันได้ ภูติตัวนั้นมักทำให้เขาหงุดหงิดและรำคาญ แต่มูยองกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปเมื่อเธอไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เกิดความอบอุ่นที่มูยองไม่ได้รู้สึกมานาน ภูติเหล่านี้ไม่มีร่างทางกายภาพแต่เธอก็มอบอบอุ่นให้ได้
ใช่แล้วฉันจำชื่อของเธอได้…เมื่อสายตาของมูยองได้พบกับภูติน้อยอีกครั้งเขาก็ยิ้ม
“ วูฮี”
<เอาชนะการทดสอบทั้งเจ็ดได้แล้ว>
<ร่างกายของผู้เป็นอมตะเสร็จสมบูรณ์แล้ว>
<คุณได้รับ ‘เทพราชันอมตะ’>