ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม – บทที่188 ประวัติศาสตร์อันดำมืดของบริษัทเสิ้งติ่ง

บทที่188 ประวัติศาสตร์อันดำมืดของบริษัทเสิ้งติ่ง

บทที่188 ประวัติศาสตร์อันดำมืดของบริษัทเสิ้งติ่ง

มู่น่อนน่อนได้ยินอย่างนั้น จึงหันไปมองเฉินถิงเซียว

ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าคุณท่านเฉินไปกล่อมเฉินถิงเซียวมาตอนไหน อยากให้เขากลับไปบริษัทเฉินซื่อ แต่คำพูดของกู้จือหยั่น เธอเข้าใจมันดี

เธอมองเฉินถิงเซียวอยู่สักพัก กว่าจะเอ่ยพูดออกไปช้าๆ “อันที่จริงคุณคิดจะกลับไปบริษัทเฉินซื่อตั้งนานแล้ว? เพียงแต่ไม่เคยได้ตอบรับคุณปู่ออกไปเลย จงใจให้ท่านมาให้ฉันกล่อมคุณ ใช่มั้ยคะ?”

ไม่รอให้เฉินถิงเซียวได้พูดออกมา เธอก็ได้พูดต่อออกมาอีกว่า “อย่างนี้แล้ว คุณปู่จะเปลี่ยนมุมมอง…ที่มีต่อฉันให้ดีขึ้น”

คำพูดตรงท่อนหลัง มู่น่อนน่อนชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกไป

เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนไปอย่างสนใจ “พูดต่อสิ ยังมีอีกนี่?”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณปู่จะมาบอกให้ฉันไปกล่อมคุณ?” ตอนที่เธอกับเฉินถิงเซียวกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิน ถึงแม้ว่าคุณปู่จะไม่ได้ไม่ชอบเธอ แต่ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่าชอบเท่าไหร่นัก

ถึงยังไงคุณท่านเฉินก็มีชีวิตน่าชมเชยมาตลอด ไม่ว่าจะคนแบบไหนก็เห็นมาหมดแล้ว เธอแค่เด็กสาวคนนึง ถ้าไม่ใช่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเฉินถิงเซียว คุณปู่ของเขาคงไม่มีทางส่งสายตาจริงจังมาให้เธอเลยแม้แต่น้อย

เพียงคำพูดแค่ประโยคเดียวของเฉินถิงเซียว ก็ได้ยืนยันความคิดของมู่น่อนน่อนแล้ว

“เขาไม่มาหาคุณ หรือจะต้องไปให้ลูกชายของเขามากล่อมผม?” เฉินถิงเซียวหรี่ตาลง น้ำเสียงสงบนิ่งเสียจนไม่เหมือนกับกำลังพูดถึงพ่อของเขาอยู่เลย แค่เพียงกำลังพูดถึงคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันคนนึง

พูดอย่างนี้แล้ว ก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละ

ความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับเฉินชิงเฟิงตึงเครียดเสียขนาดนั้น แน่นอนว่าคุณท่านเฉินจะต้องรู้ตรงจุดนั้นอยู่แล้ว เมื่อเทียบกันแล้วมู่น่อนน่อนนั้นกลับใกล้ชิดกับเฉินถิงเซียวกว่าสักหน่อย

คุณท่านเฉินไม่มีใครแล้วจริงๆ จึงได้มาหาเธอ…

พอคิดอย่างนั้นแล้ว ความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของมู่น่อนน่อนก็รู้สึกบอกไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย

เธอทอดถอนหายใจแล้วเอ่ยพูดออกไป “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…”

เฉินถิงเซียวกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ยื่นมือออกมาลูบศีรษะเธอเบาๆ “ความจริงแล้วเดิมทีผมก็ไม่ได้เต็มใจที่จะกลับบริษัทเฉินซื่อหรอก เพียงแต่คุณปู่ก็แสดงความจริงใจออกมาถึงขนาดนี้แล้ว มาหาผมถึงบ้าน ผมทำได้เพียงตอบรับไปเท่านั้น”

ความจริงแล้วการกลับไปที่บริษัทเฉินซื่อในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ มันทั้งเหมาะสมและไม่เหมาะสม

เรื่องที่เขาสืบหาพอจะมีเบาะแสขึ้นมาบ้างพอดี ถ้ากลับบริษัทเฉินซื่อไปตอนนี้ ถ้าอยากสืบเรื่องพวกนั้นอีก ก็จะต้องใช้เวลาสักหน่อย จะต้องระมัดระวังกว่าเดิมอีกนิด

อีกด้านนึง บริษัทเฉินซื่อนั้นเป็นกิจการของตระกูล คนตระกูลเฉิน แทบจะทำงานกันอยู่ที่บริษัทเฉินซื่อทั้งนั้น

เรื่องแม่เมื่อตอนนั้นถ้าไม่พ้นที่จะเกี่ยวข้องกับคนตระกูลเฉินขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นแล้ว เขากลับไปที่บริษัทเฉินซื่อก็ถือว่าเป็นโอกาสดีอย่างหนึ่งเหมือนกันที่จะสามารถทำให้เขาสืบเรื่องคนของตระกูลเฉินพวกนั้นได้สะดวกมากขึ้น

ความวกวนในนี้ มู่น่อนน่อนคิดไม่ถึงอยู่ชั่วขณะ

ถึงแม้ว่าเธอบอกว่าจะอยากช่วยเฉินถิงเซียว แต่ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้เข้าใจต่อเรื่องนี้มากมายนัก

ตอนที่เฉินถิงเซียวพูด แขนก็วางอยู่บนพนักโซฟาด้านหลังของมู่น่อนน่อน ทั้งสองคนนั่งใกล้กันมาก ไม่มีการกระทำที่ใกล้ชิดกันไปกว่านี้ แต่บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนกลับดูสนิทสนมกลมเกลียวกันจนเหมือนกับว่าไม่มีใครก็แทรกเข้ามาไม่ได้…

ในฐานะที่เป็นคนโสด กู้จือหยั่นเห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างมาก “พอๆ พวกนายอย่ามาแสดงความรักลึกซึ้งกันอย่างนี้สิ เห็นแล้วมันน่ารำคาญ! พวกเรามาคุยเรื่องคำค้นหาครั้งนี้กันต่อเถอะ”

ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เสิ่นเหลียงพูดคำพูดนั้นออกมา กู้จือหยั่นก็ไม่ได้เจอหน้าเธอนัก

บางครั้งเจอกันที่บริษัท เสิ่นเหลียงก็ทำราวไม่รู้จักกัน รีบเดินออกไป

แต่กู้จือหยั่นนั้นก็อยากเผด็จการให้เหมือนกับเฉินถิงเซียวหยาบคายไร้เหตุผลสักหน่อยแล้วแบกเธอกลับบ้านไปซะ

แต่สถานการณ์ของเขากับเฉินถิงเซียวนั้นต่างกัน

น้ำเสียงของคำพูดในวันนั้นของเสิ่นเหลียงเด็ดขาดอย่างมาก กู้จือหยั่นรู้จักเธอดี เพราะว่ารู้จักดีนี้เอง ภายในใจก็เลยรู้สึกกลัวขึ้นมา

ยิ่งกลัว ก็ยิ่งระวัง ไม่กล้าทำไปตามอำเภอใจ

ตอนที่ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาเองก็จะไปลอบเยี่ยมดูสถานที่ทำงานของเสิ่นเหลียง มองอยู่ไกลๆ ก็รู้สึกพอใจแล้ว

แต่ความพอใจ หลังจากที่เห็นคู่เฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนที่หวานกันจนเลี่ยนแล้ว ก็ได้กลายเป็นความหงุดหงิดและไม่พอใจขึ้นมา

กู้จือหยั่นส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย เก็บความคิดกลับไป “ฉันคิดว่า ไม่บริษัทที่เป็นศัตรูกับพวกเรา ฉันก็สงสัยว่ามีโอกาสที่จะเป็นบริษัทเดิมของเสิ่นเสี่ยวเหลียง เมื่อก่อนพวกเขาก็ยังคิดจะฉกราชาภาพยนตร์ซือของเราเลย”

บริษัทเดิมของเสิ่นเหลียงกับบริษัทเสิ้งติ่งก็มีความสัมพันธ์ที่แข่งขันกันมาโดยตลอด พวกเขาถึงขนาดที่ยังเคยพยายามที่จะแย่งซือเฉิงหยู้ไปด้วย

แต่นี่มันก็เป็นได้แค่เพียงความฝันลมๆแล้งๆ อย่าเพิ่งพูดถึงความสัมพันธ์ของซือเฉิงหยู้กับเฉินถิงเซียวก่อนเลย ไม่ว่าศิลปินคนไหนที่คิดถึงอนาคตก็จะเลือกบริษัทเสิ้งติ่งกันทั้งนั้น

ถึงแม้ว่าบริษัทเดิมของเสิ่นเหลียง ในแวดวงบันเทิงจะเป็นบริษัทใหญ่ที่มีอยู่เพียงหยิบมือด้วยเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับบริษัทเสิ้งติ่งแล้วก็ยังด้อยกว่าอยู่ช่วงนึง

กู้จือหยั่นพูดจบ เห็นเฉินถิงเซียวเอาแต่ไม่พูดอะไรออกมา เงยหน้าขึ้นไปถามเขา “ถิงเซียว นายคิดว่าไง?”

เฉินถิงเซียวมีสีหน้าลังเลใจแยกแยะไม่ถูกอยู่สักพัก เอ่ยออกไปว่า “ยืดเวลาเพื่อสืบดูทางด้านนั้นสักหน่อยก็ได้”

พูดจบ เขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “ยังติดต่อพี่ใหญ่ไม่ได้?”

“ยังไม่ได้ ที่นั่นมันเป็นที่ทุรกันดาร ตอนแรกพวกเราก็ไม่ให้เขาไป แต่เขาก็จะไปให้ได้ ไม่มีแม้แต่สัญญาณ ยังไม่กลับมาสักพัก”

กู้จือหยั่นพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็รู้สึกเกิดโทสะขึ้นมาเล็กน้อย “ราชาภาพยนตร์ซือคนนี้นี่นะ ปกติแล้วก็พูดง่ายอยู่หรอก แต่พอเจอกับเรื่องที่เขาอยากทำเป็นพิเศษ ดื้อรั้นเสียเหมือนอย่างกับวัวไม่มีผิด ไม่ว่าจะฉุดดึงยังไงก็ไม่กลับมา”

เฉินถิงเซียวขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร

ผ่านไปได้สักพักกว่าเขาจะพูดออกมา “ติดต่อไม่ได้ไม่เป็นไร มอบให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ไปก็ได้ ทางที่ดีจะต้องจัดการให้เรียบร้อยภายใน12ชั่วโมง”

“แต่ถ้าเขาสามารถออกมาชี้แจงสักหน่อยได้ มันก็จะยิ่งดีกว่า” กู้จือหยั่นถึงแม้ว่าจะคิดว่าคำพูดขิงเฉินถิงเซียวมันถูกต้องแล้ว แต่ถ้าให้ตัวซือเฉิงหยู้มาชี้แจงสักหน่อยมันจะดีมาก เรื่องมันจะได้ง่ายลงหน่อย

“ไม่มีประโยชน์” สีหน้าของเฉินถิงเซียวที่ลุ่มลึกออกมาอยู่หลายส่วน “ความคิดเห็นของมหาชนบนอินเทอร์เน็ตตอนนี้ไม่ได้พุ่งเป้ากันไปที่พี่ใหญ่ แต่ได้พุ่งเป้ามาที่บริษัทเสิ้งติ่ง ถ้าให้พี่ใหญ่ออกมาชี้แจงตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องทำให้พวกเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่พวกเราบริษัทเสิ้งติ่งบังคับพี่ชายใหญ่กัน”

มู่น่อนน่อนได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วออกมา ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำยังไง ต่างก็ปิดปากของคนพวกนั้นไม่ได้เลย กู้จือหยั่นอดไม่ได้ที่จะระเบิดคำหยาบออกมา “แม่ง! แล้วมันจะทำยังไงได้อีก?”

“ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงตอนนี้ ก็สามชั่วโมงไปแล้ว บนเน็ตยังมีการเผยแพร่กันอยู่ เชื่อว่าถ้าผ่านไปอีกสักสองสามชั่วโมง ก็จะมีชาวเน็ตเริ่มขุดประวัติศาสตร์ด้านมืดของบริษัทเสิ้งติ่งกันขึ้นมา ไม่ว่าข้อมูลพวกนั้นจะจริงหรือเท็จ พวกเขาก็ไม่มีทางจะสนใจกันหรอก และสุดท้ายแล้วคนที่เสียหายก็จะเป็นเสิ้งติ่ง”

สีหน้าของเฉินถิงเซียวกำลังวิเคราะห์อยู่อย่างสงบนิ่ง สีหน้าไม่มีความตื่นตระหนกออกมาเลยแม้แต่น้อย

ช่วงนี้กู้จือหยั่นมีความกดดันอย่างมาก พอได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ทั้งร่างก็ทรุดกลับลงไป “เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นครั้งสองครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มันก็ยังเกี่ยวโยงไปที่ราชาภาพยนตร์ซือกับมู่น่อนน่อน ก็เลยยุ่งยากนิดหน่อย…”

“ฝ่ายประชาสัมพันธ์ควรทำอะไรก็ทำไป ฉันกลับก่อนล่ะ” เฉินถิงเซียวพูดจบ ก็ดึงมู่น่อนน่อนเดินออกไปข้างนอก

ด้านหลังตามมาด้วยเสียงโอดครวญของกู้จือหยั่นดังขึ้น “เชี้ย คุณชายมู่คุณไม่สนใจเรื่องนี้เลยหรอครับ! ฉันคนเดียวรับมือไม่ทันอยู่แล้ว!”

มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเสียงนี้ของกู้จือหยั่นดูเศร้าเกินไปแล้ว มู่น่อนน่อนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นออกมา เอ่ยถามเสียงเบาออกไป “คุณไม่สนใจจริงๆหรอคะ?

ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม

ฉัน….เป็นเจ้าสาวจอมปลอม

Status: Ongoing

แม่ของมู่นอนน่อนคุกเข่าลงต่อหน้าของเธอ ขอให้เธอ แต่งงานแทนพี่สาวกับเฉินถึงเขียวผู้ชายที่ขี้เหร่และพิการที่ ชาวบ้านเล่าลือกัน ในคืนวันแต่งงาน ตอนที่เธอได้พบหน้า หล่อเหลาของชายคนนี้เธอตกใจมาก เฉินถึงเซียวพูดตรงๆ เลยว่าเธอน่าเกลียดมากๆ เดิมที่คิดว่าคงใช้ชีวิตต่างคนต่าง อยู่ แต่กลับถูกผู้ชายคนนี้กดอยู่ใต้รางกายอย่างรุนแรง”ไหน บอกว่าคุณทำไม่ได้ไง”ผู้หญิงตกใจ” ได้หรือไม่ได้ คำพูดของ เธอ ฉันไม่นับ! “บนหน้าของเฉินถึงเชียวแสดงออกถึงความ เจ้าเสน่ห์

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท