เฉินถิงเซียวไม่พาเธอไปเยี่ยมคุณท่านเฉิน อย่างนั้นเธอก็จะไปเอง
เพียงแต่ว่าเมื่อคืนเฉินถิงเซียวบอกให้เธออยู่บ้าน อย่างนั้นจะต้องมีการแอบกำชับสั่งบอดี้การ์ดไม่ให้เธอออกไปไหนอย่างแน่นอน
ในใจเข้าใจจุดนี้ดี แต่ว่าเธอยังตัดสินใจที่จะไปลองสักตั้ง
เธอเดินไปที่หน้าประตูก็ถูกขัดขวางขึ้น
“คุณหญิงน้อยจะไปไหนครับ”
มู่น่อนน่อนเลิกคิ้วหรี่ตาเบาๆ ดูแล้วเหมือนกำลังวางอำนาจ : “ฉันจะไปไหนต้องรายงานนายด้วยเหรอ”
บอดี้การ์ดยังคงทำท่าทางเหมือนทองไม่รู้ร้อน : “คุณผู้ชายได้กำชับไว้ครับ ทางที่ดีคุณหญิงน้อยช่วงนี้อย่าได้ออกไปไหนเลยครับ ถ้าหากมีเรื่องอะไรก็รับสั่งให้พวกผมไปทำแทนก็พอครับ”
“ถ้าหากว่าฉันจะออกไปให้ได้ล่ะ”
บอดี้การ์ดโค้งคำนับ : “ขออภัยครับ”
น้ำเสียงท่าทางของบอดี้การ์ดค่อนข้างแข็งกระด้าง เห็นทีแล้วครั้งนี้เฉินถิงเซียวคงออกคำสั่งตาย ไม่ให้เธอได้ออกไปไหน
มู่น่อนน่อนก็ไม่ได้ตอแยอีกต่อไป หันหลังแล้วก็เข้าไปในคฤหาสน์ไป
เธอนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกอย่างหมดอารมณ์ ในหัวสมองว่างเปล่า
“น่อนน่อน! ฉันมาแล้ว!”
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงดังขึ้นฉับพลัน
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้นจึงหันไปดู แล้วก็เห็นเสิ่นเหลียงกำลังเดินเข้ามาหาเธอจากข้างประตู
มู่น่อนน่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย ฉับพลันก็นึกถึงคนบ้านตระกูลมู่ที่ตอนที่มานั้นถูกขวางไว้ที่นอกประตู
“พวกเขาไม่ได้ขวางเธอไว้เหรอ” มู่น่อนน่อนพลางพูดพลางตบที่นั่งข้างๆเธอสื่อให้เสิ่นเหลียงเข้ามานั่ง
เสิ่นเหลียงนั่งลงที่ข้างๆเธอ : “ไม่นิ ยังรู้จักฉันอีกด้วย ยังทักทายถามไถ่ฉันเลยนะ และปล่อยให้ฉันเข้ามา”
มู่น่อนน่อนได้ยินดังนั้น หัวสมองก็แล่นขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้น
คนบ้านตระกูลมู่มาหาถูกบอดี้การ์ดรั้งไว้ เสิ่นเหลียงมาหาบอดี้การ์ดกลับปล่อยเธอเข้ามา
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าจะต้องเป็นคำสั่งจากเฉินถิงเซียว
เสิ่นเหลียงหันไปมองมู่น่อนน่อนที่สีหน้าวิตกกังวล จึงเปล่งเสียงปลอบเธอ : “ ตอนนี้เธอก็อย่าคิดมากเลย รักษาเนื้อรักษาตัวคลอดลูกออกมาแล้วค่อยว่ากัน เรื่องใหญ่โตด้านนอกก็ปล่อยให้เถ้าแก่ใหญ่เป็นคนจัดการไป”
“เขาไม่ให้ฉันออกจากบ้านไปไหนเลย” มู่น่อนน่อนพูดด้วยความโกรธแต่ทำอะไรไม่ได้
เสิ่นเหลียงครุ่นคิดแล้วก็กล่าว : “บางทีเขาอาจจะหวังดีกับเธอก็ได้นะ ตอนนี้เรื่องคุณท่านเฉินวุ่นวายบานปลายไปทั่วทั้งเมือง เธอไม่ออกไปบางทีอาจจะเป็นเรื่องที่ดี”
“แต่ว่าฉันไม่อยากจะนั่งอยู่เฉยๆ ใครเป็นคนใส่ร้ายฉันยังไม่รู้เลย เฉินถิงเซียวกำลังคิดอะไรฉันก็ไม่รู้ เรื่องนี้เดิมทีเกิดขึ้นจากฉัน แต่ฉันกลับเป็นคนอยู่ไกลสุดจากศูนย์กลางของเรื่องราวนี้”
พูดจบมู่น่อนน่อนก็ได้พูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค : “ฉันอยากจะออกไป”
เมื่อมู่น่อนน่อนพูดเช่นนี้ เสิ่นเหลียงก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
เสิ่นเหลียงถามเธอ : “อยากจะออกไปจริง ๆ เหรอ”
“เธอมีวิธีเหรอ” มู่น่อนน่อนหันหน้ามามองเธอ
เสิ่นเหลียงขยิบตา จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังใส่ด้านนอก : “ น่อนน่อน เธอเป็นอะไร เป็นลมไปได้ยังไง”
เธอพูดจบ ก็เอื้อมมือผลักมู่น่อนน่อน : “รีบเป็น‘ลม’สิ”
คู่ดวงตาของมู่น่อนน่อนปิดลง แล้วก็แกล้งเป็นลมไป
น้ำเสียงของเสิ่นเหลียงดึงความสนใจจากบอดี้การ์ดและคนรับใช้
“คุณหญิงน้อย เป็นอะไรไปคะ”
เสิ่นเหลียงส่ายหน้า ใบหน้าตกใจ : “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป อยู่ ๆ ก็เป็นลม อย่าพูดอะไรมากเลย รีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ เธอตั้งท้องอยู่ด้วย……”
เสิ่นเหลียงนั้นถนัดเรื่องการแสดง จึงแสดงออกมาได้อย่างแนบเนียน บอดี้การ์ดไม่มีการสงสัยเลยสักนิด และส่งมู่น่อนน่อนไปที่โรงพยาบาลทันที
โรงพยาบาลที่ไปก็เป็นโรงพยาบาลในสังกัดของบริษัทเฉินซื่อ และก็เป็นโรงพยาบาลเดียวกันกับที่คุณท่านเฉินอยู่พักรักษา
เสิ่นเหลียงเองก็ย่อมตามไปด้วย
เธอนั่งอยู่เบาะหลังกับมู่น่อนน่อน จะได้สะดวกในการดูแลมู่น่อนน่อน
เมื่อไปถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ประตูรถถูกเปิดออก เฉินถิงเซียวก็ยื่นมือมาอุ้มมู่น่อนน่อนออกไปด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
เมื่อเสิ่นเหลียงเห็นเฉินถิงเซียวก็ถึงกับตะลึงงัน
ก่อนหน้านี้เพียงแค่ต้องการจะตบตาเหล่าบอดี้การ์ดเท่านั้น เธอที่คิดไม่ถึงว่าเฉินถิงเซียวจะมาเฝ้ารออยู่ที่นี่
เธอกดไลค์ในใจให้กับมู่น่อนน่อน เธอก็คงจะช่วยได้เพียงเท่านี้
เสิ่นเหลียงหยิบกระเป๋าแล้วลงจากรถ จากนั้นก็ได้ตามไป : “เถ้าแก่ใหญ่คะ”
เฉินถิงเซียวก็ไม่หันมา ยังคงใบหน้าคร่ำเครียด : “ทำไมมู่น่อนน่อนถึงได้เป็นลม”
เสิ่นเหลียงที่รู้สึกเกรงกลัวเฉินถิงเซียวอยู่แล้ว เมื่อถูกเขาถามเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกระแวงขึ้น แต่ก็ฝืนกล่าวตอบไปว่า : “ก็คืออยู่ ๆ ก็เป็นลมไป พวกเราสองคนกำลังคุยกันอยู่ดี ๆ เธอก็……เป็นแบบนี้ไปเลย……”
เมื่อพูดมาถึงตอนท้าย น้ำเสียงของเธอก็เบาลงไปอย่างไม่รู้ตัว
เฉินถิงเซียวตัวสูงใหญ่ขายาว ฝีเท้าก็ก้าวเร็ว เสิ่นเหลียงพลางพูดพลางวิ่งเธอถึงจะตามทัน
เธอแอบเหลือบมองเขาที่กำลังอุ้มมู่น่อนน่อนไว้
มู่น่อนน่อนหางตาลืมขึ้นมองไปทางเสิ่นเหลียงแล้วขยิบตาใส่ ส่งสัญญาณบอกเธอให้รีบจากไป
ตลอดทาง มู่น่อนน่อนนั้นปิดตาลง จนถึงหน้าประตูโรงพยาบาล เธอแอบลืมตาขึ้นมอง รู้ว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่คุณท่านเฉินพักรักษา ในใจก็แอบรู้สึกหน่วงๆ
ตอนที่เฉินถิงเซียวมาอุ้มเธอนั้น เธอก็รู้แล้วว่าคนที่มาอุ้มเธอจะต้องเป็นเฉินถิงเซียว
เพียงแต่ จะต้องถูกจับได้แน่ ๆ ตอนตรวจร่างกาย
เธอถูกจับได้ไม่เป็นไร แต่เสิ่นเหลียงที่ช่วยเธอคิดวิธีอาจจะต้องรับผลกระทบตกกระได……
เสิ่นเหลียงเข้าใจเจตนาของมู่น่อนน่อน แล้วก็เขกกบาลตัวเอง จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าที่ลนลาน : “ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องด่วนที่ต้องไปจัดการ เถ้าแก่ใหญ่ฉันขอตัวก่อนนะคะ……”
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่หันไปมองเธอ อุ้มมู่น่อนน่อนแล้วมุ่งหน้าวิ่งไปห้องฉุกเฉินอย่างรีบร้อน
เสิ่นเหลียงจึงได้จากไป
ตอนที่ใกล้จะถึงห้องฉุกเฉินนั้น มู่น่อนน่อนก็ได้เรียกชื่อของเขาขึ้น : “เฉินถิงเซียว”
เฉินถิงเซียวหยุดชะงักขึ้นทันใด ก้มหน้ามองมู่น่อนน่อนด้วยใบหน้าที่เย็นชา : “เป็นลมไม่ใช่เหรอ”
มู่น่อนน่อนจึงพูดตามน้ำ : “ตอนนี้ฟื้นแล้ว”
“หึ”
เฉินถิงเซียวยิ้มอย่างดูแคลน แล้วก็ปล่อยมู่น่อนน่อนลง
มู่น่อนน่อนรู้ว่าละครที่เธอแสดงคู่กับเสิ่นเหลียงนั้นถูกเฉินถิงเซียวจับได้แล้ว
โชคดีที่เฉินถิงเซียวไม่ได้โกรธถึงขนาดที่โยนเธอทิ้ง แต่กลับค่อยๆปล่อยเธอลง
มู่น่อนน่อนยืนตัวตรงแล้วก็กล่าวตรง ๆ : “ฉันอยากไปเยี่ยมคุณปู่”
เฉินถิงเซียวยกริมฝีปากขึ้นทันใด แต่ในแววตาของเขาไม่ได้มีรอยยิ้ม : “มู่น่อนน่อน เธอคิดว่าตัวเองคงจะฉลาดมากใช่ไหม”
“ไม่ฉลาดเท่าคุณ” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า
เฉินถิงเซียวเหมือนกับถูกคำตอบของเธอทำให้โมโห น้ำเสียงจึงสูงขึ้น : “อย่างนั้นก็จงกลับไป!”
“กลับไปทำอะไร กลับไปเดาความคิดความฉลาดของคุณว่ากำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ” ท่าทางของมู่น่อนน่อนหนักแน่นมาก
ทั้งคู่เงียบกันอยู่สักพัก
หลังจากที่คุณท่านเฉินเกิดเรื่อง เฉินถิงเซียวก็เฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดเวลา
หลายวันมานี้ เฉินถิงเซียวไม่ได้นอนอิ่มกินสบาย
เขาดูแล้วค่อนข้างจะอ่อนล้า แต่ว่าแววตาคู่นั้นยังคงเฉียบคม ไม่มีแม้แต่ความเหนื่อยเพลีย
เฉินถิงเซียวก็เป็นผู้ชายแบบนี้ ที่เหมือนกับว่าไม่สามารถมีอะไรที่ทำให้เขาล้มได้ แข็งแกร่งจนไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
และทุกครั้ง ที่มู่น่อนน่อนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองพอที่จะเข้าใจเขา แต่เขากลับทำเรื่องบางอย่างที่ทำให้เธอไม่เข้าใจ
เฉินถิงเซียวแข็งแกร่งเกินไป ถ้าหากเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ความคิดของเขา คนอื่นก็จะไม่มีทางรู้ได้
ทั้งคู่จ้องหน้ากันหนึ่งนาทีเต็มๆ เฉินถิงเซียวเหมือนกับจะยอมประนีประนอมให้ : “มากับผม”