บทที่ 196 มังกรอยู่ที่นี่ด้วยรึ? 1 (1)
เมฆแห่งสงครามปกคลุมไปทั่วอาณาเขตเฮนิตัส
ตั้งแต่อาณาจักรโรมันประกาศจุดยืนของตนเองทั่วทั้งทวีปตะวันตกก็ตกอยู่ในความเงียบ อย่างไรก็ตามนี้เป็นเพียงลมสงบก่อนพายุใหญ่จะพัดเข้ามาเท่านั้น
ณ เมืองเรน [1] ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทหลักของอาณาเขตเฮนิตัส
ไหล่ของชาวบ้านในเมืองต่างคู้ลงด้วยความหวาดกลัว ชาวบ้านที่กำลังเดินอยู่ตามลำพังหรือชาวบ้านที่เดินจับกลุ่มกันต่างมีสีหน้าแปลกๆ มันมีทั้งความหวาดกลัว ความกังวลและแม้แต่อารมณ์ต่างๆก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้า เป็นเพราะอากาศที่กำลังหนาวจัดทำให้หนึ่งในชาวบ้านที่เดินจับกลุ่มกันอยู่นั้นกระชับเสื้อกันหนาวของตนแน่นขึ้นก่อนจะกวาดสายตาไปมองรอบๆ
เขามองเห็นกำแพงเมืองที่มีป้อมปราการหลังใหม่ มันเป็นกำแพงเมืองที่ค่อนข้างสูงและแข็งแรง มีทั้งทหารและอัศวินกำลังเดินลาดตระเวนอยู่บนกำแพงเมือง
ก่อนที่สายตาของเขาจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
“..ทำไมคนที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นนั้นกลับเสียสละทำอะไรเกินตัวแบบนี้กันนะ?”
เพื่อนที่เดินมาด้วยกันหยุดชะงักพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
กำแพงเมืองสูงชันถูกสร้างรอบล้อมเมืองเรนทั้งเมืองแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นกำแพงเมืองก็ไม่ได้สูงเสียดฟ้าแต่อย่างใด ท้องฟ้าสีเทาขุ่นในฤดูหนาวปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
‘ไวย์เวิร์นกำลังจะบุกเข้ามา!’
พวกเขาไม่สามารถห้ามความกลัวของตัวเองไว้ได้ อย่างไรก็ตามแสงสีเงินกลับดึงดูดความสนใจจากพวกเขาได้มากกว่าท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม
เมืองเรนมีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มากนักและตอนนี้กำลังมีโล่สีเงินรอบล้อมมันเอาไว้ อารมณ์อื่นๆที่มองเห็นบนใบหน้าของชาวบ้านนอกจากความกลัวและความกังวลแล้วก็ยังมีความโล่งอกปนอยู่ในนั้นด้วย
“..มีข่าวลือว่าเขากระอักเป็นเลือดทุกครั้งที่ใช้โล่”
“ใช่..เป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ”
เพื่อนของเขาตอบรับด้วยอาการสงบ เขายังคงมองไปที่ท้องฟ้าและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“สามวันแล้วสินะ”
อาณาเขตทางตอนเหนือของอาณาจักรโรมันกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยตั้งแต่ที่องค์ชายรัชทายาทฉายภาพของกองกำลังอัศวินไวย์เวิร์นและประกาศก้องว่าอาณาจักรโรมันจะไม่แพ้ศึกในครั้งนี้
แน่นอนว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือภูมิภาคที่มีความเสี่ยงที่สุดในการถูกโจมตี
อาณาจักรนอร์แลนด์หนึ่งในกลุ่มพันธมิตรไร้พ่ายมีพื้นที่ติดกับอาณาเขตเฮนิตัสมากที่สุดโดยมีป่าแห่งความมืดกั้นเขตแดนเอาไว้เท่านั้น นั่นคือสาเหตุที่ชาวบ้านทั้งหมดไม่สามารถเก็บอาการของตนไว้ได้นอกจากพากันตกอยู่ในภาวะสับวุ่นวายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามทั่วทั้งเมืองเรนถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงินตั้งแต่อาณาจักรโรมันประกาศโต้กลับ
พวกเขาไม่รู้ว่าสงครามจะเริ่มต้นเมื่อไหร่และโล่เงินนี้ก็ไม่เคยแม้แต่จะหยุดส่องแสงในช่วงสามวันที่ผ่านมา
“เขาไม่เหนื่อยเลยหรือที่ต้องใช้โล่ขนาดใหญ่เช่นนี้? ทำไมเขาไม่ใช้มันเมื่อตอนที่พวกเหนือบุกเข้ามาล่ะ?”
เพื่อนของเขาส่ายหน้าน้อยๆพลางตอบกลับ
“เจ้าไม่รู้เลยหรือ?ว่าที่เขาทำแบบนี้เพราะไม่ต้องการเห็นพวกเราบาดเจ็บและอาณาเขตเฮนิตัสต้องถูกทำลาย”
เขาไม่สามารถพูดอะไรกับสิ่งที่เพื่อนเขาตอบออกมาได้
สิ่งที่พวกเขามองเห็นบนท้องฟ้าคือคำอธิบายว่าเพื่อนของเขาพูดถูก แม้แต่กำแพงเมืองที่สูงชันก็มีทั้งทหารยามและอัศวินเข้าเวรอยู่ตลอดเวลา มีนักเวทย์ในอาณาจักรโรมันเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่สามารถใช้พลังเวทย์ต่อสู้กับสิ่งที่จะบุกรุกเข้ามาทางอากาศได้
นั่นคือเหตุผลที่นายน้อยคาร์ลต้องฝืนใช้พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณของตนเองจนเกินขีดจำกัด
หัวใจของเขาเริ่มรัวขึ้นด้วยความอารมณ์อันหลากหลาย ทันใดนั้นเพื่อนของเขาอีกคนก็พูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจนัก
“ข้าคิดว่าเขาเป็นเพียงขยะไร้ค่า”
เขาจึงหันไปตวาดใส่เพื่อนทันที
“เจ้าจะบ้าเหรอ! ทำไมเจ้าถึงพูดแบบนั้น!”
เพื่อนอีกคนจึงเริ่มพูดขึ้น
“หากมาคิดดูดีๆแล้ว..เขาก็แค่ขว้างขวดใส่พวกอันธพาลเท่านั้น! แล้วเราจะไปกล่าวหาว่านายน้อยคาร์ลเป็นขยะไร้ค่าได้อย่างไร?”
“ไม่ใช่ว่าเขาชอบทำลายข้าวของด้วยเหรอ? ข้าได้ยินมาว่าเขาพังประตูร้านค้าด้วยนี่น่า”
“เอ่อ..”
เขาไม่สามารถโต้กลับสิ่งที่เพื่อนเอ่ยออกมาได้
พูดกันตามตรงนายคาร์ลเคยทำตัวเป็นขยะไร้ค่าจริงๆ เราอาจไม่สามารถลบหรือเปลี่ยนอดีตของเราได้แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาดูถูกการเสียสละในปัจจุบันของเขาได้เช่นกัน
“เราต้องอยู่กับปัจจุบันสิ! ตอนนี้เขาคือนายน้อยคาร์ลของเรานะ!”
“เจ้าพูดถูก! ท่านเคานต์ของเราท่านเป็นคนดี..ดังนั้นบุตรชายของเขาก็ต้องเรียนรู้สิ่งดีๆมาจากเขาเช่นกัน”
เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนของตนพูดก่อนจะสังเกตเห็นประกาศที่ถูกติดอยู่รอบๆเมืองเรน เขาเป็นหนึ่งในชาวบ้านเพียงไม่กี่คนที่อ่านหนังสือออก
<คฤหาสน์เฮนิตัสจะแจกอาหารให้กับประชาชนจนกว่าสถานการณ์ในอาณาเขตเฮนิตัสของเราจะเข้าสู่ภาวะปกติ>
นี่คือสิ่งที่ระบุไว้ในประกาศ
คฤหาสน์เฮนิตัสจะเปิดคลังเสบียงของตนเองเพื่อแจกจ่ายอาหารให้กับชาวบ้าน
จำนวนอาหารที่ถูกกักตุนเอาไว้มีมากพอที่จะสามารถประกาศออกมาเช่นนี้โดยไม่ต้องกังวลว่าเสบียงจะขาดแคลน
ชาวบ้านผู้นี้มองไปที่ประตูเมือง
มีชาวบ้านจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองเรนเมื่อได้ข่าวโล่สีเงินของนายน้อยคาร์ล นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้แม้ว่ากองกำลังอัศวินไวย์เวิร์นจะพุ่งการโจมตีมาที่เมืองเรนไม่ใช่เมืองอื่นๆในอาณาเขตเฮนิตัสก็ตาม
พวกเขายังเลือกที่จะมารวมตัวกันในเขตการปกครองหลักของอาณาเขต
นอกจากนี้ยังมีเกวียนบรรทุกอาหารจากคลังเสบียงของคฤหาสน์เฮนิตัสมุ่งหน้าไปยังจุดต่างๆของอาณาเขตทั้งยังมีเครื่องมือการทำเกษตรรวมอยู่ในนั้นด้วย
‘เราจะเริ่มทำไร่กันทันทีที่ฤดูใบไม้ผลิมาถึง’
นี่คือสิ่งที่เคานต์เดอรัชบอกเอาไว้เมื่อทำการมอบเครื่องมือทำการเกษตรให้กับชาวบ้านและมันกำลังแพร่กระจายไปทั่วราวกับไฟป่า
ประโยคนี้ราวกับสัญญาณบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในใจของชาวบ้าน
หลังเสร็จสิ้นสงคราม!
นี่ก็เข้าสู่ปลายฤดูหนาวแล้วและฤดูใบไม้ผลิก็กำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้านี้
พวกเขาจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติในช่วงเวลานั้นได้
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง
“ข้าได้ยินว่าเขากำลังทำงานอย่างหนักแม้ว่าตัวเองจะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม”
‘ข้าขอภาวนาให้เขาทำมันออกมาได้ดีและไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆด้วยเถิด..’
‘คาร์ล เฮนิตัส’ นายน้อยของชาวอาณาเขตเฮนิตัสกำลังทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขากำลังฝืนทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาโล่เงินของเขาเอาไว้ต่อไป
ข่าวลือนี้แพร่กระจายไปทั่วอาณาเขตเฮนิตัสและภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อนจะลามไปยังส่วนที่เหลือของอาณาจักรโรมัน
.
.
.
“น่ารำคาญจริงๆ”
แน่นอนว่าคาร์ลคือคนที่กระจายข่าวลือนี้ด้วยตัวเอง
คาร์ลกำลังใช้ห้องพักในปราสาทเฮนิตัสเป็นห้องทำงานชั่วคราว เขาเอนหลังพิงกับโซฟานุ่มและเอ่ยขึ้น
“นายน้อยอีริคน่าจะทำได้ดีใช่มั้ย?”
“ขอรับ”
คาร์ลมองรอนส่งยิ้มให้กับตนและอดคิดไม่ได้ว่าเขาเป็นตาแก่ที่น่ากลัวจริงๆ แต่ก็นั่นล่ะตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีเช่นกัน
เขามีอำนาจในการสั่งการทหารอยู่ในมือก็จริงแต่มันก็เป็นเพียงแค่คอยออกคำสั่งเท่านั้น
เมื่อเขาแจ้งต่อทุกคนว่าเขาคือผู้บัญชาการทหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายน้อยอีริคและผู้นำอาณาเขตอัลบาก็เริ่มดำเนินการสิ่งต่างๆตามคำสั่งของเขาทันที นอกจากนี้ยังมีรอนคอยตรวจสอบและจัดการเรื่องต่างๆให้กับเขาอีกแรงทั้งยังมีองค์ชายอัลเบิร์กคอยช่วยเขาอีกทางหนึ่งด้วย
ในอดีตรอนเคยเป็นผู้นำตระกูลนักฆ่าซึ่งถือเป็นหนึ่งในตระกูลที่ใหญ่ที่สุดของทวีปตะวันออก เขามีประสบการณ์ในการรบและความรู้ทางการทหารมากกว่าคาร์ลหลายเท่า นอกจากนี้องค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กยังมุ่งเน้นการตั้งรับศึกมาที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะเพราะมันเป็นพื้นที่ที่มีโอกาสถูกบุกโจมตีมากที่สุด
‘อ่า..ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆที่มีคนคอยจัดการทุกอย่างให้’
คาร์ลกำลังรู้สึกผ่อนคลาย
รอยยิ้มของรอนค่อยๆเลือนหายไปเมื่อคาร์ลขยับสายตาออกจากเขาและตั้งใจอ่านเอกสารที่อยู่ตรงหน้าแทน คาร์ลกำลังตั้งใจอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับคำแนะนำในการทำศึกและสถานการณ์ภาพรวมทั้งหมดในตอนนี้
ดวงตาของรอนสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าอันซีดเผือดของคาร์ล
ปั่ก!ปั่ก!ปั่ก!ปั่ก!
มันเป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่ราอนขลุกอยู่มุมห้องพร้อมกับใช้หางฟาดกับพื้นห้องไปมา ออนและฮงก็กำลังทำสิ่งเดียวกัน เด็กๆทั้งสามในตอนนี้ต่างส่งเสียงบ่นไปยังคาร์ล
“..เจ้าเป็นคนดีแต่โง่ยิ่งนัก!”
“ราอนพูดถูก..เจ้ามันโง่!”
“ช่างน่าผิดหวังจริงๆ”
พวกมันพากันบ่นให้คาร์ลมาตลอดทั้งสามวัน ราอนจ้องไปที่แผ่นหลังของคาร์ลตาไม่กระพริบ มันเคยบอกกับคาร์ลว่าจะเป็นคนลงมือจัดการกับศัตรูด้วยตัวมันเอง
อย่างไรก็ตามคาร์ลกลับปฏิเสธมัน
‘ไม่ได้!..เจ้าอาจตกอยู่ในอันตรายหากเปิดเผยตัวเอง’
น้ำเสียงของคาร์ลหนักแน่นยิ่งนักในขณะที่มันก็ตอบกลับอย่างไม่ลังเล
‘ใครหน้าไหนจะกล้ามาทำอันตรายกับมังกรผู้ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่เช่นข้าได้?!’
ถึงมันจะยืนกรานออกมาเช่นนั้นคาร์ลก็ไม่มีแผนที่จะเปิดเผยตัวราอนให้ใครทราบ หากเขายังไม่รู้รายละเอียดของมงกุฎที่ชอบดื่มเลือดมังกรนั่นเขาก็ไม่มีทางให้ราอนเปิดเผยตัวเองเป็นอันขาดและตอนนี้เขาก็ยังไม่มีเวลาไปพบอูฮาเบ็นอีกด้วย
นอกจากนี้เขายังต้องการสร้างวีรบุรุษและวีรสตรีในสงครามครั้งนี้ นั่นจะเป็นวิธีที่ทำให้บุคคลเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขและยังช่วยให้อาณาจักรโรมันแข็งแกร่งขึ้น
ดาร์กเอลฟ์
หมอผีผู้ใช้เวทย์แห่งความตาย
เผ่าเสือ
อาณาเขตเฮนิตัส
นี่คือรายชื่อของวีรบุรุษและวีรสตรีที่คาร์ลวางแผนจะสร้างขึ้น เขาต้องการเขย่าขวัญของชาวอาณาจักรโรมันและคนทั่วทั้งทวีป เรื่องอารมณ์และความรู้สึกถือเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างสิ่งนี้
คาร์ลรีบพลิกไปอ่านเอกสารหน้าสุดท้ายก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาอีกครั้ง
แน่นอนว่าโล่นิรันดร์กาลแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม อาจเป็นเพราะมันไม่ได้มีข้อจำกัดอะไรในตอนนี้ทำให้สามารถปลดปล่อยพลังของมันได้อย่างเต็มที่ การที่จะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องขอบคุณพละกำลังแห่งดวงใจที่ทำให้เขายังรู้สึกสบายดีโดยไม่รู้สึกง่วงนอนมากนัก เพียงแค่ 1-2ชั่วโมงที่เขางีบหลับไปกว่าเพียงพอให้เขากลับมากระปรี้กระเปร่าได้อีกครั้ง
คาร์ลมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับแสดงอาการพึงพอใจ เขามองเห็นเมฆครึ้มและโล่ป้องกันที่เขาสร้างเอาไว้
ทันใดนั้นเอง
“ท่านคาร์ล..ไม่เหนื่อยหรือขอรับ?”
เป็นเชวฮันที่เอ่ยทักคาร์ลขึ้น
คาร์ลจึงหันสายตาไปมองด้านข้างทันที
‘หมอนี่ไม่รู้จักคำว่าแก่หรือไงนะ?’
เขาตั้งคำถามนี้ในใจเมื่อเห็นว่าเชวฮันยังดูเด็กเหมือนนักเรียนม.ปลายอยู่เช่นเดิมแต่ก็คิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระและปัดมันออกจากหัวอย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มตอบคำถามของเชวฮัน
“มันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้นหรอกเพราะข้ากำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับอาณาจักรของเรา”
‘ใช่..มันต้องเรียกว่าแบบนี้’
นิยายต้นฉบับกำลังถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์ นั่นคือเหตุผลที่คาร์ลเรียกมันว่าประวัติศาสตร์หน้าใหม่ โดยปกติแล้วหากจะทำเช่นนี้ได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควรแต่มันก็ไม่ได้ยากสำหรับร่างกายของเขาเช่นกัน
คาร์ลละสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง
เชวฮันเริ่มขมวดคิ้วมุ่นเมื่อจ้องไปยังคาร์ลที่เอนหลังพิงโซฟาพร้อมกับมองไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าซีดเผือด
‘ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้นะ?’
เชวฮันไม่เข้าใจความคิดของคาร์ลเลยสักนิด เขาเผลอจับดาบของตนแน่นขึ้นเมื่อคิดตามคำกล่าวของคาร์ล ‘ประวัติศาสตร์หน้าใหม่’ เชวฮันจดจ่อกับคำนี้เป็นพิเศษ
คาร์ลไม่สนใจท่าทางของเชวฮันเมื่อยกถ้วยชาอุ่นๆขึ้นจิบ มันเป็นชาที่รอนนำมาให้เขา
‘หืม?’
มันเป็นชารสหวานแบบที่คาร์ลชอบ คาร์ลหันไปมองรอนทันทีและเห็นว่าเขาแต้มยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ตนอยู่
‘ถ้าให้ฉันเดา..ตาแก่นี่คงเหนื่อยสินะถึงลืมเอาชาขมๆมาให้’
คาร์ลมองรอนด้วยสายตากังวลเล็กน้อยก่อนจะหันมาดื่มชาอีกครั้ง เขาดื่มเข้าไปอึกใหญ่เมื่อเห็นว่ามันเป็นชารสหวาน
“พรูดดด!!–”
จากนั้นชาก็พุ่งออกจากปากเขาทันที
ราอนก็กระทืบอุ้งเท้าของตนและเหาะขึ้นสู่อากาศทันที
พวกเขามองเห็นจุดสีดำได้จากระยะไกลๆและมันกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วพอสมควร
ปั้งงง!!
เสียงดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้าทันที
คาร์ลลุกขึ้นยืนก่อนจะเช็ดน้ำชาออกจากมุมปากของตน
จุดสีดำที่กำลังบินมาด้วยความเร็วกระแทกเข้ากับโล่ป้องกันอย่างแรง
มันคือไวย์เวิร์น
หนึ่ง! สอง! สาม! มีจุดสีดำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนไม่สามารถนับได้ทั้งหมด
ปั้งงง!! ปั้งงง!! ปั้งงง!! ปั้งงง!!
ทั่วทั้งบริเวณก้องไปด้วยเสียงนี้
กริ๊งงงง!!! ~~~~~~
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังไปทั่วเมืองเรน
ศัตรูเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว!
บ่ายแก่ๆของวันนี้คือจุดเริ่มต้นของสงคราม
“ทุกคน!โปรดอยู่ในความสงบ! รีบเคลื่อนย้ายไปตามที่อัศวินของเรานำทาง!!”
อัศวินนายหนึ่งตะโกนออกมาดังลั่นในขณะที่คอยชี้นำชาวบ้านที่ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวให้รีบหลบไปยังจุดที่ปลอดภัย ทหารยามและอัศวินรีบเคลื่อนย้ายชาวบ้านไปยังจุดที่ปลอดภัยตามที่เคยฝึกซ้อมเอาไว้ล่วงหน้า
ปึงปัง!ปึงปัง!ปึงปัง!ปึงปัง!
บ้านทุกหลัง อาคารทุกชนิดต่างปิดประตูหน้าต่างลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงนี้แต่มันกลับเงียบกริบราวกับไม่มีใครปิดประตูหน้าต่างลง
ตึง!!ตึง!!ตึง!!ตึง!!ตึง!!ตึง!!
อัศวินและทหารยามรีบวิ่งรวมพลไปยังกำแพงเมืองและตรึงกำลังตามจุดต่างๆของเมืองเรนทันที อย่างไรก็ตามเสียงวิ่งและเสียงกระชับอาวุธต่างเงียบกริบเช่นกัน
ปั้งงง!!
เป็นเพราะเสียงไวย์เวิร์นที่กระแทกเข้ากับโล่สีเงินดังเกินกว่าที่จะสามารถได้ยินเสียงเหล่านั้นได้
กรรจ์~~~~~~กรรจ์~~~~~~
เสียงคำรามของไวย์เวิร์นคือสิ่งเดียวที่สามารถได้ยินในเมืองเรนในตอนนี้ ชาวบ้านทั้งหมดเริ่มหน้าซีดลงเรื่อยๆด้วยความหวาดกลัว
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นไวย์เวิร์นตัวเป็นๆ แม้แต่ตัวที่เล็กที่สุดก็มีความยาวประมาณ 5 เมตร อัศวินที่นั่งควบคุมไวย์เวิร์นดูตัวเล็กไปทันตา
อย่างไรก็ตามอัศวินที่สวมชุดเกราะสีขาวราวกับหิมะดูเหมือนจะมีความชำนาญในการควบคุมไวย์เวิร์นเป็นพิเศษนั่นทำให้ทหารและอัศวินทั้งหมดเริ่มตรึงเครียด
คลิ๊ก!คลิ๊ก!คลิ๊ก!
ชาวบ้านเริ่มแง้มหน้าต่างออกมาดูด้านนอก
โล่ป้องกันจะพังหรือไม่?
ถ้ามันพังย่อมหมายความว่าพวกเขาจะตายกันหมด!?
พวกเขาชะเง้อมองกำแพงเมืองด้วยความหวาดกลัว
ทันใดนั้นเอง
[1] ผู้แต่งเปลี่ยนชื่อจาก‘เมืองเวสเทิร์น’เป็น‘เมืองเรน’