สองวันเต็มๆ
บรรยากาศภายในตระกูลฉินเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ
ตระกูลสูงส่งที่ร่ำรวยที่สุดในซีสู่ แต่ภายในคฤหาสน์ ทุกคนกลับตกอยู่ในความหวาดระแวงและหวาดกลัว
ราวกับมีทีท่าว่าพายุใหญ่กำลังจะมา
ทุกคนในคฤหาสน์ล้วนได้ยินอย่างชัดเจนว่า มีเสียงอาละวาดที่เกรี้ยวกราดและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังออกมาจากห้องของเจ้าบ้าน
ทุกคนรู้ดีว่า การเลี้ยงฉลองงานวันเกิดของเจ้าบ้านในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น
ภายในห้องที่มืดสนิท
มีเส้นเลือดปูดโปนออกมาจากหางตาของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน ดวงตาแดงก่ำ
“ติดต่อไม่ได้อีกหรือ ? ทำไมยังติดต่อไม่ได้อีก ?”
ฉินเห้อเหนียนคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก เขาตกใจจนสติแทบจะหลุดออกจากตัว
“พ่อครับ พ่อใจเย็นก่อนนะครับ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้จะต้องใจเย็นเข้าไว้นะครับ”
“ใจเย็น ? แกจะให้ฉันใจเย็นอยู่ได้อย่างไร ?”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเขวี้ยงกาหม้อดินโบราณที่ถืออยู่ในมือลงบนพื้นอย่างแรง : “ในเมื่อบอกให้ฉันใจเย็น ถ้าเช่นนั้นแกบอกฉันมาสิว่าจะต้องทำอย่างไรกันดี ?”
ฉินเห้อเหนียนยืนตัวแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออก
เฉินตงมีตระกูลเฉินคอยหนุนหลังอยู่ เขามาด้วยแรงสนับสนุนอย่างเต็มที่ ถ้าหากไม่สามารถพึ่งพาคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินได้อีก เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำใช่เช่นแล้ว
ลำพังแค่เฉินตงเพียงคนเดียว ไม่ได้อยู่ในสายตาของสมาชิกตระกูลฉินเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่เมื่อมีตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่คอยหนุนหลังอยู่ ทุกคนในตระกูลฉินต่างไม่กล้าที่จะดูถูก
ตระกูลหลี่แห่งเมืองหลวง เป็นตัวอย่างที่เคยมีให้เห็นมาแล้ว
เฉินเต้าหลินสามารถนำทัพเครื่องบินรบไปจัดการกับพวกเขาโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
ถึงแม้ตระกูลหลี่จะเป็นตระกูลที่เก่าแก่ หัวโบราณ ไม่เหมือนกับตระกูลฉินที่กำลังรุ่งโรจน์ราวกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างอยู่กลงท้องฟ้า
มีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลเฉินแล้ว ตระกูลหลี่และตระกูลฉินก็ดูเหมือนว่าจะไม่ต่างกันมากอีกต่อไป
“โทรต่อไป โทรต่อไปเรื่อยๆ !”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกัดฟันแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ
ฉินเห้อเหนียนรีบลุกขึ้นแล้วพยายามโทรหาคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินต่อทันที
“สมควรตาย ! สมควรตายจริงๆ ! คุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉิน นี่คุณคิดจะทอดทิ้งพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างตระกูลฉินหรืออย่างไร ?”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ เอาหายใจฟึดฟัดราวกับวัวกระทิง ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว : “เป็นไปไม่ได้ คุณไม่มีทางโง่แบบนั้นแน่ คุณยังไม่โง่ถึงขนาดเป็นคนแก่ที่ไร้น้ำยา ไม่สามารถช่วยเหลือตระกูลฉินได้ คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินเต้าหลินเสียด้วยซ้ำ”
เป็นเพราะการคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อติดต่อคุณหญิงใหญ่ตระกูลเฉินไม่ได้ตลอดสองวัน ทำให้คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินยิ่งกระวนกระวายมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงก่ำ ส่องประกายรังสีของความอำมหิตออกมา
เขากัดฟันพูดออกมาว่า : “พรุ่งนี้เป็นวันที่เฉินตงกำหนดให้เป็นวันสุดท้าย ถ้าหากยังติดต่อไม่ได้ ก็อย่าโทษหากตระกูลฉินของเราจะทำเรื่องที่เป็นอันตรายก็แล้วกัน”
“พ่อครับ ยังติดต่อไม่ได้ครับ”
น้ำเสียงของฉินเห้อเหนียนสั่นเครือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
ตอนนี้เขารู้ดีว่าพ่อของเขากำลังรู้สึกหมดหวังอย่างถึงที่สุด แต่อย่างไรเสียเขาก็ต้องพูดผลลัพธ์ออกมาให้พ่อของเขาได้รับรู้
แต่ทว่า
สิ่งที่ทำให้ฉินเห้อเหนียนรู้สึกแปลกใจก็คือ คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินกลับโบกมือแล้วถอนหายใจออกมา
แล้วหันกลับมาถามว่า : “ซวนเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง ?”
นี่มันเรื่องอะไรกัน ?
ฉินเห้อเหนียนรู้สึกตกใจและรีบตอบกลับไปว่า : “แขนเชื่อมต่อกันจนติดดีแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ แต่ว่าเรื่องนี้ทำให้ซวนเอ๋อรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก”
“เฮ้อ ทายาทรุ่นที่สามของตระกูลฉินเรา ไม่มีใครสามารถดูแลตระกูลฉินได้เลยจริงๆ หรือ ?”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ : “น่าเสียดาย ครั้งนี้ฉินเย่พาเสี่ยวเชียนไปด้วย ไม่อย่างนั้นฉันเองก็อยากให้เสี่ยวเชียนกลับเข้ามาอยู่ในตระกูลฉินอีกครั้ง ด้วยความสามารถของเธอ สามารถดูแลตระกูลฉินได้แน่นอน ต่อไปหากทายาทรุ่นต่อไปของพวกซวงเอ๋อคิดที่จะยึดอำนาจคืนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก”
“พ่อครับ……” สีหน้าของฉินเห้อเหนียนไม่สู้ดีนัก
เขารู้ดีว่า การเลือกผู้สืบทอดมรดกเพื่อที่จะเข้ามาดูแลตระกูลที่ร่ำรวยนั้น จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่การที่จะให้พวกทายาทนอกสมรสขึ้นมาดูแลตระกูลฉิน อย่าว่าแต่ทายาทรุ่นที่สามอย่างพวกซวนเอ๋อจะไม่ยินยอมเลย แม้กระทั่งทายาทรุ่นที่สองอย่างพวกเขาก็ไม่มีทางยินยอมเช่นกัน
“พ่อเข้าใจความคิดของพวกแกพี่น้องดี แต่การให้ทายาทนอกสมรสเข้ามาดูแลตระกูลฉินก็เป็นเพียงแค่แผนการขั้นหนึ่งเท่านั้น
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินโบกมือเพื่อเป็นการตัดบทฉินเห้อเหนียน เขากลอกตาแล้วพูดออกมาอย่างลึกซึ้งว่า : “แกรีบติดต่อซวนเอ๋อและบรรดาทายาทรุ่นที่สามเดี๋ยวนี้ ให้พวกเขาเก็บข้าวของแล้วออกจากซีสู่ทันที ถ้าออกนอกประเทศได้ก็จะเป็นการดีที่สุด ไม่ต้องบอกพวกเราว่าพวกเขาไปไหน รอให้เรื่องนี้จบลงแล้วค่อยกลับมาที่ตระกูลฉินในซีสู่”
“พ่อครับ จำเป็นต้อง……ทำถึงขนาดนี้เลยหรือครับ ?”
ฉินเห้อเหนียนตระหนักได้ในทันทีว่า พ่อของเขากำลังเตรียมแผนการรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว
“จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยหรือ ?”
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเลิกคิ้วแล้วหันไปมองฉินเห้อเหนียนด้วยความโมโห : “แกกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร ? แกเชื่อไหมว่า คำสั่งเช่นนี้ ถ้าหากฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนได้รับฟังแล้วล่ะก็ พวกเขาจะปฏิบัติตามในทันที และออกไปจากตระกูลฉินเงียบๆ และรวดเร็วที่สุด ?”
เห็นได้ชัดว่า นี่กำลังเป็นการตำหนิว่าฉินเห้อเหนียนเองก็ยังไม่อาจเทียบฉินเย่กับฉินเสี่ยวเชียนได้
สีหน้าของฉินเห้อเหนียนไม่น่าดูนัก พ่อนำเขาไปเปรียบเทียบกับเด็ก ซึ่งถือเป็นการดูถูกเขาอย่างมาก
สักพัก คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินจึงค่อยๆพูดออกมาว่า : “พวกเราไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับเฉินตง แต่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับเฉินเต้าหลินซึ่งอยู่เบื้องหลังเฉินตง เตรียมตัวเอสไว้ให้ดี ดีกว่ารอให้มีดมาจ่อคอแล้วทำอะไรไม่ถูก”
“เข้าใจแล้วครับ” ฉินเห้อเหนียนพยักหน้า แล้วหันหลังเดินจากไป
ในห้องที่มืดมิด เหลือเพียงคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินเพียงแค่คนเดียว
บรรยากาศเย็นเยือกถึงขีดสุด และเงียบสงบจนน่าประหลาด
พักใหญ่
คุณท่านใหญ่ตระกูลฉินค่อยๆ ถอนหายใจออกมา : “หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนี้นะ……”
หลังจากพวกของฉินซวนออกจากตระกูลฉินไปแล้ว ตระกูลฉินก็พยายามปกปิดที่อยู่ของพวกเขาให้เป็นความลับมากที่สุด
แต่ในเมืองซีสู่ มีทั้งมังกรและเสือหมอบหลบซ่อนตัวอยู่ ในโลกของตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวยและยักษ์ใหญ่ผู้มีอำนาจ ไม่รู้ว่ามีสายตาสักกี่คู่ที่กำลังจับจ้องมาที่ตระกูลฉิน
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในงานฉลองวันเกิดของตระกูลฉิน ก็ยิ่งดึงดูดความสนใจของบรรดาตระกูลใหญ่มากยิ่งขึ้น
ตอนนี้ ข่าวการหายตัวไปจากตระกูลเฉินของพวกฉินซวน กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในตระกูลใหญ่ๆ ทุกตระกูลในซีสู่ทันที
ทุกคนเมื่อรับรู้ข่าวนี้ ต่างก็รู้สึกตกใจและถอนหายใจกันออกมา
ตระกูลฉิน……เตรียมรับมือกับเรื่องเลวร้ายที่สุดแล้วหรือนี่ ?
ท้องฟ้าของซีสู่……กำลังจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือ ?
บ้างก็รู้สึกทอดถอนใจ บ้าก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น บ้างก็กำลังตั้งตารอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ
ตระกูลฉินอยู่ในตำแหน่งของผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในซีสู่ จู่ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป นี่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในซีสู่กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว ตำแหน่งเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองซีสู่ คงจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนมือเสียที !
หากคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ จากที่ปกติแล้วต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลฉิน ครั้งนี้ก็จะสามารถลืมตาอ้าปาก และช่วงชิงตำแหน่งผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองมาครองได้
ความจริงก็ควรต้องเป็นเช่นนี้
คืนนั้น
คฤหาสน์สู่ซานได้ต้อนรับแขกลึกลับคนหนึ่ง
“คุณชาย จูเก่อชิงจากตระกูลจูเก่อขอเข้าพบครับ” เฉินทงเข้ามารายงาน
“ตระกูลจูเก่อ ?”
เฉินตงหันไปมองเฉินทงและฉินเย่ด้วยความสงสัย
ฉินเย่ยักไหล่แล้วพูดว่า : “ตระกูลเก่าแก่ที่ตั้งรกรากอยู่ในซีสู่ ถือได้ว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงดั้งเดิมของเมืองนี้ มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก”
“ตระกูลชนชั้นสูงดั้งเดิม ?”
เฉินตงรู้สึกสนใจ เขาลูบจมูกและพูดติดตลกว่า : “คงไม่ใช่ทายาทของจูเก่อขงเบ้งหรอกนะ ?”
ตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย และตระกูลชนชั้นสูงดั้งเดิม หากมีบรรพบุรุษเป็นผู้มั่งคั่งและมีอำนาจในอดีต คนรุ่นหลังก็เทียบได้กับเป็นพื้นหลังของประวัติศาสตร์แล้ว
หากได้รับการเรียกขานว่าเป็นตระกูลชั้นสูงดั้งเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายที่สุด ก็จะต้องดำรงตำแหน่งตระกูลชั้นสูงมาอย่างยาวนานที่สุด
แต่ทว่า
เฉินทงกลับยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “จากข่าวลือและการสืบหาข้อมูลของหน่วยข่าวกรองตระกูลเฉิน ดูเหมือนว่าจะใช่นะครับ”
เฉินตง : “o?o”
เฉินตงลังเลอยู่สักพักแล้วจึงพยักหน้า : “ไปพบเขาสักหน่อยก็ได้”
ส่วนทางด้านตระกูลฉิน
เกิดความโกลาหลขึ้นในห้องของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉิน
มือทั้งสองข้างของคุณท่านใหญ่ตระกูลฉินจับตู้หนังสือเอาไว้แน่น เขาหายใจฟึดฟัดราวกับวัวกระทิง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ
“ตระกูลจูเก่อ ตอนนี้ตระกูลจูเก่อไปหาเฉินตง หรือพวกเขาคิดว่าท้องฟ้าของซีสู่จะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จึงคิดที่จะกำจัดตระกูลฉินของเราโดยเร็ว ?”
ฉินเห้อเหนียนตกใจจนคุกเข่าลงไปที่พื้น ตัวของเขาสั่นเทา
ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ หากรู้ว่าพ่อจะโมโหขนาดนี้ เขาก็คงไม่นำเรื่องนี้มาบอกพ่อของเขาตั้งแต่ต้น