ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1271 : เจ็ดแสง

ราชันเร้นลับ 1271 : เจ็ดแสง

เมื่อได้ยินคำตอบจากแสงครามเฮซุส จิตไคลน์พลันตึงเครียดทันที พลางนึกถึงพระจันทร์สีแดง ดาวน้ำตาล ดาวแดง ดาวน้ำเงิน และดาวทอง ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามีสายตาจำนวนมากกำลังจดจ้องมายังโลกด้วยความเหยียดหยัน

การเชื่อมต่อถูกสร้างขึ้นอย่างเงียบงัน ความรู้สึกถูกกัดกร่อนที่เริ่มก่อตัว ทำให้หนอนวิญญาณภายในใจไคลน์เริ่มกระสับกระส่าย

ในฐานะเทวทูตผู้ควบคุมปราสาทต้นกำเนิด ไคลน์มีวิธีมากมายสำหรับตัดการเชื่อมต่อดังกล่าว วิธีแรก ใช้ระดับตัวตนและพลังของร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ วิธีที่สอง ข่มหลักยึดเหนี่ยวและปล่อยให้ตราประทับทางจิตของมหาต้นกำเนิดอาละวาดเพื่อกับการกัดกร่อนชนิดใหม่ วิธีที่สาม พึ่งพาออร่าของปราสาทต้นกำเนิดที่สามารถระดมพลังบนโลกความจริงได้แล้ว

โดยปราศจากความลังเล ชายหนุ่มเลือกวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดเพื่อไม่ให้เหลือทิ้งภัยซ่อนเร้น

หมอกสีเทาเจือจางปรากฏขึ้นรอบตัวชายหนุ่ม ภาพจินตนาการเกี่ยวกับดวงดาวต่างๆ เริ่มเลือนหาย

ผ่านไปสักพัก ไคลน์กล่าวต่อ:

“เทพภายนอกมีมากมายขนาดนั้นเชียว?”

แสงครามเฮซุสเป็นสัญลักษณ์ในขอบเขตการสวดวิงวอน มันสัมผัสแหวนทับทิมที่สวมอยู่พลางพยักหน้ากล่าว

“นับตั้งแต่ปฐมต้นกำเนิดลืมตาตื่นขึ้นและแบ่งตัว เหล่าเทพภายนอกที่ทรงพลังทั่วจักรวาลก็เริ่มมารวมตัวกันรอบระบบสุริยะแห่งนี้ บ้างต้องการทวงคืน ‘แก่นแท้แห่งต้นกำเนิด’ และตะกอนพลังที่ถูกฉีกออกจากร่างพวกท่านและถูกดึงดูดมายังโลก บ้างต้องการช่วงชิงแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดและตะกอนพลังลำดับสูงที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง”

ปฐมต้นกำเนิด… เจ็ดแสงเรียกพระผู้สร้างต้นกำเนิดว่า ‘ปฐมต้นกำเนิด’ ไม่ใช่ ‘มหาต้นกำเนิด’ … ในเชิงความหมายฟังดูไม่ต่างกันมากนัก… ไคลน์เรียงคำพูดก่อนจะถาม

“ตะกอนพลังกับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดที่ฉีกขาดและถูกดึงดูดมายังโลก?”

ชายหนุ่มเข้าใจคำพูดส่วนใหญ่ของแสงคราม และสามารถปะติดปะต่อข้อมูลได้ทันที มีเพียงประเด็นนี้ที่คาดไม่ถึง

ในฐานะสัญลักษณ์ของขอบเขต ‘เข้าฌาน’ แสงน้ำเงินคูทูมีซึ่งใช้ความรักและปัญญาเป็นคุณลักษณะหลัก อธิบายอย่างเป็นกันเอง:

“ท่านน่าจะคุ้นเคยกับกฎแรงดึงดูดของพลังพิเศษดีอยู่แล้ว”

เมื่อเห็นไคลน์พยักหน้า ชายชราเคราดกที่ผูก ‘ไพลิน’ ไว้รอบหน้าผากกล่าวต่อไป:

“นั่นไม่ได้เป็นเพียงกฎของลำดับเส้นทาง แต่ยังใช้ได้กับตะกอนพลังและแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดของเทพภายนอกด้วย โดยเฉพาะตัวตนที่เคยถูกบ่มเพาะโดย ‘ปฐมต้นกำเนิด’ โดยตรงอย่าง ‘มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม’ ‘บุตรแห่งปฐมกาล’ และ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ … สำหรับคำถามที่ว่า ยังมีเทพภายนอกตนอื่นอยู่ในกลุ่มนี้อีกไหม พวกเราเองก็ไม่แน่ใจ… สรุปโดยสั้น ‘วันวาน’ ทั้งสามที่สูญเสียแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดและตะกอนพลังไปบางส่วน ให้ความสนใจและกระตือรือร้นที่จะกัดกร่อนโลกวิญญาณและโลกแห่งความจริง เพื่อสร้างมลพิษแก่พวกเรา”

ไคลน์พยักหน้ารับ ตามด้วยถามกึ่งมั่นใจ

“กล่าวคือ บางส่วนของยี่สิบสองเส้นทางและเก้าแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดเคยเป็นของเทพภายนอก?”

“ใช่” แฌร์แม็ง สัญลักษณ์ในขอบเขต ‘เวทมนตร์พิธีกรรม’ ผู้ถืออัญมณีสีม่วง ถือโอกาสตอบคำถาม “เมื่อมีเส้นทางครบยี่สิบสองและแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดครบเก้า ทุกสิ่งก็เข้าสู่ภาวะสมดุล นี่อาจเป็นการเชื่อมโยงในเชิงศาสตร์เร้นลับจาก ‘ปฐมต้นกำเนิด’”

ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะถามต่อ

“มีเส้นทางใดบ้าง?”

แฌร์แม็งซึ่งมีใบหน้าส่องแสงสีม่วงจางตอบ:

“ยกตัวอย่างเช่น เส้นทางจันทราและธรณีล้วนเป็นของ ‘มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม’ พระองค์คือตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เหนือเทพภายนอกทั้งหมด แม้ว่าหนึ่งในแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์อย่าง ‘รังมารดา’ จะถูกฉีกออกจากร่าง แต่ความจริงดังกล่าวก็ไม่เปลี่ยนไป ในทำนองเดียวกัน พระองค์คือผู้ปกครองพลังแห่งสตรีทั้งปวงในจักรวาล”

ได้ยินแฌร์แม็งกล่าวเช่นนั้น แสงเขียวซาราพิสขำออกมาทันที:

“อันที่จริง ถ้าลองวิเคราะห์ยี่สิบสองเส้นทางอย่างละเอียด คุณจะพบว่าเส้นทางจันทราและธรณีมีความขัดแย้งกันมากที่สุด… หึหึ ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ แม้เส้นทางแม่มดจะแสดงถึงส่วนที่เป็นสตรีของ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ แต่เส้นทางนักบวชสีชาดก็คอยถ่วงดุลด้วยการเป็นตัวแทนส่วนที่เป็นบุรุษของพระองค์ ทว่า สำหรับเส้นทางจันทราและธรณีที่ทำให้ผู้วิเศษลำดับสูงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเพศหญิงได้ทั้งคู่เช่นกัน กลับไม่มีเส้นทางใดเลยมาคอยถ่วงดุลเพศชาย”

เมื่อเห็นไคลน์ขมวดคิ้ว แสงเขียวเจ้าของผมยาวประหนึ่งศิลปินยิ้มและพูดต่อ:

“ลำดับ 2 สองเส้นทางธรณีมีชื่อว่า ‘มารดามหาแพร่พันธุ์’ และลำดับ 1 ของเส้นทางจันทรามีชื่อว่า ‘เทพธิดาแห่งความงาม’ ดังนั้น เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดจึงมีเพียงราชินีโดยปราศจากเจ้าชาย”

ถ้าอย่างนั้น เพศเดิมของเทพธิดาบรรพกาลอย่างลิลิธเป็นชายหรือหญิง? ไคลน์พึมพำในใจก่อนจะถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ดวงจันทร์บรรพกาลคือ ‘มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม’ ?”

“ใช่” แสงแดง ไอร์·โมเรียที่แต่งกายด้วยมงกุฎเพชร พยักหน้ารับอย่างสง่างาม “พระองค์ครอบครองดวงจันทร์ เมื่อผนวกกับปัจจัยอื่นอย่างระดับตัวตน รังมารดา และเอกลักษณ์ของทั้งเส้นทางจันทราและธรณี อิทธิพลของพระองค์ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในโลกความจริงในฐานะตัวตน ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ ”

กล่าวถึงตรงนี้ ไอร์·โมเรียเว้นวรรค

“นามเต็มของพระองค์คือ ‘มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม’ ‘ปฐมกาลแห่งความชั่ว’ ‘ผู้ไม่ดับสูญ’ และ ‘รังมารดาแห่งมลทิน’ ”

ไคลน์หวนนึกถึงการตอบสนองอย่างสุดโต่งของดวงจันทร์ในตอนที่ตนรู้ความลับอวกาศเป็นครั้งแรก มันถามต่อไปด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน:

“เส้นทางปีศาจและนักโทษมาจากมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย?”

แสงเหลืองเวนิธานในเสื้อคลุมสีเหลืองมะนาว ถอนหายใจยาว:

“ถูกต้อง นามเต็มของพระองค์คือ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ ‘บิดาแห่งปีศาจ’ ‘ผู้แผดเสียงคำรามนิรันดร์’ และ ‘เทพไร้จิตใจ’ … ดังนั้นเมื่อเทพผู้ถูกล่ามเกิดปัญหา พระองค์จึงฉวยโอกาสกัดกร่อนโดยสมบูรณ์ได้ง่ายดาย”…ไอลีนโนเวล

มารดา… บิดา… ตกลงเจ้านั่นเป็นชายหรือหญิงกันแน่… นั่นสินะ สำหรับตัวตนระดับนี้ การจำแนกเพศคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ และบทสวดที่แตกต่างกันหมายถึงตัวตนที่ต่างออกไป… หึหึ หล่อนเคยอยากมีทายาทกับเรา… พิจารณาจากสภาพของเทพผู้ถูกล่าม ถ้าเราโดนจับตัว คนที่อุ้มท้องก็น่าจะเป็นเราเอง… เมื่อลูกคลอดออกมาก็จะให้สืบทอดปราสาทต้นกำเนิด ช่วยให้มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายกัดกร่อนและเข้าควบคุมแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดได้ทางอ้อม…

จากมุมมองดังกล่าว บางทีการ ‘ปล่อยตัวปล่อยใจ’ อาจเป็นวิธีสวมบทบาทที่ถูกต้องของเส้นทางนักโทษ… แต่เส้นทาง ‘ที่ถูกต้อง’ ดังกล่าวนำพาไปยังเทพภายนอก ดังนั้นฝ่ายระงับแรงปรารถนาก็ยังดูดีกว่าในสายตาเรา… ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามในสิ่งที่คาใจมานาน:

“ในเมื่อเทพภายนอกมีมากมายถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ลงมือรุกรานโลก?”

จากข้อมูลที่ไคลน์ทราบจนถึงปัจจุบัน มันสามารถอนุมานได้ว่า แม้จะมีเพียง ‘มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม’ และ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ แต่กองทัพเทพภายนอกก็แข็งแกร่งพอที่จะจัดการเจ็ดเทพจารีตอย่างง่ายดาย ต่อให้ผนึกกำลังเข้ากับพระผู้สร้างแท้จริงและแม่มดบรรพกาลไปด้วยก็ตาม

แสงส้มฮิลลาเรี่ยนเจ้าของร่างท้วม ยิ้มและกล่าว

“ความทุกข์ยากทั้งหมดของพวกเราเกิดจาก ‘ปฐมต้นกำเนิด’ แต่ขณะเดียวกัน โชคก็เกิดจาก ‘ปฐมต้นกำเนิด’ ด้วยเช่นกัน… ไม่เพียงพระองค์จะเหลือดวงวิญญาณ เจตจำนง ตราประทับ และมลพิษทิ้งไว้ให้เราเท่านั้น แต่ยังเหลือแก่นแท้ต้นกำเนิด ตะกอนพลัง และพลังพิเศษทิ้งให้เราด้วย… นอกจากนั้น พลังส่วนสุดท้ายของพระองค์ได้แปรสภาพกลายเป็นบาเรียล่องหนห่อหุ้มโลกไว้ ส่งผลให้เทพภายนอกมิอาจบุกรุกเข้ามาโดยตรง อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปโดยที่ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ มิได้คืนชีพขึ้นมา เจตจำนงและพลังของพระองค์จึงเริ่มเลือนราง ในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ สถานการณ์แย่ลงจนเข้าขั้นวิกฤติ บาเรียล่องหนเริ่มเกิดรอยร้าว เป็นเหตุให้เหล่าเทพแท้จริงต้องย้ายอาณาจักรเทพของตนไปยังดินแดนดาราเพื่ออุดรอยรั่ว”

เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพแท้จริงซึ่งเคยเดินดินในยุคสมัยที่สี่ ถึงแทบจะหายตัวไปในยุคสมัยที่ห้า… ไคลน์ซึ่งกระจ่างผุดคำถามใหม่:

“เมื่อถึงคราวที่เจตจำนงและพลังของ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ ลดลงถึงขีดสุด บาเรียล่องหนจะหายไป และนั่นหมายถึงคำทำนายวันสิ้นโลก?”

แสงส้มฮิลลาเรี่ยนที่มักยิ้มแย้มอยู่เสมอ ชำเลืองไปทางแสงเหลืองเวนิธาน กล่าวด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม:

“ถูกต้อง”

เมื่อถึงตอนนั้น มารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทราม มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย และบุตรแห่งปฐมกาลจะทำการรุกรานโลกมนุษย์พร้อมกับเทพภายนอกอีกมาก ต่อให้เทพธิดารัตติกาลกลายเป็น ‘วันวาน’ ก็คงไม่มีอำนาจไปยับยั้ง… เทพลำดับ 0 ตนอื่นอาจร่วมมือกันจนสามารถตรึงเทพภายนอกไว้ได้สักหนึ่งหรือสองตน แต่โอกาสทำสำเร็จไม่ต่างอะไรกับโอกาสเกิดปาฏิหาริย์… อาจต้องใช้เทพลำดับ 0 เก้าตนในการรับมือเทพภายนอกสักหนึ่งตน หรืออาจจะมากกว่านั้น… ไคลน์ชาไปทั้งหนังหัวเมื่อมองเห็นความสิ้นหวังที่รออยู่

ไม่แปลกใจว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่าวันสิ้นโลก!

เมื่ออารมณ์แปรปรวนอย่างหนัก ชายหนุ่มสัมผัสได้ทันทีว่าตราประทับทางจิตของ ‘มหาต้นกำเนิด’ ทวีความรุนแรงขึ้น เริ่มกัดกร่อนส่วนที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวมากขึ้น

ไคลน์รีบสงบสติเพื่อทำให้สมดุลที่เปราะบางกลับมาอีกครั้ง

นี่คือเหตุผลที่การกัดกร่อนจากใต้ดินจะค่อยๆ หายไปเองตามธรรมชาติ ขอเพียงไม่ไปเข้าใกล้หรือเผชิญหน้ากับมัน? ไคลน์นึกทบทวนความรู้เชิงศาสตร์เร้นลับและเริ่มจับทางได้

“ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” แสงส้มฮิลลาเรี่ยนช่วยยืนยัน

ไคลน์เชื่องโยงกับประเด็นอื่นทันที

“หมายความว่ายิ่งเข้าใกล้วันสิ้นโลกมากเท่าไร ก็ยิ่งเลื่อนลำดับได้ง่ายขึ้น? เพราะเจตจำนงของ ‘มหาต้นกำเนิด’ ค่อยๆ จางหายไป และการตื่นขึ้นของพระองค์ก็จะกลายเป็นเรื่องยาก หรืออาจไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”

แสงแดง ไอร์·โมเรีย ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว

“นี่คือเหตุผลที่เจ็ดเทพจารีตแทบไม่มีการเคลื่อนไหวมาตลอด จนกระทั่งไม่นานมานี้จึงค่อยเริ่มเล็ง ‘เหนือลำดับ’ และลงมืออย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ดี แม้เจตจำนงของปฐมต้นกำเนิดจะเลือนหายไปได้ แต่ดวงวิญญาณของท่านจะคงอยู่ตลอดกาล และไม่ถูกทำลายเว้นเสียแต่จักรวาลแห่งนี้จะกลับคืนสู่หนึ่งเดียวอีกครั้ง ดังนั้นจึงยังมีโอกาสที่ ‘ปฐมต้นกำเนิด’ จะตื่นขึ้นภายในตัวตนลำดับสูง ยิ่งระดับสูงเพียงใดก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากเท่านั้น และผลข้างเคียงทางอิทธิพลกับการกัดกร่อนจะยิ่งหนักหน่วง”

พลังเหนือมนุษย์และคำสาปเปรียบดังเหรียญสองด้านที่ไม่มีวันแยกจากกัน… ไคลน์ถอนหายใจยาว บังคับตัวเองให้เลิกคิดเกี่ยวกับประเด็นที่ยังค่อนข้างไกลตัว

“พวกเจ้าทราบสูตรโอสถบริวารเร้นลับหรือไม่”

แสงม่วงแฌร์แม็งที่ถืออัญมณีสีม่วงเป็นผู้มอบคำตอบ

“ความรู้ในประเด็นดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับปริศนาบางอย่าง และสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ภายในโลกวิญญาณ แต่จากการสังเกตของพวกเรา พิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นบริวารเร้นลับน่าจะเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับโลกวิญญาณ”

แสงส้มฮิลลาเรี่ยนยิ้มให้ไคลน์ทันที

“หากเวลานั้นมาถึงและท่านประสงค์สิ่งใด พวกเรายินดีช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง”

ความกระตือรือร้นที่จะผูกมิตรของพวกเขาทำให้เรากลัวนิดหน่อย เหมือนกับกำลังเผชิญหน้าอาโรเดส… ไคลน์ผงกศีรษะแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

หลังจากไตร่ตรองสักพัก ชายหนุ่มถามเสียงขรึม

“พวกเจ้ารู้จักราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคหรือไม่”

ชายหนุ่มแปลงชื่อเป็นภาษาเอลฟ์

เจ็ดแสงเงียบไปครู่หนึ่ง พวกมันมองหน้ากันโดยไม่มีใครตอบอยู่สักพัก

ผ่านไปไม่กี่วินาที แสงส้มฮิลลาเรี่ยนถอนหายใจ:

“พวกเรายังยืนยันไม่ได้ว่าท่านคือ ‘พระองค์’ หรือไม่… พระองค์เป็น ‘วันวาน’ ที่มีบทบาทสำคัญในช่วงสิ้นสุดอารยธรรมโบราณจนถึงกลางยุคสมัยที่หนึ่ง… พระองค์คือ ‘ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ’ ที่พวกเรามักพูดถึง… ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคคือชื่อที่พระองค์ใช้ในทวีปตะวันตก นอกจากนั้นพระองค์ยังมีชื่ออื่นซึ่งประกอบไปด้วย: ‘ราชันกาลเวลาและห้วงมิติ’ ‘ดวงประทีปแห่งชะตากรรม’ ‘ร่างอวตารของปราสาทต้นกำเนิด’ ‘ผู้ปกครองโลกวิญญาณ’ และ…”

กล่าวถึงตรงนี้ แสงส้มเว้นวรรคเล็กน้อย:

“ราชันเร้นลับ”

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท